เจาะลึก “คิงส์โรมัน”: พลิกโฉมสามเหลี่ยมทองคำ กับอนาคตของ “เชียงแสน” ในมิติเศรษฐกิจภูมิภาค
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผงาดขึ้นของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” (Kings Roman) บนฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายของไทยอย่างเด่นชัด ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนข้ามพรมแดนธรรมดา แต่เป็นการสร้างอาณาจักรใหม่ที่กำลังส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งต่อภูมิทัศน์เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในอนุภูมิภาคทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ “เชียงแสน” เมืองหน้าด่านที่ดูเหมือนจะเป็นผู้สังเกตการณ์มากกว่าผู้รับประโยชน์โดยตรง
คิงส์โรมัน: มณฑลแห่งใหม่ที่กำลังเติบโต
กลุ่มดอกงิ้วคำ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจีนขนาดใหญ่ภายใต้การนำของ “เจ้าเหว่ย” ได้รับสัมปทานพื้นที่อันกว้างใหญ่ถึง 2,173 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลาถึง 99 ปี โครงการนี้มิใช่เพียงแค่การก่อสร้างอาคาร แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจครบวงจรระดับโลก ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเป็นฮับด้านอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขง ศูนย์กลางโลจิสติกส์ การพัฒนาเกษตรครบวงจร กีฬา และสันทนาการ ตัวเลขการลงทุนที่ทะลุหลักแสนล้านบาท สะท้อนถึงความทะเยอทะยานและวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้าง “มหานคร” ขึ้นมาในดินแดนที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน
จากการสำรวจและข้อมูลเชิงลึกที่ผมได้รวบรวมมา ขอบเขตการพัฒนาของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ได้ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง จากเมืองที่เคยเป็นเพียงจุดแวะพัก กลายเป็นศูนย์กลางที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานระดับสูง ตั้งแต่ท่าเรือมาตรฐานสากล การขยายถนนหนทางที่ทันสมัย ป้ายรถประจำทางที่รองรับการสัญจรของประชากรและนักท่องเที่ยว ห้องน้ำสาธารณะที่สะอาดและสวยงาม ไปจนถึงระบบขนส่งมวลชนภายในอย่างแท็กซี่ป้ายจีนที่พร้อมให้บริการ ในมุมมองจากฝั่งอำเภอเชียงแสน ภาพของเมืองคิงส์โรมันที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าเรียงรายตลอดแนวริมแม่น้ำโขง อาคารชุดและคอนโดมิเนียมกว่า 10 แห่งที่กำลังผุดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความคึกคักและพลวัตของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในภูมิภาคนี้
ภายในใจกลางของ คิงส์โรมัน เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เทียบเท่ามหานครชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูหรา บ่อนกาสิโนระดับโลก คอนโดมิเนียมและอาคารชุดสำหรับอยู่อาศัยและเชิงพาณิชย์ อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทห้างร้าน ภัตตาคาร ร้านอาหารนานาชาติ สถานบันเทิงครบวงจร ตลาดปลอดภาษีขนาดใหญ่ (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ที่จำลองกลิ่นอายของจีน โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ และที่สำคัญคือท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว ซึ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อต้นปี 2567 ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้การบริหารจัดการพิเศษ ทำให้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน กลายเป็นเสมือนมณฑลหนึ่งของจีนที่ขยับเข้ามาประชิดชายแดนไทยมากที่สุด ปัจจุบันมีพลเมืองทั้งจาก สปป.ลาว จีน เมียนมา และชาติอื่นๆ รวมกันกว่า 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ท่าอากาศยานบ่อแก้ว: ประตูสู่การเชื่อมโยงภูมิภาค
การเปิดท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ยกระดับขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวของ คิงส์โรมัน อย่างก้าวกระโดด ด้วยพื้นที่กว่า 1,800 ไร่ รันเวย์ยาว 2,700 เมตร และมูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของ สปป.ลาว สามารถรองรับเครื่องบินขนาดไม่เกิน 200 ที่นั่ง เช่น Airbus A321, Boeing 737-900 และ ATR-72 ได้อย่างสบาย สนามบินแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดรับส่งผู้โดยสาร แต่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนโดยตรงจากจีนและนานาชาติเข้าสู่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดยไม่ต้องผ่านจุดเชื่อมต่อเดิมๆ
สิ่งที่น่าสนใจคือการลงทุนที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โครงสร้างพื้นฐานด้านการเดินทาง แต่ยังครอบคลุมถึงการเกษตรสมัยใหม่ โดยมีการเร่งถางดอยหลายลูกเพื่อเตรียมปลูกทุเรียน รองรับความต้องการของตลาดจีนที่มีสูงลิ่ว ซึ่งเป็นหนึ่งในการวิเคราะห์ตลาดการลงทุนเชิงลึกของกลุ่มทุนคิงส์โรมัน ที่มองเห็นโอกาสในการบูรณาการภาคเกษตรเข้ากับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาพื้นที่ปศุสัตว์ การปลูกถั่ว และดอกไม้ประดับ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ครบวงจรและยั่งยืนภายในพื้นที่ คิงส์โรมัน เอง
ท่าเรือและอสังหาริมทรัพย์: หัวใจของขีดความสามารถใหม่
นอกจากการลงทุนด้านสนามบินแล้ว กลุ่มทุนเจ้าเหว่ยยังทุ่มงบประมาณมหาศาลในการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารสูงถึง 450,000 คนต่อปี และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่สามารถรองรับได้ 150,000 คนต่อปี ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมลานพิธีการศุลกากร ซึ่งสามารถรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือสินค้าได้ 10,000 ตันต่อปี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางบริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศในอนาคตอันใกล้ และที่น่าจับตาคือการเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขง เชื่อมโยงจีน ลาว เมียนมา และไทย ซึ่งจะยกระดับการท่องเที่ยวทางน้ำและโอกาสธุรกิจชายแดนอย่างมีนัยสำคัญ
ด้านอสังหาริมทรัพย์และการพักผ่อนหย่อนใจก็ไม่น้อยหน้า มีการลงทุนเปิดสนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมที่พักระดับพรีเมียม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในอาเซียนและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักกอล์ฟ และโครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ ที่ต้องการสร้างบรรยากาศแบบมาเก๊า ซึ่งจะมีทั้งโรงแรม ตลาดน้ำ คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ในรูปแบบที่อนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลข้ามมาจากฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง เหล่านี้คือการจัดการโครงการขนาดใหญ่ที่แสดงถึงการวางแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่มองการณ์ไกล
เชียงแสน: เมืองผ่านที่กำลังเผชิญความท้าทาย
สิ่งที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือผลกระทบต่ออำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่อยู่ตรงข้ามกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน โดยตรง จากประสบการณ์ 10 ปีในแวดวง ผมเห็นว่าในปัจจุบัน เชียงแสนแทบไม่ได้รับประโยชน์หรืออานิสงส์จากการลงทุนขนาดใหญ่ของคิงส์โรมันเลย ตรงกันข้าม เชียงแสนกลับกลายเป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางไปสัมผัสอาณาจักรบันเทิงและบริการครบวงจรของคิงส์โรมัน นักท่องเที่ยวคนไทยเฉลี่ย 10,000 คนต่อเดือนที่เดินทางไปคิงส์โรมัน สะท้อนให้เห็นถึงแรงดึงดูดที่มหาศาลของคิงส์โรมันในฐานะ Magnet แห่งการท่องเที่ยว
ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับประโยชน์โดยตรงมีเพียงส่วนน้อย เช่น ผู้ประกอบการรถรับจ้างที่ให้บริการนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมายังอำเภอเชียงแสนเพื่อข้ามไปคิงส์โรมัน และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากบางส่วนเท่านั้น ภาคธุรกิจอื่นๆ ในเชียงแสนยังคงต้องดิ้นรนปรับตัวอย่างหนัก การลงทุนในท้องถิ่น เช่น ร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นราว 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาว 2 แห่งที่เปิดใหม่ ล้วนเป็นความพยายามที่จะใช้จุดชมวิวฝั่งตรงข้ามของคิงส์โรมันยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงสีเป็นจุดขาย แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับขนาดการลงทุนมหาศาลของฝั่งตรงข้าม
ปัญหาหลักที่ทำให้การพัฒนาของเชียงแสนเป็นไปอย่างเชื่องช้าคือ “ราคาที่ดิน” ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล ค่าเช่าที่ดินริมแม่น้ำโขงฝั่งอำเภอเชียงแสนอาจสูงถึง 100,000 บาทต่อเดือนสำหรับแปลงขนาด 25 เมตรกว้างและลึกถึงริมน้ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนและการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ของภาคเอกชนไทย การบริหารความเสี่ยงลงทุนในสภาวะที่ราคาที่ดินสูงเช่นนี้ย่อมเป็นความท้าทายอย่างมาก
โอกาสและความท้าทายสำหรับเชียงแสนและระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC)
หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้มีการมองในแง่ของผลกระทบและผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ หากมีการพิจารณาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่าง เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน กับอำเภอเชียงแสน แม้จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ฝั่งคิงส์โรมันมากขึ้น แต่ก็ต้องวิเคราะห์อย่างรอบคอบถึงประโยชน์ที่เชียงแสนจะได้รับอย่างแท้จริง รวมถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการเรือข้ามฟาก และที่สำคัญคือประเด็นด้านความมั่นคงของประเทศ
การพัฒนาอำเภอเชียงแสนให้สามารถรับมือและดึงดูดผลประโยชน์จากการเติบโตของ คิงส์โรมัน ได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยการลงทุนจากภาครัฐในโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้ลงพื้นที่รับฟังข้อมูลหลายครั้ง เกี่ยวกับการพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นแนวคิดที่หอการค้าฯ มองว่าเป็น Magnet สำคัญที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้เชียงแสนในฐานะเมืองชายแดน ตัวอย่างเช่น การส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวที่ข้ามไปตีกอล์ฟที่ คิงส์โรมัน กลับมาพักผ่อน ทำสปา หรือเข้ารับบริการสุขภาพ (Wellness Services) ที่เชียงแสน เพื่อให้เชียงแสนเป็น Wellness City หรือจุดแวะพักค้างคืนที่น่าสนใจ มีกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในพื้นที่เชียงแสน
ประเด็นนี้ยังคงเชื่อมโยงกับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) ที่ครอบคลุม 4 จังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย ซึ่งถูกวางให้เป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเหนือทั้งหมด เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศให้เติบโต คำถามสำคัญคือปลายทางของระเบียงเศรษฐกิจเชียงราย จะสามารถยึดโยงกับฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาทของจีน ทั้งใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน และการลงทุนของทุนจีนตามแนวถนน R3A ที่ประชิดอำเภอเชียงของ ได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ต่อคนในพื้นที่หรือไม่
การปรับตัวและการวางยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน และการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมการลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่ภาคเหนือ โดยไม่ให้ไทยเป็นเพียงผู้เฝ้ามองหรือเป็นแค่ “ทางผ่าน” ของการเติบโตจากฝั่งตรงข้าม ถือเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุด ที่ปรึกษาการลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อให้โอกาสธุรกิจชายแดนนี้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อประเทศไทย และประชาชนในท้องถิ่น
ก้าวต่อไปของเชียงแสน: จากเมืองผ่านสู่ศูนย์กลางแห่งโอกาส
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจภูมิภาค ผมเชื่อมั่นว่าเชียงแสนมีศักยภาพที่จะก้าวข้ามจากการเป็นแค่เมืองผ่าน สู่การเป็นศูนย์กลางแห่งโอกาสที่สามารถรับไม้ต่อจากความคึกคักของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ได้ หากมีการวางแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจที่ดีและดำเนินการอย่างจริงจัง ผมขอสรุปเป็นข้อเสนอแนะเชิงรุกดังนี้
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงรุก: รัฐบาลควรพิจารณาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การปรับปรุงเส้นทางคมนาคม การขยายท่าเรือเชียงแสนให้รองรับนักท่องเที่ยวและสินค้าได้มากขึ้น เพื่อเชื่อมโยงกับท่าเรือของ คิงส์โรมัน และเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขง นี่คือโซลูชั่นการพัฒนาเมืองที่จำเป็น
ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism): สร้างเอกลักษณ์ให้เชียงแสนเป็น “Wellness City” อย่างจริงจัง โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อน ดูแลสุขภาพ ทำสปา หรือรับบริการด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่ม High-CPC และมีกำลังซื้อสูง สามารถเป็นจุดเสริมการท่องเที่ยวให้กับ คิงส์โรมัน ที่เน้นความบันเทิงและกาสิโน
สนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นให้เข้าถึงตลาดใหม่: ส่งเสริมผู้ประกอบการในเชียงแสนให้สามารถเข้าถึงนักท่องเที่ยวจีนและนักลงทุนใน คิงส์โรมัน ได้มากขึ้น เช่น การจัดทำแพ็กเกจท่องเที่ยวร่วม การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ
การบริหารจัดการที่ดินและราคาอสังหาริมทรัพย์: รัฐบาลท้องถิ่นและส่วนกลางต้องหามาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมและบริหารจัดการราคาที่ดิน เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการท้องถิ่น และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเชียงแสนที่ไม่ใช่แค่เพื่อเก็งกำไร
การศึกษาและพัฒนาบุคลากร: ลงทุนในการพัฒนาทักษะภาษาและบริการ เพื่อเตรียมความพร้อมของคนในพื้นที่รองรับการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะภาษาจีน
การสร้างแหล่งบันเทิงและแลนด์มาร์กใหม่: หากเป็นไปได้ การพิจารณาโครงการสถานบันเทิงครบวงจรที่มีเอกลักษณ์ของไทย หรือการสร้างแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น จะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจาก คิงส์โรมัน ข้ามมาใช้จ่ายและพักค้างคืนที่ฝั่งไทยมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทย โดยเฉพาะอำเภอเชียงแสน ต้องเผชิญหน้าและวางแผนเชิงรุก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพลวัตของเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค เราจะสามารถพลิกบทบาทของเชียงแสน จากเมืองผ่านให้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวที่สำคัญในอนุภูมิภาคได้อย่างแน่นอน
หากท่านเป็นผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้สนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นี้ และต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม หรือคำแนะนำในการบริหารความเสี่ยงลงทุนเพื่อคว้าโอกาสจากกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ อย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมกันวิเคราะห์ตลาดการลงทุนและวางแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจให้ประสบความสำเร็จในยุคแห่งการเชื่อมโยงอย่างไร้พรมแดนนี้ได้เลย

