พลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทย: อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุค 2025 กับกลยุทธ์ดึงดูดกำลังซื้อต่างชาติ
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจมานานกว่าทศวรรษ ผมมองว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญยิ่ง ท่ามกลางกระแสความผันผวนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกที่รุนแรงขึ้นทุกวัน คำถามที่ว่า “อนาคตเศรษฐกิจไทยจะก้าวต่อไปทางใด” จึงไม่ใช่แค่คำถามเชิงทฤษฎี แต่เป็นโจทย์เร่งด่วนที่ต้องการคำตอบและทางออกที่ชัดเจน การพึ่งพาโมเดลเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ที่เคยสร้างความสำเร็จในอดีต อาจไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับบริบทโลกปี 2025 และปีต่อๆ ไป ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยพลิกฟื้นและยกระดับศักยภาพของประเทศได้อย่างยั่งยืน นั่นคือการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมีกลยุทธ์
พายุเศรษฐกิจที่โหมกระหน่ำ: ถอดรหัสวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อน
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเปรียบเสมือนเรือที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ ไม่ใช่แค่พายุลูกเดียว แต่เป็นพายุหลายลูกที่โหมกระหน่ำเข้ามาพร้อมกัน จากมุมมองของผมที่เป็นนักปฏิบัติการในธุรกิจจริง นี่คือภาพสะท้อนของความท้าทายที่เรากำลังเผชิญ:
วิกฤตเชิงโครงสร้างและกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ”: ดร.บัณฑิต นิจถาวร อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยกล่าวเตือนถึง “กับดักทศวรรษที่สาบสูญ” ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสกว่าที่หลายคนคิด การลงทุนในตลาดหุ้นที่ไร้สัญญาณฟื้นตัวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตที่ยังไม่กลับมาเต็มที่ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงไม่ได้มาจากผลิตภาพที่แท้จริง แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่พุ่งทะลุ 90% ของจีดีพี และเคยสูงถึง 126% ของจีดีพีในอดีต ซึ่งเป็นการดึงเงินในอนาคตมาใช้ ย่อมหมายถึงข้อจำกัดในการเติบโตในระยะยาว
มรสุมจากภายนอก: สงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน: หนังสือพิมพ์ดิอีโคโนมิสต์ได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเคยพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์และการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นหลักในการขับเคลื่อนจีดีพี ทว่าปัจจุบัน เราต้องเผชิญกับ สงครามการค้า ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อการส่งออกของเราโดยตรง แต่ยังรวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศจีนที่ชะลอตัว ทำให้สินค้าจากจีนที่ถูกเทรดวอร์ไหลทะลักเข้ามาในภูมิภาค เป็นการสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมให้แก่ผู้ผลิตภายในประเทศ นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกปัจจัยที่ไม่อาจมองข้ามได้
ขีดความสามารถที่ถดถอยและปัญหาเชิงประชากร: แม้เราจะพยายามผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ปัญหาสำคัญคือผู้ประกอบการไทยยังขาดศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ เนื่องจากเทคโนโลยีของเรายังตามหลังประเทศชั้นนำ นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอื่นๆ ก็ประสบปัญหาในการแข่งขันในตลาดโลกที่เราเคยเป็น “แชมเปี้ยน” ในอดีต ปัญหาโครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ยังเป็นอีกหนึ่งความท้าทายใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพแรงงานในอนาคต ซึ่งจะลดทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ความหวังจากการท่องเที่ยวที่ยังไม่เต็มใบ: รัฐบาลได้คาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นกลไกหลักในการฟื้นเศรษฐกิจ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ยังไม่สามารถกลับมาได้เท่ากับช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นเสาหลักของเรายังไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร
จากภาพรวมเหล่านี้ ผมขอยืนยันว่าการเดินหน้าด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ที่เน้นการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักมากเกินไปนั้น ถึงทางตันแล้ว และถึงเวลาที่ต้องมองหา “ทางออก” ที่กล้าหาญและแตกต่าง
บทเรียนจากการพลิกโฉม: แรงบันดาลใจจากนานาประเทศ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศทั่วโลกได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ คือกุญแจสู่ความยั่งยืนในอนาคต ตัวอย่างเหล่านี้ควรเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศไทย:
สิงคโปร์: จากประเทศที่เน้นภาคอุตสาหกรรม สู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ เทคโนโลยี ดิจิทัลอีโคโนมี และการศึกษา ระดับโลก สัดส่วนภาคบริการในจีดีพีสูงถึง 70% แสดงให้เห็นถึงการสร้างรายได้จากต่างประเทศอย่างมหาศาล
เกาหลีใต้: ปรับเปลี่ยนจากการเน้นอุตสาหกรรมหนัก สู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี อุตสาหกรรมบันเทิง และภาคบริการ ซึ่งกลายเป็น “ซอฟต์พาวเวอร์” ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตโรงงานทอผ้า สู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และอสังหาริมทรัพย์ที่ดึงดูดการลงทุนทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันที่เคยคิดเป็นสัดส่วนสูง ปัจจุบันรายได้จากน้ำมันเหลือไม่ถึง 30% ของจีดีพี พวกเขาพลิกโฉมสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ และส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ) อย่างจริงจัง โดยมีภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเป็นกลไกสำคัญ
อังกฤษ: จากผู้นำด้านอุตสาหกรรมในอดีต ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนเกิน 80% ของจีดีพี กรุงลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป
ประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนว่า การปรับโครงสร้างไปสู่ภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ คือทางออกที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ
ศักยภาพที่ซ่อนอยู่: ทำไมประเทศไทยถึงพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่าน?
แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ประเทศไทยมี “ของดี” ที่หลายชาติไม่มี และสิ่งเหล่านี้คือฐานรากสำคัญในการพลิกโฉมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดึงดูดชาวต่างชาติและ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย เพื่อเป็นกลไกหลักในการ อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย :
คุณภาพชีวิตและค่าครองชีพที่เหนือกว่า: ประเทศไทยมีค่าครองชีพที่ต่ำกว่าประเทศตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ยังคงมีคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก สภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดปี และสังคมไทยที่เป็นมิตร โอบอ้อมอารี สิ่งเหล่านี้คือแม่เหล็กชั้นดีที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาอยู่อาศัยและจับจ่ายใช้สอย
ระบบสาธารณสุขระดับโลก: ประเทศไทยมีโรงพยาบาลหลายแห่งติดอันดับดีที่สุดในโลก พร้อมให้บริการทางการแพทย์ในราคาที่เข้าถึงได้มากกว่าหลายประเทศ สิ่งนี้ดึงดูดทั้งกลุ่มผู้สูงอายุที่ต้องการเกษียณอายุอย่างมีคุณภาพ และกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาพยาบาลที่ดีเยี่ยม
การยอมรับในระดับสากล: กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปี รวมถึงภูเก็ต พัทยา และชลบุรี ก็เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม สิ่งเหล่านี้ยืนยันถึงความน่าดึงดูดใจของประเทศไทยในสายตาชาวโลก
ศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์: ราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพและทำเลที่ตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงสูง ที่มีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก อินเทอร์เน็ตคุณภาพสูงและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่นใน ชลบุรี และ ระยอง ยังเป็นปัจจัยเสริมที่สำคัญ
ด้วยศักยภาพเหล่านี้ ผมมองว่าเรามีต้นทุนที่ดีพอที่จะปรับเปลี่ยนจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนัก สู่การเป็นศูนย์กลางภาคบริการระดับโลกที่เชื่อมโยงกับภาค อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ ซื้อบ้านในประเทศไทยสำหรับชาวต่างชาติ
ปลดล็อกศักยภาพ 1 ล้านล้านบาท: ข้อเสนอเพื่อ “อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย”
ประเด็นสำคัญที่ผมเชื่อว่าจะสามารถเป็นเครื่องมือหลักในการ อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ คือการ “เปิดโอกาส” ให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทยได้อย่างเป็นทางการและโปร่งใส โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้:
แก้ข้อกังวลเรื่องการยึดครองที่ดิน: ประเทศไทยมีที่ดินกว่า 321 ล้านไร่ มีเอกสารสิทธิราว 127 ล้านไร่ (40%) หากเราขายบ้านให้ชาวต่างชาติปีละ 2 แสนหลัง ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมหาศาล ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนการใช้ที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มี การกังวลว่าชาวต่างชาติจะเข้ามายึดครองที่ดินทั้งหมดจึงไม่เป็นความจริง แต่เราต้องมีกฎหมายที่ดินสำหรับชาวต่างชาติที่รัดกุมและชัดเจน
เม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ: ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเกือบ 4 แสนหน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามา ซื้อคอนโดในไทย หรือบ้าน และคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1 ใน 4 ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด นั่นจะหมายถึงเม็ดเงินมหาศาลราว 2.5 แสนล้านบาทต่อปีไหลเข้าสู่ระบบ ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทาน
กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง: แม้ภาครัฐจะเคยผลักดันกลุ่มผู้มีรายได้สูงพิเศษ แต่จากประสบการณ์ของผม กลุ่มชาวต่างชาติที่มีความสนใจเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย มักจะเป็นกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูง ที่มีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สมเหตุสมผลและสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดได้อย่างดี
ผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง: การขายบ้านให้ชาวต่างชาติเพียง 1 หมื่นหลัง สามารถทำให้จีดีพีเติบโตได้ถึง 0.75% หากสามารถขยายไปถึง 1 แสนหลังได้ จีดีพีจะเติบโตถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่ง ผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้จำกัดแค่การขายอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังรวมถึง:
ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง: ได้รับอานิสงส์โดยตรง
การจ้างงาน: ทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาคการก่อสร้าง บริการ และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
การบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ซึ่งสร้างรายได้ให้กับร้านค้า ร้านอาหาร และธุรกิจบริการในชุมชนนั้นๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวอย่าง ภูเก็ต และ พัทยา ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมากอยู่แล้ว
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ
บทเรียนจากนานาชาติ: หลายประเทศที่เผชิญปัญหากำลังซื้อภายในประเทศลดลงและหนี้ครัวเรือนสูง ได้ใช้กลยุทธ์ดึงดูดชาวต่างชาติผ่านโครงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และ วีซ่านักลงทุนไทย หรือที่เรียกว่า Golden Visa ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น โปรตุเกส สเปน กรีซ (เสนอซื้ออสังหาฯ 250,000-500,000 ยูโรแลกสิทธิพำนัก) และมาเลเซีย (โครงการ MM2H) ที่กระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณและนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น เข้าไปในประเทศ สิ่งเหล่านี้คือพิมพ์เขียวที่เราสามารถศึกษาและปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทยได้ โดยต้องมี ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหา เข้ามาช่วยให้ข้อมูลอย่างถูกต้อง
สร้างระบบนิเวศอสังหาริมทรัพย์ที่ครอบคลุมสำหรับปี 2025+
การเปิดให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การทำให้ อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างเต็มศักยภาพ ต้องมาพร้อมกับระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยและนโยบายที่ครบวงจร ผมมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมดังนี้:
กฎหมายและระเบียบที่ชัดเจน: สิ่งสำคัญคือการพัฒนากฎหมายและระเบียบที่โปร่งใส ชัดเจน และเป็นสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการ การขอใบอนุญาตที่อยู่อาศัย หรือการขอ วีซ่านักลงทุนไทย ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพิจารณาเรื่อง สิทธิการเช่าระยะยาว สำหรับชาวต่างชาติยังเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ
ส่งเสริมตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูและบ้านพักตากอากาศ: ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับ ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรู และ บ้านพักตากอากาศประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่อย่างภูเก็ต พัทยา และเกาะสมุย การส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มนี้จะดึงดูดกำลังซื้อและเม็ดเงินระดับพรีเมียมเข้ามาในประเทศ
การบูรณาการกับภาคส่วนอื่น: ภาคอสังหาริมทรัพย์ควรถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับภาคบริการอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism), ศูนย์กลางสำหรับ Digital Nomads, หรือชุมชนผู้เกษียณอายุ (Retirement Community) การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเหล่านี้โดยเฉพาะจะเพิ่มมูลค่าและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและ EEC: การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หรือท่าเรือแหลมฉบัง จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจของพื้นที่ ชลบุรี และ ระยอง สำหรับการ ลงทุนธุรกิจในไทย และ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยตรง
การบริหารจัดการและการตลาดเชิงรุก: เราต้องการ การจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีมาตรฐานระดับสากล และการทำการตลาดเชิงรุกเพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าลงทุนและน่าอยู่อาศัย การให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ผลตอบแทนการลงทุนอสังหาฯ และนโยบายที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ อย่างครบถ้วน จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
เศรษฐกิจดิจิทัลประเทศไทย: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การทำธุรกรรม ไปจนถึงการบริหารจัดการ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและดึงดูดนักลงทุนยุคใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี
ถึงเวลาแล้วที่ต้องลงมือทำ
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในวงการ ผมขอย้ำว่านี่ไม่ใช่เวลาของการลังเลอีกต่อไป เราต้องกล้าที่จะทบทวนและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจจากเดิมที่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนักและการส่งออก สู่การเป็นประเทศที่ใช้ภาค อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศอย่างจริงจัง
โอกาสทางเศรษฐกิจในการอนุโลมให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยนั้น มีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งต่อการพลิกฟื้นและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การเปิดกว้างมากขึ้น จะไม่เพียงช่วยเพิ่มเม็ดเงินลงทุนโดยตรง แต่ยังสร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศอย่างมหาศาล เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยหลุดพ้นจากกับดักที่เผชิญอยู่ และก้าวไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต
ผมขอเชิญชวนผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มาร่วมกันศึกษา วางแผน และผลักดันให้แนวคิดนี้กลายเป็นรูปธรรม เพื่อปลดล็อกศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย และสร้างอนาคตที่สดใสกว่าเดิมร่วมกัน หากท่านสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม หรือต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์นี้ โปรดติดต่อเราเพื่อร่วมหารือและวางแผนกลยุทธ์เชิงปฏิบัติการต่อไป

