พลิกเกม “เชียงแสน” เมืองหน้าด่าน: ถอดรหัส “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” แสนล้าน สู่โอกาสทองของไทยในยุค 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนชายแดนมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ณ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” ฝั่ง สปป.ลาว ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มาโดยตลอด การเปลี่ยนแปลงที่นั่นไม่ได้เป็นเพียงการก่อสร้างตึกรามบ้านช่อง หรือการขยายโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการก่อร่างสร้าง “มหานครแห่งใหม่” ที่ขับเคลื่อนด้วยทุนจีนมหาศาล ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อภูมิทัศน์เศรษฐกิจในอนุภูมิภาค การทำความเข้าใจพลวัตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ไม่ใช่แค่เรื่องของ สปป.ลาว แต่เป็นโจทย์สำคัญที่ประเทศไทย โดยเฉพาะอำเภอเชียงแสน ต้องวิเคราะห์และวางยุทธศาสตร์เพื่อคว้าโอกาส หรืออย่างน้อยก็บริหารจัดการความท้าทายที่กำลังถาโถมเข้ามา
บทความนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จและวิสัยทัศน์ของ คิงส์โรมัน พร้อมทั้งวิเคราะห์สถานะปัจจุบันของเชียงแสน และเสนอแนวทางเชิงรุกเพื่อพลิกบทบาทจาก “เมืองผ่าน” ให้กลายเป็น “ศูนย์กลาง” ทางเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งขึ้น โดยเน้นยุทธศาสตร์ที่สอดรับกับเทรนด์โลกปี 2025
“คิงส์โรมัน” อาณาจักรแห่งการลงทุนข้ามพรมแดน: ภาพรวมและวิสัยทัศน์ที่ไม่ธรรมดา
ย้อนกลับไปกว่า 17 ปี กลุ่มดอกงิ้วคำ ภายใต้การนำของนักลงทุนชาวจีน “เจ้าเหว่ย” ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 2,173 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 99 ปี นี่ไม่ใช่แค่สัญญาเช่าที่ดินธรรมดา แต่เป็นการมอบอำนาจในการพัฒนาที่ครอบคลุมและกว้างขวางเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ในครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แห่งนี้ จากภาพที่เราเห็นในปัจจุบัน คิงส์โรมัน ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ด้วยเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน คือการสร้างศูนย์กลางด้านอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยวเชิงแม่น้ำโขง ศูนย์กลางโลจิสติกส์ การพัฒนาเกษตรครบวงจร รวมถึงการกีฬาและสันทนาการแบบครบวงจร ด้วยเม็ดเงินลงทุนที่คาดการณ์ไว้แตะหลักแสนล้านบาท การลงทุนในตลาดเกิดใหม่เช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างเมืองใหม่ให้เทียบเท่ามหานครชั้นนำของโลก
หากมองจากฝั่งแม่น้ำโขงของเชียงแสน เราจะเห็นภาพตึกสูงระฟ้า โรงแรมหรู และอาคารชุดคอนโดมิเนียมผุดขึ้นเรียงรายตลอดแนวริมน้ำ ภาพนี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของการลงทุนจีนที่มุ่งมั่นสร้างมหานครขนาดใหญ่บนผืนแผ่นดินลาว สิ่งที่น่าสนใจคือ การบริหารจัดการภายใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มีลักษณะกึ่งปกครองตนเอง ทำให้การตัดสินใจและดำเนินการโครงการต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ปัจจุบันมีพลเมืองภายในและต่างประเทศอาศัยอยู่ร่วมกันประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างพื้นฐานที่พลิกโฉมภูมิภาค: จากท่าเรือสู่รันเวย์ระดับสากล
ความสำเร็จของ คิงส์โรมัน ไม่ได้มาจากเพียงวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ แต่ยังรวมถึงการทุ่มเทลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาลและครบวงจร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดึงดูดการลงทุนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว จากการสำรวจล่าสุด พบว่าภายในเขตกำลังมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งท่าเรือมาตรฐานสากล การขยายถนนหนทาง การสร้างระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย รวมถึงการบริการขนส่งสาธารณะที่รองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติได้อย่างสะดวกสบาย
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเปิดดำเนินการของ “ท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว” อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2567 สนามบินแห่งนี้มีพื้นที่ราว 1,800 ไร่ รันเวย์ยาว 2,700 เมตร ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของ สปป.ลาว ที่สามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ถึง 200 ที่นั่ง อาทิ แอร์บัส A321 หรือโบอิ้ง 737-900 การมีสนามบินนานาชาติขนาดใหญ่นี้เป็นการยกระดับศักยภาพด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ อย่างก้าวกระโดด เป็นการเชื่อมโยงโดยตรงกับตลาดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากจีนและทั่วโลก ทำให้ คิงส์โรมัน ไม่ใช่เพียงแค่เมืองชายแดนที่ต้องอาศัยการเดินทางทางบกเท่านั้น แต่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงทางอากาศที่สำคัญของอนุภูมิภาค
นอกจากสนามบินแล้ว การลงทุนในระบบท่าเรือก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารปีละ 450,000 คน และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่รองรับได้ถึง 150,000 คนต่อปี ที่สำคัญคือ “ท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขง” ที่สามารถรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือสินค้าได้ 10,000 ตันต่อปี และมีลานพิธีการศุลกากรครบครัน ในปีนี้ยังคาดว่าจะมีการเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขง เชื่อมโยงจีน ลาว เมียนมา และไทย ซึ่งจะทำให้ คิงส์โรมัน กลายเป็นศูนย์กลางการเดินเรือที่สำคัญ ไม่ใช่แค่การค้า แต่ยังเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติอีกด้วย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงการวางแผนระยะยาวเพื่อสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ
มิติทางเศรษฐกิจและสังคมใน “คิงส์โรมัน”: เมืองที่เติบโตไม่หยุดยั้ง
ภายใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เราจะได้เห็นการหลอมรวมของหลากหลายธุรกิจและบริการ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว บ่อนกาสิโนขนาดใหญ่ที่ดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจากทั่วภูมิภาค อาคารชุดเพื่อการอยู่อาศัยที่ทันสมัยสำหรับพนักงานและผู้บริหาร สำนักงานของบริษัทห้างร้านต่างๆ ภัตตาคารและร้านอาหารนานาชาติ แหล่งสถานบันเทิง ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ ไปจนถึงแผนการสร้างโรงพยาบาล สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างเมืองที่ครบวงจร หรือ “Smart City” ในแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งสามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยและผู้มาเยือน
การลงทุนในธุรกิจบันเทิงและสันทนาการนับเป็นหัวใจสำคัญที่ดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามา โดยเฉพาะสนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมและที่พักที่เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปี 2566 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสันทนาการจากทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีโครงการ “ตลาดน้ำ” มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ ที่มีแนวคิดแบบมาเก๊า โดยมีทั้งโรงแรม คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ผสมผสานกับการอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งถูกวางให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากฝั่งไทยข้ามมาเยี่ยมชม
ด้านเกษตรกรรมก็ไม่เป็นสองรองใคร มีการเร่งถางป่าและดอยหลายลูกเพื่อเตรียมปลูกทุเรียน รองรับความต้องการของตลาดจีนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี กว่าผลผลิตชุดแรกจะออกสู่ตลาด นี่คือยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในการส่งเสริมเกษตรสมัยใหม่ เพื่อป้อนการบริโภคภายในเขต และหากเหลือก็จะส่งออกไปยังตลาดจีนและลาว รวมถึงมีการพัฒนาพื้นที่ปศุสัตว์ พืชไร่จำพวกถั่ว และดอกไม้ประดับ การพัฒนาแบบครบวงจรเช่นนี้ทำให้ คิงส์โรมัน ไม่ใช่แค่เมืองอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ยังเป็นศูนย์กลางการผลิตและการบริโภคที่พึ่งพาตนเองได้ในระดับหนึ่ง
ในมิติทางสังคม คิงส์โรมัน เป็นแหล่งรวมของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งชาวจีนที่เข้ามาลงทุนและทำงานหลัก ชาวเมียนมาซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานก่อสร้าง และชาวลาวที่ทำงานในภาคบริการ เช่น ไกด์ พนักงานต้อนรับ คนขับรถ หรือ รปภ. แม้ว่าพลเมืองส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนและชาวต่างชาติ แต่ก็มีความพยายามในการสร้างสวัสดิการสำหรับบุตรหลานของผู้ที่ทำงานในกาสิโนคิงส์โรมัน โดยมีโรงเรียนนานาชาติที่เปิดให้เรียนฟรี การพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่ใส่ใจการศึกษาและคุณภาพชีวิต เป็นสิ่งที่เราต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
“เชียงแสน” จุดเปลี่ยนหรือเพียงทางผ่าน: การปรับตัวของเมืองหน้าด่านไทย
ในขณะที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กำลังผงาดขึ้นเป็นมหานครแห่งใหม่ที่สว่างไสว ฝั่งตรงข้ามอย่างอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับคำถามสำคัญว่าบทบาทของตัวเองคืออะไร? ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนชายแดน ผมมองว่าปัจจุบันเชียงแสนยังคงเป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางข้ามไปสัมผัสประสบการณ์ที่ คิงส์โรมัน ประโยชน์ทางตรงที่เชียงแสนได้รับจึงค่อนข้างจำกัด มีเพียงผู้ประกอบการรถรับจ้างจากสนามบินเชียงราย และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเท่านั้นที่ได้รับอานิสงส์โดยตรง
สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้ออกแบบตัวเองให้เป็น “Magnet” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบริการหรือแหล่งท่องเที่ยวจากฝั่งไทยมากนัก อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจของเชียงแสนก็เริ่มมีการปรับตัวบ้าง เช่น มีการลงทุนเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นราว 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาว 2 แห่ง เพื่ออาศัยจุดชมวิวแสงสีของ คิงส์โรมัน ยามค่ำคืน แต่การพัฒนาเหล่านี้ยังคงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเผชิญกับความท้าทายสำคัญอย่างราคาที่ดินริมแม่น้ำโขงฝั่งเชียงแสนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาขนาดใหญ่ของภาคเอกชนไทย
เสียงสะท้อนจากหอการค้าจังหวัดเชียงรายก็เช่นกัน ที่มองว่าเชียงแสนยังไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ และยังคงเป็นห่วงในประเด็นความมั่นคง หากมีการเสนอสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมกับ คิงส์โรมัน ซึ่งอาจเอื้อประโยชน์ให้ฝั่งลาวได้มากขึ้น ในขณะที่ฝั่งไทยอาจเสียประโยชน์จากธุรกิจเรือข้ามฟากไป การบริหารความเสี่ยงการลงทุนและผลกระทบข้ามพรมแดนจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ยุทธศาสตร์พลิกเกม: ปั้น “เชียงแสน” สู่ศูนย์กลางใหม่ที่โดดเด่น
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมี “กลยุทธ์การลงทุน” ที่ชัดเจนและเชิงรุกสำหรับอำเภอเชียงแสน เพื่อไม่ให้เราเป็นเพียงผู้เฝ้ามองหรือผู้เสียเปรียบต่อการเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศ ผมขอเสนอแนวทางพลิกเกมดังนี้:
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์จากภาครัฐ: รัฐบาลไทยจำเป็นต้องลงทุนเมกะโปรเจกต์ในพื้นที่เชียงแสน เพื่อสร้าง “Magnet” ดึงดูดการท่องเที่ยวและการลงทุนให้เกิดขึ้นในฝั่งไทยบ้าง เช่น การพัฒนาระบบขนส่งที่เชื่อมโยงสนามบินเชียงรายกับเชียงแสนอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาท่าเรือขนส่งสินค้าและผู้โดยสารที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อรองรับการเติบโตของการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว
พัฒนาเชียงแสนสู่ “Wellness City” และแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์: แทนที่จะพยายามแข่งกับ คิงส์โรมัน ในด้านกาสิโนและสถานบันเทิง เราควรสร้างจุดแข็งที่แตกต่าง โดยเน้นการพัฒนาเชียงแสนให้เป็น “Wellness City” หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมระดับพรีเมียม โดยการลงทุนทางการแพทย์และการพัฒนาบริการสปา โรงแรมสุขภาพ และกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่างๆ การดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ข้ามไปตีกอล์ฟหรือพักผ่อนที่ คิงส์โรมัน ให้กลับมาพักค้างคืนและใช้บริการในเชียงแสน จะเป็นการสร้างการใช้จ่ายและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับพื้นที่อย่างยั่งยืน
ผลักดันโครงการ “Entertainment Complex” ที่มีเอกลักษณ์: หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้มีการผลักดันแนวคิดการสร้าง Entertainment Complex ในเชียงแสน ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจ หากสามารถออกแบบให้มีเอกลักษณ์และแตกต่างจาก คิงส์โรมัน โดยอาจเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือเป็นศูนย์รวมศิลปะและหัตถกรรมพื้นบ้าน ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มเฉพาะและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำ การวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนธุรกิจบันเทิงอย่างละเอียดจะช่วยให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ
ใช้ประโยชน์จาก “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ” (NEC): รัฐบาลควรเร่งเชื่อมโยงเชียงแสนเข้ากับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ที่ครอบคลุมเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงรายอย่างเป็นรูปธรรม โดยกำหนดให้เชียงแสนเป็นหนึ่งในแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนที่สำคัญของ NEC การวางแผนบริการวางแผนการลงทุนและการสร้างมาตรการจูงใจที่ชัดเจน จะช่วยดึงดูดทั้งทุนในประเทศและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่
พัฒนา “การค้าชายแดน” และ “โลจิสติกส์” ให้มีประสิทธิภาพ: การค้าชายแดนยังคงเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจในภูมิภาค ควรมีการพัฒนาพิธีการศุลกากรให้รวดเร็วและโปร่งใสยิ่งขึ้น รวมถึงการสร้างคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่ทันสมัย เพื่อรองรับปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากทั้งฝั่งไทยและลาว การบริหารจัดการความเสี่ยงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนต้องถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
ส่งเสริม “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์” สำหรับธุรกิจบริการ: ด้วยราคาที่ดินที่สูงขึ้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ เช่น โรงแรมขนาดเล็ก ศูนย์การค้าชุมชน หรือพื้นที่จัดแสดงสินค้าและนิทรรศการ (MICE) จะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในเชียงแสน อย่างไรก็ตาม ต้องมีการศึกษา “การประเมินมูลค่าโครงการ” อย่างรอบคอบ และอาจต้องมีมาตรการช่วยเหลือด้านแหล่งเงินทุนโครงการใหญ่จากภาครัฐ เพื่อลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการท้องถิ่น
บทสรุป: เชียงแสนต้องก้าวข้ามสู่บทบาทใหม่
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือ คิงส์โรมัน ได้กลายเป็นต้นแบบของความสำเร็จในการพัฒนาเมืองชายแดนด้วยเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจากต่างชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ การพัฒนาที่รวดเร็วและครบวงจรนี้เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับอำเภอเชียงแสน และประเทศไทย หากเรายังคงมองเชียงแสนเป็นเพียงเมืองผ่าน เราจะพลาดโอกาสทองในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลในระยะยาว
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในแวดวงนี้ ผมเชื่อมั่นว่าเชียงแสนมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลาง” ทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น ด้วยทำเลที่ตั้งอันเป็นยุทธศาสตร์ และวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่เรามีอยู่ การเร่งวางกลยุทธ์และดำเนินโครงการพัฒนาที่ชัดเจน ทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรม การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ และการเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ จะเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกโฉมเชียงแสนจาก “เมืองผ่าน” ให้กลายเป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากทั่วโลกได้อย่างยั่งยืนในยุค 2025 และปีต่อๆ ไป
อย่ารอให้โอกาสเหล่านี้ผ่านไป! หากท่านคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้บริหารภาครัฐที่เล็งเห็นศักยภาพของอำเภอเชียงแสน และต้องการคำปรึกษาเชิงลึกด้านการวางแผนการลงทุน หรือกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน โปรดติดต่อเราเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสให้กับเชียงแสนและประเทศไทยไปด้วยกัน

