เศรษฐกิจไทยถึงทางแยก: ปลดล็อกศักยภาพด้วยภาคอสังหาริมทรัพย์และกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของประเทศมาแล้วหลายครั้ง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ เศรษฐกิจไทย ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่ง คำถามที่ว่า “ประเทศไทยจะเดินไปทางไหนต่อ?” ไม่ใช่เพียงแค่คำถามเชิงปรัชญา แต่เป็นโจทย์เร่งด่วนที่ต้องการการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่กล้าหาญ หากเรายังคงยึดติดกับแนวทางเดิมๆ การเติบโตอย่างยั่งยืนอาจเป็นเพียงภาพลวงตา โอกาสในการฟื้นตัวและก้าวไปข้างหน้าจึงอยู่ที่การคิดนอกกรอบ และมองหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพึ่งพาภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมหนัก โดยเฉพาะยานยนต์ เป็นเสาหลักในการขับเคลื่อน GDP ทว่าภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากความตึงเครียดของสงครามการค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจมหาอำนาจ และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทำให้โมเดลทางเศรษฐกิจแบบเดิมๆ เริ่มแสดงอาการของความเหนื่อยล้า หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ยิ่งบั่นทอนกำลังซื้อภายในประเทศ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นความหวังสำคัญ ก็ยังคงอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้กลับมาคึกคักเหมือนช่วงก่อนวิกฤต การที่นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดหลัก กลับมาได้ไม่เต็มที่ตามที่หลายคนคาดหวัง ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นที่เราจะต้องหาทางออกที่ยั่งยืนและหลากหลายกว่าเดิม
จากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพิจารณาบทบาทของ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ในฐานะกลไกสำคัญในการพลิกฟื้นและสร้างการเติบโตให้กับ เศรษฐกิจไทย อีกครั้ง การดึงดูด การลงทุนต่างชาติ เข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่เพียงแค่การขายบ้านหรือที่ดิน แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ครบวงจร ซึ่งจะนำมาซึ่งเม็ดเงินหมุนเวียน การจ้างงาน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในประเทศอย่างมหาศาล แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นบทเรียนที่หลายประเทศทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจภายในประเทศต้องการแรงกระตุ้นจากภายนอก
บทความนี้จะเจาะลึกถึงความท้าทายที่ เศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญ วิเคราะห์บทเรียนจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และนำเสนอแนวทางเชิงรุกในการใช้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย สู่ยุคใหม่ ด้วยกลยุทธ์ที่เน้น การลงทุนต่างชาติ และนโยบายที่เปิดกว้างอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้ามกับดักทางเศรษฐกิจและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนได้
วิกฤตซ้อนวิกฤต: ภาพรวมความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญ
สถานการณ์ เศรษฐกิจไทย ณ ปี 2025 ไม่ได้อยู่ในจุดที่น่าอิจฉา เรากำลังเผชิญกับปัจจัยลบที่ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งล้วนเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตที่ยั่งยืน ผมขออธิบายถึงความท้าทายหลักๆ ที่เราต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน:
สงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนระอุ: ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างมหาอำนาจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความผันผวนให้กับห่วงโซ่อุปทานและภาคการส่งออกของไทย สินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าอาจไหลทะลักเข้าสู่ตลาดใกล้เคียง ซึ่งรวมถึงไทย ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนและเสถียรภาพทางการค้า การปรับตัวของ เศรษฐกิจไทย ในการเผชิญกับความท้าทายนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน: จีนเคยเป็นตลาดส่งออกและแหล่งนักท่องเที่ยวสำคัญของไทย แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญกับความท้าทายภายในหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินภาคเอกชน และอัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อและการลงทุนจากจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัด การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไปในอดีตกำลังกลายเป็นความเสี่ยงที่เราต้องบริหารจัดการ
ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว: ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่เคยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP เมื่อทศวรรษที่แล้ว บัดนี้พุ่งขึ้นสูงถึงกว่า 90% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและโลกอย่างมีนัยสำคัญ หนี้ก้อนนี้ไม่ได้มาจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นการดึงเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ซึ่งจำกัดกำลังซื้อภายในประเทศอย่างรุนแรง และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจไทย อย่างแท้จริง การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพียงอย่างเดียวโดยไม่แก้ปัญหาหนี้สินเชิงโครงสร้าง อาจเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก
โครงสร้างประชากรสูงวัยและปัญหาแรงงาน: ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ อัตราการเกิดที่ลดลงและประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันและการผลิตของประเทศ การขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและบริการ จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและนวัตกรรมชะลอตัวลง เป็นอีกหนึ่งความท้าทายเชิงโครงสร้างต่อ เศรษฐกิจไทย
การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเปลี่ยนผ่าน: ในอดีต อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์สันดาปภายในที่ลงทุนโดยญี่ปุ่น เป็นหัวใจสำคัญของการส่งออกและ GDP ของไทย ทว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ แม้ประเทศไทยจะพยายามดึงดูดการลงทุนในภาค EV แต่ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากยังขาดเทคโนโลยีและศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อน ทำให้เราอาจกลายเป็นเพียงฐานการผลิตขั้นปลาย แทนที่จะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม
การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ไม่สมบูรณ์: แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มกลับมา แต่ก็ยังไม่สามารถกลับไปสู่ระดับสูงสุดก่อนโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาคึกคักเหมือนเดิม การพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน และความเสี่ยงจากโรคระบาดใหม่ หรือวิกฤตการณ์อื่นๆ ก็ยังคงมีอยู่
จากภาพรวมเหล่านี้ ชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างอย่างเร่งด่วนและจริงจัง หากเราต้องการหลุดพ้นจากกับดักนี้และสร้างการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว
บทเรียนจากนานาชาติ: การพลิกโฉมเศรษฐกิจสู่ยุคใหม่
หลายประเทศทั่วโลกเคยเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในลักษณะคล้ายคลึงกับประเทศไทย และได้ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างการเติบโตครั้งใหม่ จากประสบการณ์ของผม การศึกษาโมเดลเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับบริบทของ เศรษฐกิจไทย
สิงคโปร์: จากฐานอุตสาหกรรมสู่ศูนย์กลางบริการและเทคโนโลยีระดับโลก: สิงคโปร์ซึ่งเคยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรม ได้พลิกโฉมตัวเองมาสู่ภาคบริการอย่างเต็มตัว โดยมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP พวกเขาเน้นการสร้างรายได้จากต่างประเทศในหลากหลายมิติ ทั้งภาคการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี ดิจิทัลอีโคโนมี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการศึกษา การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและบุคลากรที่มีความสามารถ ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นฮับระดับโลก
เกาหลีใต้: จากอุตสาหกรรมหนักสู่เทคโนโลยีและ Soft Power: เกาหลีใต้เคยเน้นอุตสาหกรรมหนัก แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนทิศทางมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) และภาคบริการ ซึ่งมีสัดส่วนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง การส่งออกวัฒนธรรม (Soft Power) สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล และเป็นตัวอย่างของการสร้างความหลากหลายทางรายได้
ฮ่องกง: ศูนย์กลางการเงินและอสังหาริมทรัพย์ระดับภูมิภาค: ฮ่องกงเปลี่ยนจากฐานอุตสาหกรรมโรงงานทอผ้า สู่ภาคการเงิน การบริการ และ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่แข็งแกร่ง พวกเขาสร้างระบบที่เอื้อต่อการลงทุนและทำธุรกิจ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนและเงินทุนจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): ลดการพึ่งพาน้ำมัน สู่การท่องเที่ยวหรูและ MICE: เคยพึ่งพารายได้จากการขุดเจาะน้ำมันเป็นหลัก แต่เมื่อทรัพยากรธรรมชาติเริ่มลดลง UAE โดยเฉพาะดูไบ ได้วางยุทธศาสตร์เปลี่ยนผ่านสู่การท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ธุรกิจบริการ การค้า และอุตสาหกรรม MICE (การประชุม นิทรรศการ และอีเวนต์) ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลไกสำคัญในการรองรับการเติบโตนี้ โดยมีสัดส่วนรวมกับภาคการท่องเที่ยวสูงถึง 50% ของ GDP
สหราชอาณาจักร: จากผู้นำอุตสาหกรรมสู่ศูนย์กลางบริการและเทคโนโลยีของยุโรป: อังกฤษในฐานะผู้บุกเบิกการปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยเฉพาะกรุงลอนดอนที่กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เทคโนโลยี และการศึกษาของยุโรปและของโลก
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อโมเดลเดิมไม่สามารถตอบสนองต่อพลวัตของโลกได้อีกต่อไป สิ่งที่เราต้องทำคือการศึกษาจุดแข็งของประเทศไทย และเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อสร้าง “จุดขาย” ใหม่ให้กับ เศรษฐกิจไทย
อสังหาริมทรัพย์: จุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย
จากความท้าทายที่กล่าวมา และบทเรียนจากนานาชาติ ผมเชื่อมั่นว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ คือหนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่สามารถขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทย ให้ก้าวพ้นจากกับดักปัจจุบันได้ ด้วยการดึงดูด การลงทุนต่างชาติ อย่างจริงจังและเป็นระบบ
ทำไมต้องเป็นประเทศไทย? ทำไมต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์?
ประเทศไทยมีศักยภาพและเสน่ห์ที่ดึงดูดชาวต่างชาติมาโดยตลอด จากการจัดอันดับในปี 2024 กรุงเทพมหานครยังคงติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก แสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงและความนิยมที่เรามี นอกจากนี้:
คุณภาพชีวิตและค่าครองชีพที่น่าดึงดูด: เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก ประเทศไทยมีค่าครองชีพที่ต่ำกว่ามาก ในขณะที่คุณภาพชีวิตดีเยี่ยม อาหารไทยเป็นที่ยอมรับระดับโลก ผู้คนมีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ และระบบสาธารณสุขก็มีมาตรฐานสูงในราคาที่เข้าถึงได้
โครงสร้างพื้นฐานและบริการที่ดี: เรามีระบบอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง การคมนาคมขนส่งที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริการที่หลากหลาย รองรับไลฟ์สไตล์ของชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี
ภูมิประเทศและสภาพอากาศที่สวยงาม: ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่งดงาม ทั้งทะเล ภูเขา และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางในฝันสำหรับการพักผ่อนและอยู่อาศัยระยะยาว
ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ ประเทศไทยจึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมาก ทั้งผู้ที่ต้องการทำงาน ผู้เกษียณอายุ และนักลงทุน ที่ต้องการหาที่พำนักหรือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในระยะยาว
กลยุทธ์ “Golden Visa” และโมเดลที่ประสบความสำเร็จจากต่างประเทศ
หลายประเทศได้นำกลไกการอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อแลกกับสิทธิการพำนัก หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Golden Visa” มาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต และประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ตัวอย่างเช่น:
โปรตุเกส: โครงการ Golden Visa ตั้งแต่ปี 2012 ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 7 พันล้านยูโร โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อ อสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนัก ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างรวดเร็ว
สเปน: หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 สเปนเปิดโครงการ Residency by Investment ให้ชาวต่างชาติลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ 500,000 ยูโรขึ้นไป ช่วยกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซาและทำให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี ดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: โครงการ Freehold Property ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อบ้านแบบมีกรรมสิทธิ์เต็มรูปแบบได้ ดึงดูด การลงทุนต่างชาติ มหาศาล ทำให้ดูไบกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและ อสังหาริมทรัพย์ ระดับโลก
กรีซ: โครงการ Greece Golden Visa โดยให้ชาวต่างชาติซื้อ อสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อขอวีซ่าพำนัก ทำให้ตลาด อสังหาริมทรัพย์ เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรป
มาเลเซีย: โครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้าน ดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น
บทเรียนเหล่านี้ชัดเจนว่า การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครอง อสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้เป็นเพียงการขายทรัพย์สิน แต่เป็นนโยบายเชิงมหภาคที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาลต่อ เศรษฐกิจไทย
ปลดล็อกศักยภาพ: การอนุญาตให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทย
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีข้อจำกัดเรื่องกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่จำกัดเฉพาะการซื้อคอนโดมิเนียมเท่านั้น หากเราสามารถขยายขอบเขตให้ชาวต่างชาติสามารถถือครอง อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ประเภทอื่นๆ เช่น บ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์ ได้อย่างถูกกฎหมายภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม จะเป็นการสร้างโอกาสครั้งใหญ่ให้กับ เศรษฐกิจไทย
เม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบ: ข้อมูลในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมูลค่ากว่า 1.06 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูด การลงทุนต่างชาติ ให้เข้ามาซื้อ อสังหาริมทรัพย์ เพียง 1 ใน 4 ของมูลค่าดังกล่าว ก็จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนได้กว่า 2.5 แสนล้านบาท การขายบ้านให้ชาวต่างชาติเพียง 100,000 หลัง สามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
กระตุ้นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง: เมื่อมีการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่วัสดุก่อสร้าง การออกแบบ ตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงบริการทำความสะอาดและบำรุงรักษา ก่อให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมจำนวนมาก ช่วยลดอัตราการว่างงานและเพิ่มรายได้ให้กับคนท้องถิ่น
เพิ่มการบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นผู้เกษียณอายุ นักลงทุน หรือผู้ที่ทำงานทางไกล (Digital Nomads) ย่อมมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้น เศรษฐกิจ ในระดับภูมิภาคและท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดึงดูดกลุ่มที่มีกำลังซื้อ: แม้รัฐบาลจะเคยพยายามดึงดูดกลุ่มผู้มีรายได้สูงพิเศษ แต่ในความเป็นจริง กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในไทยจำนวนมากคือกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูงที่มีกำลังซื้อ อสังหาริมทรัพย์ ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ เช่น 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และพร้อมเติบโต หากมีนโยบายที่ชัดเจน
คลายความกังวลเรื่องการครอบครองที่ดิน: ประเทศไทยมีที่ดินรวม 321 ล้านไร่ โดยมีเอกสารสิทธิ์ประมาณ 127 ล้านไร่ (40%) การอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อ อสังหาริมทรัพย์ เพื่ออยู่อาศัยในสัดส่วนเพียงเล็กน้อย เช่น ปีละ 200,000 หลัง จะใช้ที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่ ดังนั้น ความกังวลว่าที่ดินจะถูกต่างชาติยึดครองจนหมดจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นห่วง หากมีการกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขที่ชัดเจน
การเปิดกว้างนี้ยังจะช่วยแก้ปัญหาการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ ให้ชาวต่างชาติในรูปแบบ “นอมินี” ซึ่งมีอยู่แล้วในหลายพื้นที่ เช่น ภูเก็ต และพัทยา ให้เข้ามาอยู่ในระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย โปร่งใส และสามารถเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
กลยุทธ์ขับเคลื่อนและข้อเสนอแนะสำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2025 และอนาคต
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมอง ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นมากกว่าแค่การพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่เป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ในการปรับโครงสร้าง เศรษฐกิจไทย เพื่อรับมือกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับปี 2025 และทศวรรษหน้า มีดังนี้:
การแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง: รัฐบาลควรพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ. ที่ดิน หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่ออนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถถือครอง อสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัยได้ในประเภทที่กำหนด โดยอาจมีเงื่อนไข เช่น กำหนดมูลค่าขั้นต่ำของ อสังหาริมทรัพย์ ระยะเวลาการถือครอง หรือข้อจำกัดด้านพื้นที่ เพื่อควบคุมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ และยังคงไว้ซึ่งการบริหารจัดการที่ดินของชาติ
การพัฒนาระบบ “วีซ่าทองคำ” หรือ “วีซ่าพำนักระยะยาว”: สร้างแพ็กเกจที่น่าสนใจสำหรับ Golden Visa Thailand หรือวีซ่าระยะยาว ที่เชื่อมโยงกับการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ โดยเสนอสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดใจ เช่น สิทธิการพำนักสำหรับครอบครัว การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และการลดหย่อนภาษี เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงและผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณในประเทศไทย
การส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนระดับพรีเมียม: มุ่งเน้นการพัฒนาและโปรโมต อสังหาริมทรัพย์หรู และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในทำเลทอง เช่น อสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ, อสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต, อสังหาริมทรัพย์พัทยา, ชลบุรี และระยอง รวมถึงหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ โดยเน้นมาตรฐานสากลและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนและผู้ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศคุณภาพสูง
การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนและการอยู่อาศัย: นอกจากกฎหมาย อสังหาริมทรัพย์ แล้ว รัฐบาลควรมองภาพรวมในการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติ เช่น ความโปร่งใสของกฎหมาย การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การบริการภาครัฐที่เป็นเลิศ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
การบูรณาการภาคอสังหาริมทรัพย์เข้ากับภาคบริการอื่นๆ: เชื่อมโยง ภาคอสังหาริมทรัพย์ เข้ากับอุตสาหกรรมบริการอื่นๆ ที่ไทยมีศักยภาพ เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) การศึกษา และ MICE เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูดผู้คนให้เข้ามาพำนักและใช้จ่ายในประเทศนานขึ้น
การเปลี่ยนผ่านโครงสร้าง เศรษฐกิจไทย จากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย มาสู่การใช้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก โดยการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศ ถือเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลและมีศักยภาพสูงที่เราต้องพิจารณาอย่างจริงจัง
บทสรุปและก้าวต่อไป
เศรษฐกิจไทย กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ การที่เราจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและการลงมือทำอย่างเด็ดขาด จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในอุตสาหกรรมนี้ ผมเชื่อมั่นว่าการปลดล็อกศักยภาพของ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ผ่านนโยบายที่เปิดกว้างและมีกลยุทธ์ในการดึงดูด การลงทุนต่างชาติ จะเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกฟื้นและสร้างการเติบโตครั้งใหม่ให้กับประเทศได้อย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการขายทรัพย์สิน แต่เป็นการสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจ แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติที่จะช่วยกระตุ้นให้ เศรษฐกิจไทย ฟื้นตัวจากความท้าทายต่างๆ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในปี 2025 และในทศวรรษหน้า หากเรายังคงยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ โอกาสในการเติบโตอาจเลือนหายไป ผมจึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน มาร่วมกันหารือและผลักดันแนวคิดนี้ เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศไทยของเรา
หากท่านต้องการเจาะลึกรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุน หรือต้องการคำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับความต้องการจากตลาดต่างชาติในอนาคต โปรดติดต่อเราเพื่อร่วมกันสร้างความมั่งคั่งให้ เศรษฐกิจไทย ไปด้วยกัน

