พลิกโฉม “เชียงแสน” จากเมืองผ่าน สู่ประตูทองของ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” คิงส์โรมัน: ยุทธศาสตร์ 2025 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนภูมิภาคมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ที่กำลังพลิกโฉมแผนที่เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นคือการถือกำเนิดและเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” ณ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายของประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนมหาศาลหลักแสนล้านบาท โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งบันเทิงครบวงจร แต่คือศูนย์กลางทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ที่กำลังแผ่อิทธิพลข้ามพรมแดน สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยที่อยู่ประชิดติดกัน
สิ่งที่น่าจับตาคือ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้ถูกพัฒนาจนกลายเป็นเสมือนหนึ่งมณฑลย่อยๆ ของจีนที่เชื่อมต่อกับชายแดนไทยผ่านแม่น้ำโขง ตลอดระยะเวลากว่า 17 ปี ภายใต้การนำของกลุ่มดอกงิ้วคำและ “เจ้าเหว่ย” นักลงทุนชาวจีนรายใหญ่ โครงการนี้ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 63,750 ไร่จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 99 ปี ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ระยะยาวและการลงทุนอันมหาศาลที่ถูกทุ่มเทลงไปในพื้นที่แห่งนี้ การพัฒนาที่รวดเร็วและต่อเนื่องได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ริมฝั่งโขงให้เต็มไปด้วยตึกระฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก หากมองจากฝั่งเชียงแสนในวันนี้ เราจะเห็นภาพของมหานครแห่งใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แกะรอยการเติบโตของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ: มิติแห่งการลงทุนและยุทธศาสตร์
หัวใจสำคัญของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คือการวางเป้าหมายที่ชัดเจนในการเป็นศูนย์กลางด้านอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยวเชิงแม่น้ำโขง โลจิสติกส์ เกษตรครบวงจร กีฬาและสันทนาการ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่แผนงาน แต่กำลังก่อรูปเป็นจริงขึ้นอย่างน่าทึ่ง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายในเขตฯ ได้รับการยกระดับอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือมาตรฐาน ถนนที่ขยายกว้างขึ้น ป้ายรถประจำทาง ห้องน้ำสาธารณะที่สะอาดสวยงาม ไปจนถึงแท็กซี่ป้ายจีนที่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้าง “อาณาจักรเอ็นเตอร์เทนเมนต์” และศูนย์กลางธุรกิจที่สมบูรณ์แบบ
ในใจกลางของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้รวบรวมเอาองค์ประกอบที่หลากหลายไว้ด้วยกันอย่างครบครัน ตั้งแต่โรงแรมหรูระดับโลก กาสิโนขนาดใหญ่ คอนโดมิเนียมและอาคารชุดเพื่อการอยู่อาศัยที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทข้ามชาติ ภัตตาคารและร้านอาหารนานาชาติ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติที่รองรับบุตรหลานของผู้ทำงานในพื้นที่ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ ไปจนถึงสนามบินนานาชาติบ่อแก้ว ซึ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2567 และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ สปป.ลาว ด้วยรันเวย์ยาว 2,700 เมตร ที่สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ อาทิ Airbus A321 หรือ Boeing 737-900 ได้ สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนด้านโลจิสติกส์และการเข้าถึงที่เหนือชั้น
การบริหารจัดการของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มีลักษณะพิเศษ ปัจจุบันมีพลเมืองทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน อาศัยอยู่รวมกันประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขการเข้าออกผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565-มิถุนายน 2566 มีถึง 278,231 คน จาก 85 สัญชาติ แสดงให้เห็นถึงการเป็น magnet ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกได้อย่างแท้จริง สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหา โอกาสลงทุน ในภูมิภาคนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ นำเสนอภาพลักษณ์ของความพร้อมและศักยภาพในการเติบโตอย่างมหาศาล
นอกจากภาคบริการและการท่องเที่ยวแล้ว ยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรสมัยใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าสนใจภายในเขตฯ มีการปรับพื้นที่เพื่อปลูกทุเรียนจำนวนมาก รองรับความต้องการของตลาดจีนที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ปศุสัตว์เพาะเลี้ยงวัว สุกร และปลูกถั่ว ดอกไม้ประดับ เพื่อป้อนการบริโภคภายในเขตฯ และส่งออกต่อไปยังตลาดจีนและลาวในอนาคต ซึ่งถือเป็นการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรและยั่งยืนภายในระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของตนเอง
การเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์และศักยภาพการลงทุนระดับภูมิภาค
กลุ่มทุน “เจ้าเหว่ย” ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาภายในเขตฯ เท่านั้น แต่ยังขยายการลงทุนไปสู่การเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค ท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว กำลังได้รับการพัฒนาเพื่อรองรับผู้โดยสารปีละหลายแสนคน รวมถึงท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศและท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขง ที่จะรองรับเรือขนาด 500 ตัน พร้อมลานพิธีการศุลกากร ซึ่งคาดว่าจะเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงเชื่อมโยงระหว่างจีน ลาว เมียนมา และไทยภายในปีนี้ สิ่งเหล่านี้จะยกระดับให้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็น ศูนย์กลางโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ที่สำคัญอย่างแท้จริง
การลงทุนด้านนันทนาการก็ไม่น้อยหน้า สนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมที่พักระดับพรีเมียม ก็ได้เปิดดำเนินการไปเมื่อปลายปี 2566 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ และอีกหนึ่งเมกะโปรเจกต์คือตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ ที่ตั้งเป้าจะจำลองบรรยากาศแบบมาเก๊ามาไว้ ณ ที่แห่งนี้ พร้อมด้วยโรงแรม คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากฝั่งไทยให้หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นการตอกย้ำศักยภาพในการเป็น destination การท่องเที่ยวและ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
เชียงแสน: เมืองผ่าน หรือประตูสู่ขุมทรัพย์?
ในทางกลับกัน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กลับพบว่าตนเองกำลังเผชิญกับสถานะที่ท้าทายอย่างยิ่ง จากการสำรวจข้อมูลและพูดคุยกับผู้ประกอบการในพื้นที่ ผมพบว่าในปัจจุบัน เชียงแสนยังคงเป็นเพียง “เมืองผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางไปคิงส์โรมันเท่านั้น เนื่องจาก เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้พัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างอย่างครบวงจรและสมบูรณ์แบบ ทำให้นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องแวะพักหรือใช้จ่ายในเชียงแสนมากนัก แม้จะมีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางไปคิงส์โรมันเฉลี่ยเดือนละประมาณ 10,000 คน แต่ผลประโยชน์ที่เชียงแสนได้รับกลับมีจำกัด ส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ประกอบการรถรับจ้างไทยที่ให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมาเชียงแสนเพื่อข้ามฝั่ง และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเท่านั้น
นี่คือประเด็นท้าทายที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ในฐานะที่เชียงแสนเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญใน ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) และเป็นประตูเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจจีนขนาดใหญ่ การปล่อยให้เป็นเพียงทางผ่านนั้นเป็นการสูญเสีย โอกาสลงทุน และ ผลตอบแทนการลงทุน ที่มหาศาล
ภาคธุรกิจท้องถิ่นในเชียงแสนได้พยายามปรับตัว โดยมีการเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงและโรงแรมระดับ 2-3 ดาวเพิ่มขึ้น เพื่ออาศัยจุดชมวิวแสงสียามค่ำคืนของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แต่การพัฒนาในลักษณะนี้ยังถือว่าอยู่ในวงจำกัด และต้องเผชิญกับต้นทุนที่ดินริมแม่น้ำโขงที่สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนขนาดใหญ่จากภาคเอกชนท้องถิ่น
ยุทธศาสตร์เชิงรุกสำหรับประเทศไทยและเชียงแสน ในยุค 2025
สิ่งที่ประเทศไทย โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจในเชียงแสน ต้องเร่งดำเนินการคือการกำหนด “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” เพื่อพลิกโฉมจากเมืองผ่านให้กลายเป็น “ประตูทอง” ที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้อย่างแท้จริง
การลงทุนเมกะโปรเจกต์ภาครัฐ: รัฐบาลไทยจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการผลักดัน “เมกะโปรเจกต์” ลงสู่พื้นที่เชียงแสน เพื่อสร้าง magnet ดึงดูดการท่องเที่ยวและการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น การปรับปรุงเส้นทางคมนาคม การยกระดับด่านชายแดนให้มีความคล่องตัวและทันสมัย หรือแม้แต่การพิจารณาโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมเชียงแสนกับฝั่งคิงส์โรมัน ซึ่งต้องมีการศึกษาผลกระทบและผลประโยชน์อย่างรอบด้าน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ ความมั่นคง และผลกระทบต่อผู้ประกอบการเดิม
พัฒนาเชียงแสนสู่ “Wellness City” และศูนย์กลางประสบการณ์: แทนที่จะพยายามแข่งขันโดยตรงกับคิงส์โรมัน ซึ่งมีจุดแข็งในด้านกาสิโนและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ขนาดใหญ่ เชียงแสนควรสร้างจุดเด่นของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็น “เมืองสุขภาพ” (Wellness City) ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสปา หรือการเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่โดดเด่น นักท่องเที่ยวที่ข้ามไปเล่นกอล์ฟหรือใช้บริการอื่นๆ ที่คิงส์โรมัน อาจกลับมาใช้บริการสปา แพทย์ทางเลือก หรือพักผ่อนในบรรยากาศเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ของเชียงแสน ซึ่งจะช่วยเพิ่มระยะเวลาการพำนักและกระตุ้นการใช้จ่ายในพื้นที่
ส่งเสริมการลงทุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจ: รัฐบาลควรมี นโยบายส่งเสริมการลงทุน ที่ชัดเจนและน่าดึงดูดสำหรับผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติที่สนใจ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในเชียงแสน โดยอาจพิจารณามาตรการลดหย่อน ภาษีธุรกิจ หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพื่อดึงดูดทุนให้เข้ามาพัฒนาโรงแรม ร้านอาหาร หรือบริการอื่นๆ ที่สอดรับกับการเติบโตของคิงส์โรมัน รวมถึงการจัดตั้ง “ที่ปรึกษาการลงทุน” โดยเฉพาะสำหรับภูมิภาคนี้
ความร่วมมือและการประสานงานข้ามพรมแดน: การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนของไทยกับ สปป.ลาว และแม้แต่กับนักลงทุนจีนใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การจัดเวทีหารือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และหาแนวทาง ความร่วมมือเศรษฐกิจ ในมิติต่างๆ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน การพัฒนา ศูนย์กลางโลจิสติกส์ ที่เชื่อมโยงสองฝั่งโขง หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เสริมสร้างซึ่งกันและกัน จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
การพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษา: เพื่อรองรับการเติบโตและการลงทุนในอนาคต การพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะด้านภาษาต่างประเทศ (จีน อังกฤษ) และด้านบริการ จะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับ แนวโน้มการท่องเที่ยว และ การค้าเสรี ในภูมิภาค ก็จะช่วยให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
บทสรุป: ก้าวข้ามความท้าทาย สร้างอนาคตที่ยั่งยืน
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือคิงส์โรมัน ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ไม่อาจมองข้ามได้ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้กำลังสร้างแรงกระเพื่อมที่ข้ามพรมแดน และเป็นทั้งกระจกสะท้อนและบททดสอบสำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอเชียงแสน
ในฐานะนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อมั่นว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “เมืองผ่าน” แต่คือช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์เพื่อคว้า โอกาสลงทุน อันมหาศาลที่อยู่ตรงหน้า การพัฒนาเชียงแสนจากเพียงจุดแวะพัก ให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีเอกลักษณ์และดึงดูดการลงทุนของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Wellness City, ศูนย์กลางวัฒนธรรม หรือศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับเพื่อนบ้าน จะช่วยให้เชียงแสนและประเทศไทยได้รับ ผลตอบแทนการลงทุน อย่างเป็นรูปธรรม และก้าวสู่การเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ ที่ผูกโยงกับฐานเศรษฐกิจจีนขนาดใหญ่ได้อย่างยั่งยืน
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็ว เพื่อปลดล็อกศักยภาพของเชียงแสน และเปลี่ยนโฉมจากเมืองผ่านให้กลายเป็นประตูทองแห่งโอกาสที่แท้จริง
หากท่านมีความสนใจในการสำรวจ โอกาสลงทุน ในภูมิภาคนี้ หรือต้องการหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาและการลงทุนในเชียงแสนและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเจาะลึกยิ่งขึ้น ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมแบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึก เพื่อสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองร่วมกัน อย่ารอช้าที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงนี้ไปพร้อมกัน

