พลิกโฉมวงการอสังหาฯ ไทย: ปลดล็อกศักยภาพ ‘ต่างชาติซื้อบ้าน’ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ยุคใหม่
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าจับตาและวิเคราะห์พลวัตของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ ความท้าทายที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังเผชิญอยู่นั้นซับซ้อนและลึกซึ้งกว่าที่เคยเป็นมานับตั้งแต่สถานการณ์โรคระบาดใหญ่เมื่อปี 2563 การฟื้นตัวที่เชื่องช้าจากผลพวงของความขัดแย้งระหว่างประเทศ แรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเกินกว่า 90% ของ GDP ตลอดจนการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ล้วนเป็นปัจจัยที่บั่นทอนกำลังซื้อภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรร ประสบภาวะซบเซาอย่างเห็นได้ชัดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
สถานการณ์เช่นนี้ได้กระตุ้นให้ผู้ประกอบการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องแสวงหานวัตกรรมและทางออกใหม่ๆ เพื่อปลดล็อกศักยภาพที่ยังคงซ่อนอยู่ โดยหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังและเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คือ “การเปิดโอกาสให้ต่างชาติซื้อบ้านในไทยได้อย่างถูกกฎหมาย” ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์และมีศักยภาพในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างภาคตะวันออก ซึ่งเป็นประตูสำคัญสู่การลงทุนและการท่องเที่ยวระดับโลก
จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้คลุกคลีกับการพัฒนาโครงการในพื้นที่ภาคตะวันออก ทั้งในจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ผมเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ ข้อถกเถียงเรื่อง “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว แต่เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมานานและถึงเวลาแล้วที่จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังและรอบด้าน เพื่อให้ประเทศไทยไม่ตกขบวนจากกระแสการลงทุนและการย้ายถิ่นฐานของชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงทั่วโลก
วิกฤตที่ต้องการทางออก: เมื่อกำลังซื้อในประเทศไม่เพียงพอ
ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจถึงบริบทปัจจุบันของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนทางการเมือง และภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค ได้ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการซื้อและการตัดสินใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดบ้านจัดสรรในหลายทำเล โดยเฉพาะบ้านระดับกลาง-ล่าง ราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเคยเป็นตลาดหลัก ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้น และยอดขายชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
ในขณะที่โครงการอสังหาริมทรัพย์หรู หรือ “บ้านหรู” ระดับบนยังคงพอประคองตัวไปได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจขับเคลื่อนตลาดโดยรวมได้อย่างยั่งยืน ผู้ประกอบการหลายรายต้องเผชิญกับสต็อกที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญว่า “ประเทศไทยจะพึ่งพากำลังซื้อภายในประเทศเพียงอย่างเดียวได้อีกนานแค่ไหน?” นี่คือจุดที่แนวคิดเรื่องการเปิดประตูให้ “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” กลายเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
เสียงสะท้อนจากภาคตะวันออก: ทำไมต้องปลดล็อกต่างชาติซื้อบ้าน?
ภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่อย่างชลบุรี ระยอง และพัทยา ถือเป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงในการดึงดูดชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน ผู้บริหารระดับสูงที่ทำงานใน EEC กลุ่มผู้เกษียณอายุ หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่ต้องการบ้านพักตากอากาศระยะยาว ชาวต่างชาติเหล่านี้จำนวนมากมีความต้องการ “บ้านจัดสรร” เพื่อการอยู่อาศัยที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นรูปแบบที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่โครงการ
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ เมื่อกฎหมายไม่เอื้ออำนวย การ “ซื้อขายผ่านนอมินี” จึงกลายเป็นช่องทางที่แพร่หลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงชาวต่างชาติเอง ต่างก็ตระหนักดีถึงความเสี่ยงและความซับซ้อนทางกฎหมายที่มาพร้อมกับโครงสร้างการถือครองแบบนี้ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้รัฐขาดรายได้จากการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ยังสร้างความไม่มั่นคงในการถือครองให้กับชาวต่างชาติ และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ความโปร่งใสของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติอีกด้วย
การแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นการยกระดับมาตรฐานและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเรา การทำให้ทุกอย่าง “ขึ้นมาบนดิน” จะช่วยให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อต่างชาติ ซึ่งจะนำไปสู่การไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล และกระตุ้นเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ
ข้อเสนอจากผู้เชี่ยวชาญ: แนวทางที่เป็นไปได้และสมดุล
จากเวทีสัมมนาและข้อหารือของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรีและระยอง รวมถึงอดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้มีการนำเสนอแนวคิดและเงื่อนไขเบื้องต้นที่น่าสนใจ ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการหาจุดสมดุลระหว่างการเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติ:
การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ: ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยมีตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้ที่อาจมีข้อกังวล เพื่อเปิดใจรับฟังความคิดเห็นและกำหนดกรอบแนวทางที่เหมาะสมที่สุด
การจำกัดสัดส่วนการถือครอง: เบื้องต้นอาจจำกัดสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในโครงการบ้านจัดสรรแต่ละแห่ง คล้ายกับกรณีคอนโดมิเนียม เช่น ไม่เกิน 49% หรืออาจเริ่มที่ 5-10% ของจำนวนยูนิตในโครงการ เช่น โครงการบ้าน 100 หลัง ให้ต่างชาติซื้อได้ 5-10 หลัง เพื่อประเมินผลกระทบและปรับปรุงในระยะถัดไป
เงื่อนไขพื้นที่และระยะเวลา: อาจกำหนดเงื่อนไขขนาดที่ดินที่ต่างชาติสามารถถือครองได้ เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา และกำหนดระยะเวลาในการประเมินผลตอบรับ เช่น ภายใน 3-5 ปี เพื่อให้สามารถทบทวนและปรับปรุงนโยบายได้ตามสถานการณ์
โฟกัสที่บ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัย: ควรเน้นย้ำว่าการเปิดทางนี้มุ่งเน้นไปที่ “บ้านจัดสรร” เพื่อการอยู่อาศัยจริง ไม่ใช่การซื้อที่ดินเปล่าเพื่อการเก็งกำไร ซึ่งในหลายประเทศก็มีข้อกำหนดในลักษณะนี้
ไม่จำกัดพื้นที่ใน EEC เท่านั้น: แม้ EEC จะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ แต่ศักยภาพของ “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” ควรได้รับการกระจายไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อกระจายรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง ไม่ควรกำหนดเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกซ์เพียงแห่งเดียว
ข้อเสนอเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความกังวลที่อาจเกิดขึ้น และความมุ่งมั่นที่จะออกแบบนโยบายที่โปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
ปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ: ผลกระทบเชิงบวกที่ประเมินค่ามิได้
หากมีการปลดล็อกให้ “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” ได้อย่างเป็นระบบและถูกกฎหมาย ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยจะปรากฏให้เห็นในหลายมิติ:
กระตุ้น GDP และการหมุนเวียนเงินตรา: การลงทุนซื้อบ้านแต่ละหลังคิดเป็นมูลค่าหลักล้านบาท ซึ่งหากมีชาวต่างชาติมาซื้อบ้านจัดสรรจำนวน 100,000 หลัง ในราคาเฉลี่ย 5-10 ล้านบาทต่อหลัง จะสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มหาศาล ส่งผลให้ GDP ของประเทศผงกหัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นี่คือ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ที่จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่ประเทศ
สร้างรายได้เข้ารัฐ: การซื้อขายที่โปร่งใสจะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าธรรมเนียมการโอน และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งจะนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ
ฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์: ความต้องการจากต่างชาติจะช่วยดูดซับสต็อกที่อยู่อาศัยที่คงค้าง กระตุ้นให้ผู้ประกอบการเริ่มพัฒนาโครงการใหม่ๆ ซึ่งจะสร้างงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมาก
ดึงดูดกลุ่มกำลังซื้อสูง: ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ สำหรับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เกษียณอายุ (Retirement property) ผู้ประกอบการ นักลงทุน และกลุ่ม Digital Nomads ที่มีกำลังซื้อสูง การเปิดโอกาสนี้จะดึงดูดกลุ่มคนเหล่านี้ให้เข้ามาพำนักระยะยาว ส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในภาคบริการ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร และอื่นๆ
ยกระดับคุณภาพชีวิตและสาธารณูปโภค: การเข้ามาของกลุ่มประชากรต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง มักจะมาพร้อมกับความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนพัฒนาโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำ ร้านอาหารคุณภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการเหล่านี้
สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: ในยุคที่หลายประเทศแข่งขันกันดึงดูดเม็ดเงินและการลงทุนจากต่างชาติ การมีนโยบายที่ชัดเจนและเอื้อต่อ “การลงทุนในไทย” โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ จะช่วยเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
อนาคตอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2025 และเทรนด์ที่ต้องจับตา
เมื่อมองไปข้างหน้าถึงปี 2025 และ beyond ตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีเทรนด์สำคัญที่ประเทศไทยควรนำมาพิจารณาในการออกแบบนโยบาย “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด:
การพัฒนาอย่างยั่งยืนและอาคารสีเขียว (Sustainability & Green Building): ผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง มีแนวโน้มที่จะมองหาที่อยู่อาศัยที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และมีการออกแบบที่ยั่งยืน การส่งเสริมการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะช่วยดึงดูดตลาดกลุ่มนี้ได้
เทคโนโลยีและสมาร์ทโฮม (Technology & Smart Homes): การบูรณาการเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ากับที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นระบบรักษาความปลอดภัย การควบคุมพลังงาน หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อ
การทำงานระยะไกลและ Digital Nomads: การระบาดของ COVID-19 ได้เร่งให้เกิดการทำงานระยะไกลอย่างแพร่หลาย กลุ่ม Digital Nomads มองหาประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดี ค่าครองชีพสมเหตุสมผล และกฎระเบียบที่เอื้อต่อการพำนักระยะยาว การเปิดโอกาสให้ “ต่างชาติซื้อบ้าน” ควบคู่ไปกับ “วีซ่าระยะยาว” ที่ยืดหยุ่น จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางสำหรับกลุ่มคนเหล่านี้
โครงการเมกะโปรเจกต์และ EEC: การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ใน EEC เช่น สนามบินนานาชาติ อุตสาหกรรมเป้าหมาย และเมืองใหม่ จะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้พำนักอาศัยชาวต่างชาติ การมี “อสังหาริมทรัพย์ใน EEC” ที่ต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของได้ จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงการนี้
ความต้องการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเกษียณ: ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้เกษียณอายุจากทั่วโลก การนำเสนอ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการเกษียณ” ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะทาง เช่น การเข้าถึงบริการสุขภาพระดับโลก และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับวัย จะเป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง
การจัดการสินทรัพย์และการลงทุนอสังหาริมทรัพย์: สำหรับชาวต่างชาติบางราย การซื้อบ้านในไทยอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “การจัดการสินทรัพย์” และ “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์” ในพอร์ตโฟลิโอทั่วโลก การมีกฎหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้พวกเขาพิจารณา “ผลตอบแทนการลงทุนอสังหาฯ” ได้อย่างมั่นใจ
การจัดการความกังวลอย่างชาญฉลาด
แน่นอนว่าทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมมาพร้อมกับความกังวล การเปิดโอกาสให้ “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” ก็เช่นกัน ประเด็นหลักๆ ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมาคือ:
ราคาที่ดินและบ้านที่อาจปรับตัวสูงขึ้น: เพื่อป้องกันปัญหานี้ รัฐบาลสามารถกำหนดเพดานราคาขั้นต่ำของบ้านที่ต่างชาติสามารถซื้อได้ หรือจำกัดพื้นที่ที่อนุญาตให้ซื้อได้เฉพาะโครงการที่ขึ้นทะเบียนและมีราคาเกินกว่าระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อกำลังซื้อของคนไทยในตลาดล่าง
การเก็งกำไรและที่ดินเปล่า: การจำกัดประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างชาติสามารถซื้อได้เฉพาะ “บ้านจัดสรร” ที่มีสิ่งปลูกสร้างแล้ว และมีวัตถุประสงค์เพื่อการอยู่อาศัยเป็นหลัก จะช่วยลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรในที่ดินเปล่า
ผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรม: การกำหนดเงื่อนไขการถือครองที่ชัดเจน และการสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการระหว่างชุมชนต่างชาติและชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน จะช่วยลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น
การควบคุมและตรวจสอบ: ต้องมีกลไกที่เข้มแข็งในการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินทุน (AML) และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการกระทำที่ผิดกฎหมายอื่นๆ
การสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด รัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันออกแบบมาตรการที่รอบคอบ รัดกุม และโปร่งใส
บทสรุปและก้าวต่อไป
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องกล้าที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และพิจารณาข้อเสนอเรื่อง “ต่างชาติซื้อบ้านในไทย” อย่างเปิดกว้างและจริงจัง นี่ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหาสภาวะซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่ออนาคตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของประเทศ การที่ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว การบริการ และการลงทุนโดยรวม
ข้อเสนอจากภาคตะวันออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการในจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของ EEC สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการของตลาดและความท้าทายที่กำลังเผชิญอยู่ การจัดตั้งคณะกรรมการจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันศึกษาและกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุด
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่รอการปลดล็อก หากเราสามารถสร้างกฎหมายและนโยบายที่เอื้ออำนวย และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้ เราจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาล และกลุ่มประชากรคุณภาพสูงจากทั่วโลกให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะพลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความรุ่งเรืองให้กับเศรษฐกิจไทยในยุคใหม่
พร้อมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์หรือไม่?
หากท่านคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้ที่สนใจในโอกาส “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย” และต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกฎหมาย หรือโอกาสในการพัฒนาโครงการที่ตอบรับกับเทรนด์ตลาดโลก ผมยินดีให้คำปรึกษาและแบ่งปันประสบการณ์เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่สดใสให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย โปรดติดต่อเราเพื่อหารือถึงแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับท่านในวันนี้.

