พลิกโฉมวงการ: โอกาสและความท้าทายในการเปิดทางให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ในไทย – บทวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญอสังหาฯ 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยมายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของตลาดมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มีประเด็นหนึ่งที่วนเวียนเป็นหัวข้อสนทนาสำคัญ และดูเหมือนจะทวีความเร่งด่วนมากขึ้นในปัจจุบัน นั่นคือ “การเปิดโอกาสให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ในประเทศไทย” นี่ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขกฎหมายเล็กน้อย แต่คือการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่จะกำหนดทิศทางของภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไปที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งเครื่องฟื้นฟูเศรษฐกิจจากปัจจัยท้าทายรอบด้าน
สถานการณ์ปัจจุบันของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่ผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ และสังคมผู้สูงอายุที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปัจจัยเหล่านี้ล้วนบั่นทอนกำลังซื้อภายในประเทศ ทำให้การขายอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะบ้านจัดสรรเป็นไปอย่างยากลำบาก ผู้ประกอบการหลายรายต้องแบกรับภาระสต็อกที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น และบางรายถึงกับต้องชะลอแผนการลงทุนใหม่ ๆ สถานการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างกว้างขวาง ทั้งภาคการก่อสร้าง แรงงาน วัสดุก่อสร้าง และสถาบันการเงิน การมองหา “กลไกขับเคลื่อน” ใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน และการพิจารณาเปิดประตูให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกกฎหมายก็เป็นหนึ่งในทางออกที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างจริงจัง
เสียงเรียกร้องจากภาคตะวันออก: ทำไมต้องเปิดทางให้ชาวต่างชาติ?
ภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรีและระยอง ถือเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวที่สำคัญ และยังเป็นหัวใจของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมาก ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นี้มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเศรษฐกิจภายนอกเป็นพิเศษ และเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ส่งเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย
ผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างคุณมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ จากไลฟแอนด์ ลีฟวิ่ง และคุณวัฒนพล ผลชีวิน จากมณีรินทร์ พร็อพเพอร์ตี้ ต่างชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ในปัจจุบันมี ชาวต่างชาติ จำนวนมากที่เข้ามาพำนักในประเทศไทย ไม่ว่าจะเพื่อการทำงาน การลงทุน หรือการเกษียณอายุ และมีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรร แต่ด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับ กรรมสิทธิ์ที่ดิน ทำให้ต้องอาศัย “นอมินี” ในการถือครอง ซึ่งนอกจากจะไม่ใช่แนวทางที่โปร่งใสแล้ว ยังสร้างปัญหาทางกฎหมายและข้อพิพาทตามมามากมายในภายหลัง เช่น กรณีที่คู่สมรสชาวไทยนำบ้านไปจำนองหรือขายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของเงินที่แท้จริง
หากมีการปลดล็อกให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกกฎหมาย เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศได้มหาศาล ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยระบายสต็อกบ้านจัดสรรที่คงค้างอยู่เท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ ๆ ในภาคอสังหาริมทรัพย์ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น และที่สำคัญคือจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงผลักดัน GDP ของประเทศให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว แนวคิดนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่ EEC เท่านั้น แต่สามารถกระจายโอกาสและรายได้ไปสู่จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศที่มีศักยภาพในการดึงดูด ชาวต่างชาติ ให้มาพำนักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นเมืองท่องเที่ยว เมืองรอง หรือพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็น บ้านพักตากอากาศ หรือศูนย์กลางสำหรับ วีซ่าระยะยาว และกลุ่ม Digital Nomads
กลไกและเงื่อนไขที่เสนอ: บทเรียนจากอดีต สู่แนวทางใหม่
การพิจารณาอนุญาตให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว ประเทศไทยมีประสบการณ์ในการเปิดทางให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้สูงสุด 49% ของพื้นที่ทั้งหมดในโครงการมาแล้ว ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนและสร้างดีมานด์ให้กับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยไม่ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยเหนือที่ดิน
ข้อเสนอจากภาคเอกชนจึงมักอ้างอิงถึงโมเดล 49% นี้ และเสนอเงื่อนไขที่รัดกุมเพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:
การจำกัดสัดส่วน: ในระยะเริ่มต้น อาจจำกัดสัดส่วนการถือครองของ ชาวต่างชาติ ไว้ที่ 5-10% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดในโครงการบ้านจัดสรรนั้น ๆ เพื่อทดลองประเมินผลกระทบและความเหมาะสม ก่อนที่จะพิจารณาเพิ่มสัดส่วนเป็น 49% หรือสูงกว่าในอนาคตตามความเหมาะสมและสถานการณ์ของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์
ประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่อนุญาต: เน้นเฉพาะบ้านจัดสรรที่พัฒนาขึ้นในโครงการเท่านั้น ไม่รวมที่ดินเปล่า เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการส่งเสริมการซื้อที่อยู่อาศัยสำเร็จรูป ไม่ใช่การเก็งกำไรในที่ดิน
ขนาดที่ดินที่อนุญาต: อาจมีการกำหนดขนาดพื้นที่ที่ดินสำหรับบ้านจัดสรรที่ ชาวต่างชาติ สามารถถือครองได้ เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา เพื่อไม่ให้เกิดการครอบครองที่ดินขนาดใหญ่เกินความจำเป็น
ระยะเวลาการประเมินผล: กำหนดกรอบระยะเวลาในการดำเนินการและประเมินผล เช่น 3-5 ปี เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริงได้
การตั้งคณะกรรมการ: ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงนักวิชาการ เพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ รายละเอียด และเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยคำนึงถึงมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง
นอกเหนือจากนี้ รัฐบาลควรพิจารณามาตรการเสริม เช่น การส่งเสริม วีซ่าระยะยาว สำหรับผู้ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับภาษีเพื่อให้เกิดความชัดเจนและโปร่งใสในการ ภาษีอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผู้ที่ต้องการมาพำนักระยะยาวในประเทศไทย การสร้างความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายและการบริหารจัดการจะเป็นกุญแจสำคัญในการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: พลิกฟื้น GDP หรือสร้างความเหลื่อมล้ำ?
การเปิดทางให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ย่อมมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
โอกาส:
เม็ดเงินลงทุนมหาศาล: การไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ กระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม และเพิ่ม GDP ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
การระบายสต็อกและกระตุ้นการพัฒนา: ช่วยลดสต็อกที่อยู่อาศัยที่ยังไม่สามารถขายได้ และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเกิดการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด
การสร้างงาน: การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์จะสร้างงานในหลากหลายสาขา ตั้งแต่การก่อสร้าง การออกแบบ การขาย การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง
รายได้ภาษี: รัฐบาลจะได้รับรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีการโอน ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้พัฒนาประเทศได้
ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพำนักระยะยาว: ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับ ชาวต่างชาติ ที่ต้องการบ้านหลังที่สอง หรือที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ การเปิดโอกาสนี้จะยิ่งดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้ให้มาใช้ชีวิตและจับจ่ายใช้สอยในประเทศมากขึ้น
ความท้าทายและข้อควรระวัง:
ผลกระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์: หากไม่มีการควบคุมที่ดี การเข้ามาของดีมานด์จากต่างชาติอาจทำให้ราคาบ้านจัดสรรในบางพื้นที่สูงขึ้นจนเกินกำลังซื้อของคนไทย ซึ่งอาจสร้างความเหลื่อมล้ำและปัญหาการเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้
การเก็งกำไร: มีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติบางรายจะเข้ามาเพื่อการเก็งกำไรระยะสั้น แทนที่จะเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาด
ผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรม: การเพิ่มขึ้นของชุมชนชาวต่างชาติในบางพื้นที่อาจส่งผลต่อโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี
ปัญหาเรื่องนอมินี: แม้จะเปิดให้ซื้อได้ แต่หากกฎหมายไม่รัดกุมพอ หรือไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างเข้มงวด ปัญหานอมินีอาจจะยังคงอยู่และเปลี่ยนรูปแบบไป
ความมั่นคง: แม้จะจำกัดเฉพาะบ้านจัดสรร แต่การที่ ชาวต่างชาติ สามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่สำคัญบางแห่งก็อาจเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาด้านความมั่นคงอย่างละเอียด
การจะเดินหน้าในเรื่องนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบ มีมาตรการป้องกันและควบคุมที่ชัดเจน รวมถึงการปรึกษาหารือกับทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง เพื่อหาจุดสมดุลที่เหมาะสมและสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศโดยรวม หากไม่เช่นนั้น โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมกับการเปิดทางให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร อาจกลายเป็นความท้าทายที่ยากจะรับมือ
มุมมองเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ: โอกาสและความท้าทายในยุค 2025+
จากประสบการณ์ของผม สิ่งที่สำคัญกว่าการ “เปิดหรือไม่เปิด” คือ “จะเปิดอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างความยั่งยืน” ในปี 2025 และอนาคต ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย กำลังมุ่งหน้าสู่ยุคที่ผู้ซื้อมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการย้ายถิ่นฐานหลังเกษียณ (retirees) และกลุ่มคนทำงานอิสระหรือ Digital Nomads ที่สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ในโลก ประเทศไทยมีเสน่ห์ดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่ไม่แพงเกินไป วัฒนธรรมที่น่าสนใจ อาหารอร่อย การบริการด้านสุขภาพที่ทันสมัย และโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ดีเยี่ยม
สิ่งที่เราต้องทำคือการสร้าง “แพ็กเกจ” ที่น่าสนใจและชัดเจน สำหรับการ ลงทุนธุรกิจอสังหาฯ ของต่างชาติ ไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่คือการขาย “ไลฟ์สไตล์” และ “ความมั่นคง” ในการพำนักระยะยาว ซึ่งอาจรวมถึง:
การออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์: พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่เข้าใจความต้องการของ ชาวต่างชาติ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม สาธารณูปโภคครบครัน สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ หรือพื้นที่ทำงานร่วมกันสำหรับ Digital Nomads
บริการครบวงจร: จัดหาบริการด้าน ที่ปรึกษากฎหมายอสังหาฯ ที่เชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม และให้คำแนะนำด้านกฎหมายที่ถูกต้อง เพื่อลดข้อพิพาทและสร้างความมั่นใจ
การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์: จัดหาระบบ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ มืออาชีพสำหรับ ชาวต่างชาติ ที่อาจไม่ได้พำนักอยู่ในประเทศไทยตลอดเวลา เพื่อดูแลทรัพย์สินและสร้างผลตอบแทนจากการเช่า
การใช้เทคโนโลยี (PropTech): นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการซื้อขาย การบริหารจัดการ และการให้บริการ เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส
การพัฒนาพื้นที่: รัฐบาลควรสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรอบ ๆ โครงการบ้านจัดสรรที่รองรับ ชาวต่างชาติ เช่น โรงพยาบาลนานาชาติ โรงเรียนนานาชาติ และแหล่งนันทนาการ
การอนุญาตให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ควรมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวในการดึงดูด กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนคุณภาพสูงเข้าสู่ประเทศ ไม่ใช่แค่การแก้ไขปัญหาสต็อกระยะสั้น เราต้องเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตและประเทศอื่น ๆ ที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการเรื่องนี้ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้กระทั่งฟิลิปปินส์ ซึ่งมีกฎระเบียบที่ชัดเจนในการอนุญาตให้ ชาวต่างชาติ ถือครองอสังหาริมทรัพย์บางประเภทได้
บทสรุปและก้าวต่อไป
การพิจารณาเปิดทางให้ ชาวต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร เป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน แต่เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย และเศรษฐกิจโดยรวมในยุคหลังโควิด ความจำเป็นในการสร้างดีมานด์ใหม่จากภายนอกประเทศเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่านี่คือ “เวลาที่เหมาะสมที่สุด” ที่รัฐบาลจะแสดงความกล้าหาญในการตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน และที่สำคัญที่สุดคือ “ความโปร่งใส” ในทุกขั้นตอน การจัดตั้งคณะกรรมการจากหลากหลายภาคส่วนเพื่อพิจารณาประเด็นนี้อย่างจริงจัง และการกำหนดเงื่อนไขที่รัดกุม ชัดเจน และเป็นธรรม จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักลงทุนต่างชาติและประชาชนชาวไทย
หากเราสามารถปลดล็อกศักยภาพนี้ได้อย่างชาญฉลาด ด้วยกฎหมายที่ชัดเจนและมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ประเทศไทยจะไม่เพียงแต่สามารถฟื้นฟู ภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้กลับมาคึกคักได้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว และตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ “World Best Second Homes” และจุดหมายปลายทางที่น่าอยู่อาศัยและน่าลงทุนสำหรับ ชาวต่างชาติ ทั่วโลกอย่างแท้จริง
ดังนั้น การหารือและผลักดันประเด็นเรื่อง การขอใบอนุญาตต่างชาติซื้อบ้าน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นเรื่องของประเทศชาติที่รอคอยการตัดสินใจที่เด็ดขาดและรอบคอบ
หากท่านเป็นผู้ประกอบการที่สนใจโอกาสในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรเพื่อรองรับความต้องการจากชาวต่างชาติ หรือต้องการคำปรึกษาด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โปรดติดต่อทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อรับข้อมูลเชิงลึกและแนวทางการวางแผนธุรกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

