ปลดล็อกศักยภาพ: ทำไมการให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทย คือหัวใจฟื้นเศรษฐกิจปี 2025 และอนาคต
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงพลิกผันของตลาดและเศรษฐกิจมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่สถานการณ์จะซับซ้อนและท้าทายเท่าปัจจุบัน การฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่รุมเร้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งโควิด-19 สงครามระหว่างประเทศ และภาวะเงินเฟ้อที่กัดกร่อนกำลังซื้อภายในประเทศ ล้วนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย
วันนี้ เราไม่ได้พูดถึงแค่การพยุงตลาด แต่คือการมองหาทางออกเชิงรุกที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาล และพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาแข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืน และทางออกที่กำลังเป็นที่จับตา คือ “การเปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถซื้อบ้านจัดสรรในไทยได้อย่างถูกกฎหมายและโปร่งใส” นี่ไม่ใช่เพียงข้อเสนอชั่วคราว แต่เป็นการปรับโครงสร้างที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคต
วิกฤตการณ์และโอกาส: ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปัจจุบัน (ปี 2025)
ก่อนที่เราจะเจาะลึกถึงข้อเสนอการให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทย เราต้องเข้าใจภูมิทัศน์เศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันให้ถ่องแท้ จากข้อมูลล่าสุดและประสบการณ์ตรงในตลาด ผมพบว่าภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวงหลายประการ:
กำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ: อัตราหนี้ครัวเรือนที่สูงเกือบ 90% ของ GDP (ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย) ประกอบกับรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หลังวิกฤต ทำให้คนไทยจำนวนมากขาดความสามารถในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดกลาง-ล่าง ซึ่งเป็นฐานที่ใหญ่ที่สุดของตลาด การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่ผ่านเกณฑ์ของธนาคารก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่
สังคมสูงวัยและปัญหาแรงงาน: การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบของประเทศไทยส่งผลกระทบต่อจำนวนแรงงานในอนาคต และยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความต้องการที่อยู่อาศัยและกำลังซื้อในระยะยาวด้วย
ภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนการก่อสร้าง: ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระที่หนักขึ้น ส่งผลต่อราคาขายและกำไร
เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน: ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบางประเทศคู่ค้าสำคัญ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงเปราะบาง
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีซัพพลายคงค้างในบางเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการบ้านจัดสรรที่รอการระบาย การจะพึ่งพากำลังซื้อภายในประเทศเพียงอย่างเดียวดูจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานและไม่ทันต่อสถานการณ์ การหันมาพิจารณาเม็ดเงินจากต่างชาติจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่ต้องเร่งดำเนินการ
เปิดประตูสู่การลงทุน: ข้อเสนอการให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทย
หัวใจสำคัญของข้อเสนอนี้คือการเปิดช่องทางที่ถูกต้องตามกฎหมายให้คนต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของบ้านจัดสรรในไทยได้ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจ และกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
แนวคิดหลักที่ถูกผลักดันโดยผู้ประกอบการภาคตะวันออกและผู้คร่ำหวอดในวงการ:
การถือครองสิทธิ์ที่ชัดเจนและจำกัด: แนวคิดเริ่มต้นคือการจำลองรูปแบบการถือครองคอนโดมิเนียม โดยให้ต่างชาติสามารถถือครองกรรมสิทธิ์บ้านจัดสรรได้ไม่เกิน 49% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดในโครงการ ซึ่งเป็นอัตราที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการดึงดูดการลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียม
เงื่อนไขนำร่องที่เหมาะสม: ข้อเสนอเบื้องต้นอาจกำหนดขนาดที่ดินที่ต่างชาติสามารถถือครองได้ เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา และกำหนดระยะเวลาดำเนินการซื้อขายภายใน 3-5 ปี เพื่อประเมินผลตอบรับและผลกระทบ ก่อนขยายผลในวงกว้าง
การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ: นี่คือจุดที่สำคัญมาก การจะขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศเช่นนี้ จำเป็นต้องมีคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการที่มีตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อพิจารณาข้อกำหนด กฎระเบียบ และมาตรการป้องกันผลกระทบอย่างรอบด้าน
โฟกัสที่ “บ้านจัดสรร” ไม่ใช่ที่ดินเปล่า: เพื่อป้องกันการเก็งกำไรที่ดินและผลกระทบต่อราคาที่ดินในท้องถิ่น การเปิดโอกาสให้ต่างชาติซื้อควรจำกัดอยู่เฉพาะ “โครงการบ้านจัดสรร” ที่เป็นหน่วยสำเร็จรูปพร้อมเข้าอยู่เท่านั้น
ไม่จำกัดพื้นที่ในรูปแบบแซนด์บ็อกซ์: แม้ EEC (เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) จะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง แต่ข้อเสนอคือควรพิจารณาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ หรือในจังหวัดที่มีศักยภาพสูง เพื่อกระจายเม็ดเงินและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกไปในวงกว้าง ไม่ให้กระจุกตัวอยู่แค่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง
แตกประเด็นจากปัญหา “นอมินี” สู่ความโปร่งใสและประโยชน์ที่แท้จริง
จากประสบการณ์ตรงในพื้นที่ภาคตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นชลบุรี ระยอง หรือพัทยา เราปฏิเสธไม่ได้ว่า “การซื้อบ้านผ่านนอมินี” ของต่างชาติเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานและเป็นวงกว้าง ตัวอย่างเช่น โครงการ The View Villa ที่นายชนินทร์ วานิชวงศ์ จาก Habitat Group ได้กล่าวถึง สะท้อนภาพชัดเจนว่าต่างชาติมีการลงทุนในลักษณะนี้จริง ๆ โดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายหรือผ่านการจดทะเบียนสมรสกับคนไทย
ปัญหาของการใช้นอมินี:
ขาดความโปร่งใส: การทำธุรกรรมที่อยู่ใต้ดินทำให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และยากต่อการตรวจสอบที่มาของเงินทุน
ความเสี่ยงทางกฎหมาย: ทั้งสำหรับต่างชาติและคนไทยผู้เป็นนอมินี อาจเกิดข้อพิพาทและปัญหาทางกฎหมายได้ง่าย ตัวอย่างเช่น กรณีที่นายณัฐนนท ศรีสมบูรณ์ จากภัททา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวถึงว่า ภรรยาคนไทยนำบ้านไปจำนองหรือขายโดยพลการ ทำให้ชาวต่างชาติเสียสิทธิ
ไม่สามารถดึงดูดการลงทุนระยะยาว: นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการความมั่นคงทางกฎหมายจะไม่เข้ามาลงทุนในโครงสร้างที่ไม่มั่นคงเช่นนี้
ข้อมูลบิดเบือน: ไม่สามารถประเมินมูลค่าการลงทุนที่แท้จริงจากต่างชาติในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้
การทำให้ “การให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทย” เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะเป็นการนำเม็ดเงินเหล่านี้ขึ้นมาบนดิน สร้างความโปร่งใสให้กับการทำธุรกรรม และปลดล็อกศักยภาพการลงทุนที่ซ่อนอยู่
ศักยภาพมหาศาล: การกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย
หากข้อเสนอนี้ได้รับการผลักดันสำเร็จ ผลตอบรับต่อเศรษฐกิจไทยจะมหาศาลและหลากหลายมิติ:
กระตุ้น GDP โดยตรง: นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยได้ประมาณการไว้ว่า หากต่างชาติเข้ามาซื้อบ้านในโครงการ 1 แสนหลัง ราคาเฉลี่ย 5-10 ล้านบาทต่อหลัง จะสามารถทำให้ GDP ผงกหัวขึ้นได้อย่างชัดเจน นี่คือเม็ดเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาลที่ฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง
สร้างความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์: การเพิ่มกำลังซื้อจากต่างชาติจะช่วยระบายสต็อกบ้านจัดสรรที่คงค้างอยู่ และกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อซัพพลายเชนทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง แรงงาน ไปจนถึงสถาบันการเงิน
ดึงดูดกลุ่ม “Second Home” และผู้เกษียณ: ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับต้น ๆ ของโลกสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการบ้านหลังที่สองหรือที่พักหลังเกษียณ การเปิดช่องทางที่ถูกต้องจะยิ่งดึงดูดกลุ่ม High Net Worth Individuals (HNWIs) และผู้เกษียณอายุที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาลงทุนและใช้ชีวิตในไทย ซึ่งจะนำมาซึ่งการใช้จ่ายในภาคบริการ การท่องเที่ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเกษียณ: นี่คือตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก ชาวต่างชาติวัยเกษียณจำนวนมากแสวงหาบ้านพักตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเกษียณจึงเป็นโอกาสทอง
ยกระดับคุณภาพชีวิตและสาธารณูปโภค: เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น ย่อมนำไปสู่การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริการสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ภาษีและรายได้เข้ารัฐ: การทำธุรกรรมที่โปร่งใสจะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีการโอนกรรมสิทธิ์ และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยจากผู้เชี่ยวชาญ: การที่ต่างชาติมาลงทุนในบ้านจัดสรร จะดึงดูดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศเข้ามาให้คำปรึกษาและบริการ ซึ่งยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมในประเทศ
เจาะลึกภูมิภาค: ศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกและ EEC
ภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรี ระยอง และพัทยา คือศูนย์กลางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย และเป็นประตูสู่ EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจกต์ที่รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันให้เป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมมูล ทั้งสนามบิน ท่าเรือ นิคมอุตสาหกรรม และแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก
เหตุผลที่ภาคตะวันออกเป็นพื้นที่นำร่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง:
ทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์: ใกล้กรุงเทพฯ มีการเชื่อมโยงคมนาคมที่สะดวกสบาย ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก: พัทยา ชลบุรี ระยอง มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว ดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมากให้เข้ามาเยี่ยมเยือนและต้องการอยู่อาศัยระยะยาว
ศูนย์กลางอุตสาหกรรม: มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก ทำให้มีชาวต่างชาติที่เป็นผู้บริหารและวิศวกรเข้ามาทำงานและต้องการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ
ความพร้อมของโครงการบ้านจัดสรร: มีซัพพลายโครงการบ้านจัดสรรที่มีคุณภาพหลากหลายระดับราคา เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกัน
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใน EEC: การพัฒนา EEC อย่างต่อเนื่อง จะยิ่งเพิ่มมูลค่าและศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ ทำให้การลงทุนมีความน่าสนใจในระยะยาว
การเปิดให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในภาคตะวันออก จะช่วยต่อยอดความสำเร็จของ EEC และเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ให้ก้าวกระโดด
การสร้างสมดุล: ข้อควรพิจารณาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
แม้ว่าการให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทยจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล แต่การออกแบบกฎหมายและมาตรการก็ต้องทำอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์:
การควบคุมสัดส่วนและประเภททรัพย์สิน: การกำหนดสัดส่วนการถือครอง 49% ในโครงการบ้านจัดสรรถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และควรจำกัดเฉพาะบ้านจัดสรร ไม่รวมที่ดินเปล่า เพื่อป้องกันการเก็งกำไร
กลไกการตรวจสอบและกำกับดูแล: ต้องมีหน่วยงานที่ชัดเจนและมีอำนาจในการตรวจสอบที่มาของเงินทุน (AML/CFT) และกำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
การประเมินผลกระทบต่อราคาในท้องถิ่น: ต้องมีการศึกษาและติดตามผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดรอง (บ้านมือสอง) และราคาค่าเช่า เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของคนไทยในระยะยาว
ส่งเสริมการเช่าระยะยาว: นอกจากการซื้อขาด การเสนอทางเลือก “การเช่าระยะยาว” (Leasehold) ที่มีระยะเวลามากกว่า 30 ปี เช่น 50-90 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกที่น่าสนใจและเป็นสากล สามารถดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นได้
การวางแผนภาษีอสังหาริมทรัพย์สำหรับต่างชาติ: ควรมีระบบภาษีที่ชัดเจนและเป็นธรรม เพื่อดึงดูดการลงทุนและสร้างรายได้ให้กับประเทศ พร้อมทั้งป้องกันการเลี่ยงภาษี
ประเด็นเหล่านี้ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบจากคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดนโยบายที่ Win-Win สำหรับทุกฝ่าย
เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ: บทสรุปที่ชัดเจนและเร่งด่วน
จากมุมมองของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานอยู่ในสนามจริง ข้อสรุปคือชัดเจนว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
นายวัฒนพล ผลชีวิน นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรี เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจัดตั้งคณะกรรมการจากทุกภาคส่วน เพื่อปรึกษาหารือและวางแผนดำเนินการอย่างรอบคอบ
นายณัฐนนท ศรีสมบูรณ์ จากภัททา ดีเวลลอปเม้นท์ เสนอแนวทางการจำกัดสัดส่วนการซื้อในเบื้องต้น เช่น 5-10% ของโครงการ เพื่อดูผลก่อนขยายผล ซึ่งเป็นแนวทางที่ระมัดระวังแต่ก็สามารถเริ่มได้จริง
และนายชนินทร์ วานิชวงศ์ จาก Habitat Group ผู้ลงทุนในชลบุรี ได้ย้ำว่า “ทุกวันนี้เราก็รู้อยู่แล้วว่าต่างชาติใช้นอมินีเข้ามาซื้อ… สุดท้ายเราก็เห็นเขาอยู่กับเมียคนไทย ก็ทำให้มันขึ้นมาบนดินไปเลย เราก็ทำให้มันชัดเจน ยิ่งชัดเจน ต่างชาติก็ยิ่งมาซื้อเรามากขึ้น เราก็ได้ประโยชน์ เขามาจับจ่ายใช้สอย เสียภาษีอะไรต่าง ๆ” นี่คือประเด็นที่ตรงไปตรงมาที่สุด แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขกฎหมายเพื่อสร้างความโปร่งใสและประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ โดยเฉพาะตลาดล่างที่มีบ้านราคา 3-5 ล้านบาทยังคงประสบปัญหาอย่างหนัก หากยังคงพึ่งพาแต่กำลังซื้อภายในประเทศเพียงอย่างเดียว ความท้าทายจะยิ่งเพิ่มพูน การเปิดให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทยจึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยพยุงและขับเคลื่อนตลาดนี้ให้เดินหน้าต่อไปได้
สรุปและก้าวต่อไป
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผมเชื่อมั่นว่า “การให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทย” ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่ออนาคตของประเทศไทย การปฏิรูปกฎหมายในครั้งนี้ จะไม่เพียงช่วยฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวม แต่ยังจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศที่เปิดกว้าง โปร่งใส และน่าลงทุน
เราต้องไม่ลืมว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศคู่แข่งต่าง ๆ ก็กำลังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอย่างเข้มข้น หากเรายังคงยึดติดกับกฎเกณฑ์เดิม ๆ เราอาจสูญเสียโอกาสครั้งสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย
ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะต้องร่วมกันผลักดันและพิจารณาข้อเสนอนี้อย่างจริงจัง ผมขอเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ เพื่อศึกษาและกำหนดแนวทางการแก้ไขกฎหมายโดยเร็วที่สุด เพื่อปลดล็อกศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ไทย และนำพาเศรษฐกิจของเราไปสู่ยุคใหม่แห่งความรุ่งเรือง
หากท่านเป็นผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้สนใจในศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ไทย และเชื่อมั่นในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ผ่านการลงทุนจากต่างชาติ เราขอเชิญชวนท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนครั้งสำคัญนี้ ติดต่อเราเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและร่วมกันสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย

