ปลดล็อกศักยภาพ: โอกาสทองจาก “ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร” พลิกโฉมอสังหาริมทรัพย์ไทยยุค 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นทั้งยุครุ่งเรือง ความท้าทาย และการเปลี่ยนแปลงที่มิอาจคาดเดาได้ ทว่าสถานการณ์ในปัจจุบันนับเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่ง ที่เราต้องมองหาเครื่องยนต์ใหม่ๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ข้อเสนอในการเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงมิใช่แค่แนวคิดธรรมดาๆ หากแต่เป็น “โอกาสทอง” ที่อาจพลิกโฉมภูมิทัศน์เศรษฐกิจไทยให้กลับมาผงาดอีกครั้ง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมได้ติดตามและมีส่วนร่วมในการผลักดันประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและเป็นหมุดหมายสำคัญของชาวต่างชาติ สิ่งที่ชัดเจนคือตลาดในประเทศกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรง กำลังซื้อในระดับรากฐานอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าหลังวิกฤตการณ์ต่างๆ การพึ่งพาตลาดภายในประเทศเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพออีกต่อไป การเปิดประตูให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังและรอบด้าน
เจาะลึกสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย: ความท้าทายที่รอการแก้ไข
ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่า “ขายยาก” อันเนื่องมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคหลายประการที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2563 และต่อเนื่องถึงปี 2567-2568:
หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง: ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่แตะระดับ 90% ของ GDP ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวไทย ทำให้ความสามารถในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง: แม้เศรษฐกิจไทยจะผ่านพ้นช่วงโควิดมาแล้ว แต่การฟื้นตัวเป็นไปอย่างเชื่องช้าและกระจุกตัวในบางภาคส่วน เช่น การท่องเที่ยว ขณะที่ภาคส่วนอื่นๆ โดยเฉพาะภาคการผลิต ยังคงเผชิญความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความผันผวนด้านภูมิรัฐศาสตร์
สังคมสูงวัย: การก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มรูปแบบของประเทศไทย ทำให้จำนวนประชากรวัยแรงงานและวัยสร้างครอบครัวลดลง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการซื้ออสังหาริมทรัพย์
อัตราดอกเบี้ยและค่าครองชีพ: ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนกำลังซื้อของคนไทย
สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากต้องเผชิญกับยอดขายที่ซบเซา สต็อกคงค้างเพิ่มขึ้น และสภาพคล่องที่ตึงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการบ้านจัดสรรที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีวงจรการขายที่ยาวนานกว่าคอนโดมิเนียม
ทำไม “ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร” คือคำตอบสำหรับเศรษฐกิจไทยยุค 2025?
ในภาวะที่ตลาดภายในประเทศอ่อนแอ การดึงเม็ดเงินจากภายนอกเข้ามาจึงเป็นทางออกที่ไม่อาจมองข้ามได้ การเปิดโอกาสให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ:
กระตุ้นเศรษฐกิจมหภาคโดยตรง: หากลองจินตนาการว่ามีชาวต่างชาติมาซื้อบ้านในโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 100,000 หลัง ในราคาเฉลี่ยหลังละ 5-10 ล้านบาท เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจะสูงถึง 5 แสนล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาททันที ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ของประเทศ “ผงกหัว” ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สร้างการจ้างงานในภาคก่อสร้าง ภาคบริการ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องอีกหลายแสนตำแหน่ง และนำมาซึ่งรายได้จากภาษีจำนวนมหาศาล
ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ (FDI): การอนุญาตให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร เพื่ออยู่อาศัย เป็นการสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มแรงจูงใจให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนระยะยาวในประเทศไทยมากขึ้น ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวระยะสั้น แต่เป็นการตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนในภาคธุรกิจอื่นๆ ตามมา
แก้ปัญหานอมินีอย่างยั่งยืน: ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีชาวต่างชาติจำนวนมากที่ต้องการเข้ามาอยู่อาศัยในไทยและพยายามหาทางซื้อบ้าน แต่ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย ทำให้เกิดการซื้อขายผ่าน “นอมินี” ซึ่งเป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่ซับซ้อน ไม่โปร่งใส และสร้างปัญหาในภายหลังได้ หากเราทำให้กระบวนการนี้ถูกต้องตามกฎหมาย จะนำธุรกรรมเหล่านี้ขึ้นมาบนดิน ทำให้รัฐสามารถตรวจสอบ ควบคุม และเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะ “World’s Best Second Homes” และ “Retirement Hub”: ไทยเป็นหนึ่งในประเทศอันดับต้นๆ ที่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มวัยเกษียณ ให้ความสนใจเข้ามาอยู่อาศัย เนื่องจากมีค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล การบริการด้านสาธารณสุขที่ดี วัฒนธรรมที่เป็นมิตร และแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม การเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร จะตอกย้ำจุดแข็งนี้และดึงดูดกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก
กระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ: แทนที่จะจำกัดให้การซื้อขายอสังหาฯ เกิดขึ้นเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) หรือพื้นที่จำเพาะ การเปิดกว้างให้เกิดขึ้นได้ทั่วประเทศ (โดยมีเงื่อนไขที่เหมาะสม) จะช่วยกระจายเม็ดเงินลงทุนและรายได้ไปสู่จังหวัดต่างๆ สร้างการเติบโตในภูมิภาค และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
ข้อเสนอการแก้ไขกฎหมาย: รูปแบบและเงื่อนไขที่รอบคอบ
จากประสบการณ์และการหารือกับผู้เชี่ยวชาญในวงการ ข้อเสนอในการแก้ไขกฎหมายควรมีความรอบคอบและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว โดยมีแนวทางที่น่าสนใจดังนี้:
การถือครองกรรมสิทธิ์แบบมีสัดส่วน (49% Model):
นำแนวคิดการอนุญาตให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ทั้งหมดในโครงการมาปรับใช้กับโครงการบ้านจัดสรร นั่นหมายถึงในโครงการบ้านจัดสรร 100 หลัง อาจอนุญาตให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของได้ 49 หลัง ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมในการกระตุ้นตลาด โดยยังคงสิทธิการควบคุมของคนไทย
อาจเริ่มต้นที่สัดส่วนที่ต่ำกว่า เช่น 5-10% ของจำนวนยูนิตในโครงการ ในช่วงนำร่อง เพื่อประเมินผลกระทบและปรับปรุงกลไก ก่อนจะขยับสัดส่วนในอนาคต
กำหนดขนาดที่ดินที่เหมาะสม:
มีการเสนอให้จำกัดขนาดที่ดินสำหรับบ้านจัดสรรที่ชาวต่างชาติสามารถซื้อได้ เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา (ซึ่งเป็นขนาดบ้านจัดสรรทั่วไป) เพื่อป้องกันการเก็งกำไรที่ดินในวงกว้าง และรักษาสมดุลของการใช้ที่ดินในประเทศ
ที่สำคัญคือต้องจำกัดเฉพาะ “บ้านพร้อมที่ดินในโครงการจัดสรร” เท่านั้น ไม่รวมถึงที่ดินเปล่า เพื่อป้องกันปัญหาการกว้านซื้อที่ดิน
กรอบเวลาในการซื้อและประเมินผล:
อาจกำหนดกรอบเวลาในการซื้ออสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติ เช่น ภายใน 3-5 ปี หลังจากนั้นจึงประเมินผลตอบรับ ผลกระทบ และปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์
นอกจากนี้ อาจกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น ต้องมีการลงทุนในรูปแบบอื่น หรือต้องมีวีซ่าระยะยาวประเภทใดประเภทหนึ่ง เพื่อคัดกรองกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพ
ไม่ควรจำกัดพื้นที่แบบ “Sandbox”:
ข้อผิดพลาดในอดีตคือการจำกัดการถือครองอสังหาริมทรัพย์เฉพาะในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง (เช่น EEC) ซึ่งอาจทำให้ผลกระทบเชิงบวกไม่แผ่ขยายไปทั่วถึง การกระจายโอกาสให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้ทั่วประเทศ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม อาจพิจารณาให้พื้นที่ที่มีศักยภาพสูง เช่น เมืองท่องเที่ยวหลัก หรือจังหวัดที่มีการลงทุนจากต่างชาติสูง มีสัดส่วนการอนุญาตที่แตกต่างกัน เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลไกคณะกรรมการพิจารณา:
การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อหารือและกำหนดรายละเอียดของข้อกำหนดและระเบียบวิธีการอย่างรอบคอบ ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง คณะกรรมการชุดนี้ควรรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย รวมถึงผู้ที่อาจมีความกังวล เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและออกแบบนโยบายที่สมบูรณ์ที่สุด
สิ่งสำคัญคือการสร้างกฎกติกาที่ “ประเทศไทยสามารถควบคุมได้” มีความโปร่งใส ชัดเจน และเป็นธรรม เพื่อป้องกันปัญหาการฉวยโอกาสหรือการละเมิดกฎหมาย
ผลกระทบและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการ “ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร”
หากนโยบายนี้ถูกผลักดันสำเร็จด้วยกลไกที่รัดกุม ผมมองเห็นผลลัพธ์เชิงบวกที่หลากหลาย:
เพิ่มกำลังซื้อและสภาพคล่อง: อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์จะได้รับเม็ดเงินสดจำนวนมาก ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ ทั้งรายใหญ่และรายย่อยใน ภาคตะวันออก และทั่วประเทศ
ยกระดับมาตรฐานโครงการ: ความต้องการจากลูกค้าต่างชาติที่มักมีมาตรฐานสูง จะผลักดันให้ผู้พัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์ ต้องยกระดับคุณภาพ การออกแบบ และนวัตกรรมของบ้านจัดสรรให้ก้าวสู่ระดับสากล
สร้างมูลค่าเพิ่มให้ที่ดินและเมือง: การเข้ามาของชาวต่างชาติจะสร้างความเจริญและมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่นั้นๆ โดยรอบ ทั้งในแง่ของสิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐาน และบริการต่างๆ โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยาและระยอง
ส่งเสริมธุรกิจต่อเนื่อง: ไม่ใช่แค่การซื้อบ้าน แต่ยังรวมถึงการใช้จ่ายเพื่อการตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ภูมิทัศน์ การจ้างงานบริการในครัวเรือน (แม่บ้าน, คนสวน) และการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ร้านอาหาร โรงพยาบาล สถานศึกษา และบริการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งจะสร้างงานและกระจายรายได้ไปสู่ธุรกิจบริการต่างๆ อย่างกว้างขวาง
ลดปัญหาตลาดซบเซา: ช่วยดูดซับอุปทานส่วนเกินในตลาดอสังหาฯ และสร้างความสมดุลให้กับอุตสาหกรรมโดยรวม
โอกาสการลงทุนอสังหาฯ สำหรับต่างชาติ: เปิดช่องทางให้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยตรง ไม่ใช่แค่การเช่าระยะยาว
การจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นมืออาชีพมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้
บ้านหรูสำหรับต่างชาติ จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง
ความท้าทายและข้อควรพิจารณา: ก้าวอย่างรอบคอบ
แม้จะมีประโยชน์มหาศาล แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับชาติย่อมมาพร้อมความท้าทายที่ต้องได้รับการจัดการอย่างรอบคอบ:
ความกังวลเรื่องการเก็งกำไรและราคาที่ดิน: เป็นเรื่องปกติที่จะมีความกังวลว่าการเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร จะทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น จนกระทบต่อคนไทย สิ่งนี้ต้องได้รับการแก้ไขด้วยกลไกการควบคุมที่ชัดเจน เช่น การจำกัดขนาดที่ดิน การบังคับใช้กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอย่างจริงจัง และอาจมีมาตรการจำกัดการโอนกรรมสิทธิ์ในระยะแรก
การคุ้มครองผู้บริโภคชาวไทย: ต้องมั่นใจว่าการแก้ไขกฎหมายจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดินของคนไทย หรือทำให้คนไทยเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ยากขึ้น
ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม: การเพิ่มขึ้นของประชากรต่างชาติในบางพื้นที่อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ต้องมีการเตรียมความพร้อมและกลไกการบริหารจัดการความหลากหลายทางวัฒนธรรม
บทเรียนจากประเทศอื่น: เราควรศึกษาและเรียนรู้จากนโยบายการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือฟิลิปปินส์ ว่ามีทั้งข้อดีข้อเสียอย่างไร เพื่อนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทย
กลไกการกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย: สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีกฎหมายที่ชัดเจน โปร่งใส และสามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการทุจริต การใช้นอมินีอย่างผิดกฎหมาย และการละเมิดอื่นๆ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากผู้เชี่ยวชาญ
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ใน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผมขอเสนอแนะแนวทางที่รัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรพิจารณา:
สร้างโรดแมปที่ชัดเจน: กำหนดแผนงานที่โปร่งใส ระยะเวลา และเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการพิจารณาและผลักดันการแก้ไขกฎหมายนี้
สื่อสารกับสาธารณะอย่างโปร่งใส: สร้างเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง และให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจและลดความกังวล
ศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน: ทำการศึกษาเชิงลึก (Feasibility Study) เกี่ยวกับผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ก่อนการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
การสร้างแพลตฟอร์มการลงทุนที่น่าเชื่อถือ: จัดทำข้อมูลและช่องทางการอำนวยความสะดวกสำหรับ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้กับชาวต่างชาติอย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ
บูรณาการกับนโยบายวีซ่าระยะยาว: เชื่อมโยงนโยบายการให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร เข้ากับนโยบายการออกวีซ่าระยะยาว (Long-Term Resident Visa) หรือวีซ่าเกษียณ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงและมีความตั้งใจที่จะพำนักในไทยอย่างยั่งยืน
การวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงนโยบายให้ทันสมัย
สรุป: จุดเปลี่ยนเพื่ออนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ยั่งยืน
การตัดสินใจที่จะเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ไม่ใช่แค่เรื่องของการขายอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่จะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในภาพรวม การแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ หากทำด้วยความรอบคอบและมีวิสัยทัศน์ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาคึกคัก สร้างเม็ดเงินลงทุนมหาศาล และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในยุค 2025 และปีต่อๆ ไป
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องก้าวข้ามกรอบความคิดแบบเดิมๆ และกล้าที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ จากศักยภาพที่ประเทศไทยมีอย่างเต็มเปี่ยม เพื่ออนาคตที่สดใสของวงการอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจไทยของเรา หากท่านผู้ประกอบการ ผู้ลงทุน หรือผู้สนใจใน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน มองเห็นโอกาสและมีความประสงค์ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ หรือต้องการที่ปรึกษาด้าน อสังหาริมทรัพย์ เพื่อวางแผน พัฒนาโครงการอสังหาฯ ใหม่ๆ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อหารือแนวทางร่วมกัน เราเชื่อว่าด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจะสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และนำพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง.

