• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D2512128 ดจบแก งจ บเด ก(ละครส น) หน งส นด BSC part2

admin79 by admin79
December 27, 2025
in Uncategorized
0
D2512128 ดจบแก งจ บเด ก(ละครส น) หน งส นด BSC part2

เปิดมิติใหม่ให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย: โอกาสและความท้าทายในการเปิดทางให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของตลาด ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราต่างเผชิญกับคลื่นลมทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการณ์โควิด-19 หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น กำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ และความท้าทายจากสังคมผู้สูงอายุที่กำลังมาถึง แรงกระเพื่อมเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ และแน่นอนว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้การขายอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าที่เคยเป็นมา

ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางนี้ ข้อเสนอเชิงรุกจากภาคเอกชนในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดชลบุรีและระยอง ที่เรียกร้องให้มีการทบทวนและแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นประเด็นที่น่าจับตาและสมควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ผมมองว่านี่ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการเปิดประตูบานใหม่สู่การฟื้นฟูและสร้างความแข็งแกร่งให้กับ อสังหาริมทรัพย์ไทย ในระยะยาว หากมองด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและรอบด้าน นี่คือโอกาสทองในการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ และวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

วิกฤตการณ์และโอกาสในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย: มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ

จากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวง การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ มาอย่างต่อเนื่อง ผมเห็นว่าปัจจัยหลักที่ฉุดรั้ง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปัจจุบันคือปัญหาเชิงโครงสร้างของ เศรษฐกิจไทย เอง หนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP เป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะมันสะท้อนถึงกำลังซื้อที่แท้จริงของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้หลังสถานการณ์โควิด รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความลังเลในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายถึงสัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลง และส่งผลกระทบต่อทั้งกำลังการผลิตและกำลังซื้อในระยะยาว ปัญหาแรงงานและการขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ อสังหาริมทรัพย์ โดยรวม โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่าง เผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โครงการบ้านจัดสรรหลายแห่งต้องแบกรับภาระสต็อกที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการสภาพคล่องและแผนธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ที่ชาวต่างชาติทั่วโลกให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว ผู้ที่ต้องการพำนักระยะยาว หรือแม้กระทั่งผู้เกษียณอายุที่มองหา “Second Home” หรือบ้านหลังที่สองในต่างแดน ความสวยงามของวัฒนธรรม ค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล การบริการทางการแพทย์ระดับโลก และการต้อนรับที่อบอุ่น ล้วนเป็นแม่เหล็กดึงดูดที่ไม่เสื่อมคลาย แนวคิด “Thailand World Best Second Homes” ที่มีการผลักดันมาอย่างต่อเนื่องจึงไม่ใช่แค่ความฝัน แต่เป็นศักยภาพที่จับต้องได้ หากเราสามารถปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายที่ล้าสมัย เราจะสามารถเปลี่ยนความสนใจเหล่านี้ให้เป็นเม็ดเงินมหาศาลที่ไหลเข้าสู่ เศรษฐกิจไทย และฟื้นฟู ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง

เสียงเรียกร้องจากภาคตะวันออก: ทำไมต้องเปิดทางให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร?

ภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ถือเป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการค้า ซึ่งดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมากเข้ามาพำนักและทำงาน การที่ผู้ประกอบการในพื้นที่ อาทิ นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ จากบริษัท ไลฟแอนด์ ลีฟวิ่ง จำกัด และนายวัฒนพล ผลชีวิน นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรี ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไข กฎหมายที่ดิน เพื่อให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยครับ เพราะพวกเขาคือผู้ที่เห็นภาพปัญหาและโอกาสที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่

ปัญหาใหญ่ที่หลายคนทราบกันดีคือเรื่อง “นอมินี” หรือการใช้ชื่อคนไทยถือครองกรรมสิทธิ์แทนชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นวิธีที่แพร่หลายและเกิดขึ้นมานาน แม้จะเป็นที่รู้กันในวงกว้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่อยู่ใต้ดิน ไม่โปร่งใส และสร้างความเสี่ยงให้กับทั้งชาวต่างชาติเอง (ที่อาจเสียสิทธิในการเป็นเจ้าของจริง) และคนไทยที่เป็นนอมินี (ที่อาจถูกดำเนินคดี) การทำให้เรื่องนี้ขึ้นมาอยู่บนดินด้วย กฎหมายต่างชาติซื้ออสังหาฯ ที่ชัดเจน จะเป็นการสร้างความโปร่งใส ความมั่นใจ และลดความเสี่ยงให้กับทุกฝ่าย รวมถึงเพิ่มรายได้เข้ารัฐผ่านภาษีและค่าธรรมเนียมต่างๆ

หากเราสามารถเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้อง จะเป็นการ กระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างมหาศาล ลองจินตนาการดูว่าหากมีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อบ้านในโครงการต่างๆ ทั่วประเทศสัก 100,000 หลัง ในราคาเฉลี่ย 5-10 ล้านบาทต่อหลัง เม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ของประเทศผงกหัวขึ้นได้อย่างชัดเจน เงินเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในภาค อสังหาริมทรัพย์ เท่านั้น แต่จะกระจายตัวไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ ทั้งการก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ภาคบริการ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร และการค้าปลีก ซึ่งจะสร้างงานและกระจายรายได้ไปทั่วประเทศ

นอกจากนี้ การอนุญาตให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ยังเป็นการดึงดูด การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยตรงจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั่วโลกที่มองหา โอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มั่นคงและให้ ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์ ที่ดีในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงอย่าง อสังหาฯ ชลบุรี, บ้านจัดสรร ระยอง, และเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างพัทยา ซึ่งมีความต้องการจากต่างชาติสูงอยู่แล้ว

บทเรียนจากอดีตและโมเดลที่เสนอ: ก้าวไปข้างหน้าอย่างรอบคอบ

ประเทศไทยมีประสบการณ์ในการอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ คอนโดมิเนียม มานานแล้ว โดยกำหนดสัดส่วนการถือครองสูงสุดไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมดในโครงการ ซึ่งโมเดลนี้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จและไม่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบต่อประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ข้อเสนอล่าสุดในการเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร จึงมีการหยิบยกแนวคิดนี้มาปรับใช้ โดยเสนอให้เริ่มจากเงื่อนไขนำร่องที่คล้ายคลึงกัน เช่น การอนุญาตให้ถือครองกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 49% ของจำนวนยูนิตในโครงการ บ้านจัดสรร หรืออาจเริ่มต้นจากสัดส่วนที่น้อยกว่า เช่น 5-10% ของจำนวนบ้านในโครงการ เพื่อประเมินผลกระทบและปรับปรุงนโยบายในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอเงื่อนไขเฉพาะสำหรับขนาดที่ดิน เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา และจำกัดระยะเวลาการซื้อ อสังหาฯ ภายใน 3-5 ปี เพื่อให้สามารถประเมินผลตอบรับและผลกระทบได้อย่างใกล้ชิด ข้อเสนอนี้เป็นการเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตที่รัฐบาลเคยมีนโยบายให้ต่างชาติที่ลงทุนเกิน 40 ล้านบาท ถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้ไม่เกิน 1 ไร่ ซึ่งอาจจะยังไม่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยอย่างแท้จริง และไม่ได้สร้างผลกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้างเท่าที่ควร

ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ โดยนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงผู้ที่มีข้อกังวล มาร่วมปรึกษาหารือกันอย่างเปิดอก เพื่อกำหนดข้อกำหนดและระเบียบวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมและรอบคอบที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดว่าชาวต่างชาติจะสามารถซื้อได้เฉพาะ บ้านจัดสรร หรือ คอนโดมิเนียม เท่านั้น ไม่ใช่ที่ดินเปล่า เพื่อป้องกันการเก็งกำไรและผลกระทบต่อราคาที่ดินในระยะยาว นอกจากนี้ การไม่จำกัดการซื้อแค่ในพื้นที่ EEC แต่กระจายไปทั่วประเทศที่มีศักยภาพ จะช่วยกระจายเม็ดเงินและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับจังหวัดอื่นๆ ด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการกระจายความเจริญและลดความเหลื่อมล้ำ

ประเด็นท้าทายและข้อควรพิจารณาอย่างรอบด้าน

แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ย่อมมาพร้อมกับความท้าทายและข้อกังวลที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองเห็นประเด็นสำคัญดังนี้:

ผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ: หลายคนกังวลว่าการเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร จะทำให้ราคาบ้านในประเทศพุ่งสูงขึ้น จนคนไทยเองไม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจน เช่น ไม่เกิน 49% หรือ 5-10% ของโครงการ และอาจจะเน้นไปที่โครงการ บ้านหรู หรือกลุ่มราคาที่สูงขึ้นซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักของคนไทยส่วนใหญ่ หรือกลุ่มบ้านที่มีลักษณะพิเศษสำหรับการท่องเที่ยวและพักผ่อนใน พัทยา อสังหาริมทรัพย์ หรือ บ้านจัดสรร ศรีราชา ที่มีความต้องการจากต่างชาติสูงอยู่แล้ว ก็จะช่วยลดแรงกดดันนี้ได้ นอกจากนี้ การกำหนดประเภทของอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างชาติซื้อได้ (เช่น เฉพาะบ้านในโครงการจัดสรรที่ราคาเกินเกณฑ์ที่กำหนด) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการบริหารจัดการ

การเก็งกำไรที่ดิน: เพื่อป้องกันการเก็งกำไรในที่ดินเปล่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรหรือการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต ควรจำกัดสิทธิการซื้อเฉพาะโครงการ บ้านจัดสรร ที่พัฒนาแล้วเท่านั้น และต้องมีกลไกตรวจสอบและควบคุมอย่างรัดกุม

ปัญหาด้านสังคมและวัฒนธรรม: การเข้ามาของชาวต่างชาติจำนวนมากย่อมส่งผลต่อสังคมและวัฒนธรรมท้องถิ่น รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีแผนรองรับด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริการสาธารณะ และการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน

ความชัดเจนของกฎหมาย: การแก้ไข กฎหมายกรรมสิทธิ์อสังหาฯไทย ต้องมีความชัดเจน รัดกุม และไม่สร้างช่องโหว่ทางกฎหมาย เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมา เช่น กรณีที่ชาวต่างชาติเคยใช้ชื่อภรรยาคนไทยซื้อบ้าน แล้วเกิดปัญหาเมื่อความสัมพันธ์ยุติลง การมีกฎหมายที่อนุญาตให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้โดยตรงจะช่วยแก้ปัญหานี้ และลดความซับซ้อนของการใช้ นอมินี

การเช่าระยะยาว vs. การถือครองกรรมสิทธิ์: แม้ปัจจุบันจะมีทางเลือกการเช่าระยะยาว (Leasehold) ไม่เกิน 30 ปี แต่ในมุมมองของนักลงทุนและผู้ที่ต้องการพำนักระยะยาว การถือครองกรรมสิทธิ์ (Freehold) ย่อมให้ความมั่นคงและความรู้สึกเป็นเจ้าของที่แท้จริงมากกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ ในประเทศไทย การขยายโอกาสการถือครองกรรมสิทธิ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายนี้

การออก วีซ่าลงทุนอสังหาฯ หรือ วีซ่าระยะยาว สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในวงเงินที่กำหนด ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่รัฐบาลสามารถพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ชาวต่างชาติเข้ามา ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย และพำนักในประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การใช้จ่ายและการบริโภคที่สูงขึ้นตามมา

ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยและการลงทุน

หากการผลักดันให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ประสบความสำเร็จและถูกดำเนินการอย่างรอบคอบ ผมเชื่อมั่นว่าจะมีผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาลต่อ เศรษฐกิจไทย และ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้:

กระตุ้น GDP อย่างมีนัยสำคัญ: เม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่ไหลเข้ามาจะสร้างกำลังซื้อใหม่ให้กับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีห่วงโซ่คุณค่ากว้างขวาง การซื้อขายบ้านแต่ละหลังจะนำไปสู่การจ้างงานในภาคการก่อสร้าง การผลิตวัสดุ การตกแต่งภายใน การบริการสาธารณูปโภค และอื่นๆ อีกมากมาย ก่อให้เกิด Multiplier Effect ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวม

เพิ่มรายได้เข้ารัฐ: การซื้อขายที่ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้รัฐบาลจัดเก็บ ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ค่าธรรมเนียม และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของคนไทยทุกคน

ลดปัญหา Inventory: โครงการ บ้านจัดสรร โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกและเมืองท่องเที่ยวที่มีสต็อกค้างอยู่ จะมีโอกาสระบายสินค้าได้เร็วขึ้น ลดภาระของผู้ประกอบการ และช่วยให้วงจรธุรกิจหมุนเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยรวม

ดึงดูดผู้เกษียณอายุและ Digital Nomads: ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับ ผู้เกษียณอายุ ที่มองหาสถานที่พักผ่อนหลังวัยเกษียณ การมีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านอย่างถูกต้องจะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจ การอำนวยความสะดวกให้กลุ่มนี้เข้ามาพำนัก จะนำมาซึ่งการใช้จ่ายด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว และการบริโภคต่างๆ ที่ต่อเนื่องในระยะยาว นอกจากนี้ กลุ่ม Digital Nomads ที่ทำงานได้จากทุกที่ทั่วโลก ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่ประเทศไทยควรดึงดูดเข้ามา ซึ่งการมีที่พักอาศัยที่สะดวกสบายและเป็นเจ้าของได้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

ยกระดับคุณภาพอสังหาริมทรัพย์: การแข่งขันเพื่อดึงดูด การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ จะส่งผลให้ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพสูงขึ้น มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีมาตรฐานสากล ซึ่งจะยกระดับ อสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ

สร้างความเชื่อมั่น: การมี กฎหมายต่างชาติซื้ออสังหาฯ ที่โปร่งใสและเป็นธรรม จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ที่ต้องการพำนักระยะยาวมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการใช้ นอมินี และส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีระบบกฎหมายที่ทันสมัยและเอื้อต่อการลงทุน

Road Map สู่การปฏิบัติ: ก้าวต่อไปที่ประเทศไทยต้องพิจารณา

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าการดำเนินการในเรื่องนี้ต้องเป็นไปอย่างมีขั้นตอนและรอบคอบ โดยมี Road Map ดังนี้:

การจัดตั้งคณะกรรมการร่วม: รัฐบาลควรเร่งจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษที่ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ผู้ประกอบการ อสังหาริมทรัพย์ และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ และหาข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด

กำหนดประเภทและสัดส่วนที่ชัดเจน: ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้เฉพาะประเภทใด (เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ในโครงการจัดสรร) ไม่ใช่ที่ดินเปล่า และกำหนดสัดส่วนการถือครองให้เหมาะสม โดยอาจเริ่มจาก 5-10% หรือไม่เกิน 49% ของยูนิตในแต่ละโครงการ และอาจพิจารณากำหนดราคาขั้นต่ำของอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายหลักคือชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง

วางกรอบกฎหมายที่รัดกุม: รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข กฎหมายกรรมสิทธิ์อสังหาฯไทย ที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเป็นกฎหมายที่ชัดเจน ไม่คลุมเครือ ป้องกันการตีความที่แตกต่าง และปิดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคต โดยอาจศึกษาจากกรณีของประเทศอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูด การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ

พัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลและภาษี: ต้องมีระบบทะเบียนที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพในการบันทึกข้อมูลการถือครอง อสังหาริมทรัพย์ ของชาวต่างชาติ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบและจัดเก็บ ภาษีอสังหาริมทรัพย์ อย่างครบถ้วน รวมถึงพิจารณาการจัดเก็บภาษีพิเศษสำหรับผู้ที่ถือครองเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น

มาตรการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์: หากกฎหมายมีความชัดเจนแล้ว รัฐบาลควรมีแผนการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย และการใช้ชีวิต เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ โดยอาจร่วมมือกับ ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ มืออาชีพ และบริษัทที่เชี่ยวชาญด้าน การจัดการสินทรัพย์ต่างชาติ

ประเมินผลและปรับปรุง: ควรมีการกำหนดระยะเวลาในการประเมินผลกระทบหลังจากเริ่มบังคับใช้กฎหมาย (เช่น 3-5 ปี) เพื่อดูว่านโยบายดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ มีผลกระทบเชิงบวกหรือลบอย่างไร เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

บทสรุป: อนาคตที่สดใสของอสังหาริมทรัพย์ไทยรออยู่

การเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องพิจารณาอย่างจริงจังในสถานการณ์ปัจจุบัน หากเราสามารถบริหารจัดการประเด็นนี้ได้อย่างชาญฉลาด มีกฎกติกาที่ชัดเจน เป็นธรรม และโปร่งใส ผมเชื่อมั่นว่านี่จะเป็นการพลิกฟื้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ครั้งใหญ่ สร้าง โอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ใหม่ๆ และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วย กระตุ้นเศรษฐกิจ ให้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในวงการ ผมมองเห็นศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของประเทศไทยที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลาง อสังหาริมทรัพย์ สำหรับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การตัดสินใจที่เด็ดขาดและรอบคอบในวันนี้ จะกำหนดทิศทางอนาคตของ อสังหาริมทรัพย์ไทย และ เศรษฐกิจไทย ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

เราไม่ควรปล่อยให้โอกาสดีๆ นี้หลุดลอยไป เพียงเพราะความกลัวหรือข้อจำกัดที่สามารถหาทางออกได้เสมอ มาช่วยกันผลักดันและสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกันเถอะครับ

ก้าวสู่การลงทุนที่มั่นคงในอนาคต: หากคุณคือผู้ประกอบการหรือนักลงทุนที่มองหาโอกาสใหม่ๆ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย และต้องการคำปรึกษาเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์กว่า 10 ปี เพื่อทำความเข้าใจนโยบายและวางแผนกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โปรดติดต่อเราเพื่อรับคำแนะนำที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

Previous Post

D2512122 วยพ อจ บช (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post

D2512132 หลอกเง นน องสาวว าเอามาซ อรถท ไหนได (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post
D2512132 หลอกเง นน องสาวว าเอามาซ อรถท ไหนได (ละครส น) หน งส นด BSC part2

D2512132 หลอกเง นน องสาวว าเอามาซ อรถท ไหนได (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D2512121 คนใกล วร ายท (ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D2512149 คนงานก อสร างแม กอ อน(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D2512148 ปลอมต วเป นต นไม บผ ดเม ยม (ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D2512147 แฟนเอาพ สาวมาอย วย แต ไม วยทำอะไรเลย(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D2512146 ขอให คนขายช วยโกหกเร องราคา (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.