วิกฤตเศรษฐกิจไทย 2025: ปลดล็อกศักยภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ สู่การฟื้นฟูอย่างยั่งยืน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเศรษฐกิจมานานกว่าทศวรรษ ผมเฝ้ามองสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ด้วยความกังวล แต่ก็เห็นถึงโอกาสอันมหาศาลหากเรากล้าที่จะเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดเดิมๆ ที่เคยนำพาเรามาถึงจุดนี้ ณ ปี 2025 นี้ คำถามที่ว่า “เศรษฐกิจไทยถึงทางตัน โอกาสรอดอยู่ตรงไหน” ไม่ใช่แค่คำถามของนักวิชาการหรือผู้ประกอบการเท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่คนไทยทุกคนสัมผัสได้ถึงผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ โครงสร้างเศรษฐกิจที่เคยเป็นเสาหลักกำลังสั่นคลอนจากปัจจัยภายในและภายนอกที่ซับซ้อน การพึ่งพาภาคส่วนเดิมๆ อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป แต่การมองหาแนวทางใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศออกจากกับดักความท้าทายในปัจจุบันและสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคต
เผชิญหน้ากับความจริง: พายุเศรษฐกิจลูกใหญ่ที่ถาโถมประเทศไทย
เราต้องยอมรับว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ แต่เป็นการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้สินและอิงแอบกับสถานการณ์โลกที่ผันผวนอย่างหนัก คำเตือนจาก IMF ที่ชี้ว่าไทยกำลังติดกับดักทศวรรษที่สาบสูญนั้น เป็นสัญญาณอันตรายที่เราไม่อาจมองข้ามได้ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่กำลังปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ประการแรก เราไม่อาจหนีพ้นผลกระทบจาก สงครามการค้า ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของเรา ประเทศไทยซึ่งเคยพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนที่ลงทุนโดยต่างชาติอย่างญี่ปุ่นมานานหลายทศวรรษ กำลังประสบภาวะกดดันมหาศาล สินค้าจีนที่ถูกเทรดวอร์กำลังไหลทะลักเข้ามาในภูมิภาค ทำให้ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดส่งออกและตลาดภายในประเทศของเราเอง แม้เราจะพยายามผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ผู้ประกอบการไทยยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนสำคัญป้อนอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ การส่งออกสินค้าอื่นๆ ที่ไทยเคยเป็นแชมเปี้ยนก็กำลังเสื่อมถอยลงอย่างน่าใจหาย
ประการที่สอง ปัญหาหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงอย่างน่าตกใจ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบริโภคภายในประเทศ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันกลับพุ่งทะลุ 90% (หรือตามแหล่งข่าวเดิมระบุ 126% หากเทียบจากอัตรา 10 ปีที่แล้ว) ซึ่งสะท้อนถึงการนำเงินในอนาคตมาใช้ในปริมาณมหาศาล การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงเป็นเพียงการสร้างภาระหนี้ระยะยาวที่ยากจะแก้ไข ทำให้โอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนลดน้อยลงอย่างมาก
ประการที่สาม เรากำลังเผชิญกับวิกฤตโครงสร้างประชากรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สังคมผู้สูงอายุที่กำลังมาถึง ส่งผลให้จำนวนแรงงานวัยหนุ่มสาวลดลงอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ และลดทอนขีดความสามารถในการสร้างผลิตภาพ (productivity) ของประเทศในระยะยาว ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นเงาตามตัว บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และสุดท้าย แม้รัฐบาลจะคาดหวังรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย แต่ความเป็นจริงก็คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมาในระดับก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลัก ก็มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะกลับมาในจำนวนมหาศาลเช่นเดิม ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายภายในของจีนที่เปลี่ยนไป ทำให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นความหวังสูงกลับกลายเป็นความไม่แน่นอน
จากทั้งหมดนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศไทยไม่สามารถพึ่งพิงโครงสร้างเศรษฐกิจเดิมๆ ได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ หากต้องการ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ให้กลับมาเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน
พลิกเกมเศรษฐกิจ: บทเรียนจากนานาชาติ สู่การเปลี่ยนผ่านโครงสร้าง GDP
เมื่อมองไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่เคยเผชิญหน้ากับความท้าทายทางเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน เราจะเห็นว่าหลายประเทศประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมตัวเองด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง GDP ครั้งใหญ่ ไม่ได้ยึดติดกับภาคส่วนเดิมๆ ที่เคยเป็นแกนหลัก:
สิงคโปร์: จากประเทศที่เน้นภาคอุตสาหกรรมหนัก พลิกโฉมสู่การเป็นศูนย์กลางบริการระดับโลก ด้วยสัดส่วนภาคบริการสูงถึง 70% ของ GDP สร้างรายได้จากต่างประเทศมหาศาลในด้านการเงิน, ธนาคาร, เทคโนโลยี, เศรษฐกิจดิจิทัล, AI และการศึกษา ซึ่งถือเป็นการ ลงทุนระยะยาว ในทรัพยากรมนุษย์และนวัตกรรม
เกาหลีใต้: แม้จะยังคงแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมหนัก แต่ได้ขยายบทบาทสู่ภาคเทคโนโลยีล้ำสมัย อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์) และภาคบริการ ซึ่งกลายเป็น soft power ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตสิ่งทอ เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ที่ดึงดูด การลงทุนต่างชาติ อย่างมหาศาล
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: เคยพึ่งพารายได้จากการขุดเจาะน้ำมันเป็นหลัก ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากน้ำมันเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP พวกเขาหันมาเน้นการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ และส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม, การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล, การประชุมนานาชาติ, นิทรรศการ) อย่างจริงจัง โดยมีภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหัวใจสำคัญในการรองรับ
สหราชอาณาจักร: อดีตผู้นำอุตสาหกรรมในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนเกิน 80% ของ GDP โดยเฉพาะกรุงลอนดอนที่กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การยึดติดกับโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ เป็นความเสี่ยง การกล้าที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและสามารถดึงดูด การลงทุนต่างชาติ ได้คือหนทางสู่ความอยู่รอดและความมั่งคั่ง ประเทศไทยมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งด้านการบริการ การท่องเที่ยว วัฒนธรรม และอัธยาศัยไมตรี ซึ่งชาวต่างชาติทั่วโลกล้วนชื่นชอบ
ข้อมูลชี้ชัดว่ากรุงเทพฯ ยังคงติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก มีโรงพยาบาลติดอันดับโลกหลายแห่ง คนไทยมีมนุษยสัมพันธ์ดี บริการประทับใจ หากเราสามารถเชื่อมโยงจุดแข็งเหล่านี้เข้ากับการผลักดันภาคบริการและที่สำคัญคือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้กลายเป็นเครื่องจักรสำคัญในการ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
อสังหาริมทรัพย์: หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการฟื้นตัวของไทย
ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในวงการ อสังหาริมทรัพย์ไทย มาอย่างยาวนาน ผมเชื่อมั่นว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการพิจารณาแนวคิดที่กล้าหาญ: การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทยได้อย่างเปิดกว้างและโปร่งใสมากขึ้น
บางคนอาจกังวลว่าที่ดินของประเทศจะถูกต่างชาติยึดครอง แต่จากข้อมูล ประเทศไทยมีที่ดินกว่า 321 ล้านไร่ มีเอกสารสิทธิ 127 ล้านไร่ (ประมาณ 40%) หากเราสามารถขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้ 200,000 หลังต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนการใช้ที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่ นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ เมื่อเทียบกับประโยชน์มหาศาลที่จะได้รับ
ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศกว่า 392,858 หน่วย มูลค่ารวม 1.065 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ จะสร้างมูลค่าการซื้อขายได้ถึง 2.5 แสนล้านบาท (ตามตัวเลขเดิม 1 ล้านล้านบาท หากใช้มูลค่าเฉลี่ยของบ้านที่ต่างชาติซื้อ) ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ
ทำไมชาวต่างชาติจึงต้องการมาอยู่ประเทศไทย? เพราะเรามีข้อได้เปรียบที่โดดเด่น:
ค่าครองชีพต่ำ คุณภาพชีวิตดี: เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก
อาหารไทย: ได้รับการยอมรับทั่วโลก
สภาพอากาศดี: มีความหลากหลายทางภูมิประเทศ
ระบบสาธารณสุข: มีคุณภาพดีและราคาถูกกว่าหลายประเทศ
ราคาอสังหาริมทรัพย์: ยังคงเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในต่างประเทศ
สังคมไทย: เป็นมิตรและมีอัธยาศัยดี
อินเทอร์เน็ตคุณภาพ: รองรับการทำงานและการใช้ชีวิตยุคใหม่
กลุ่มเป้าหมายไม่ใช่แค่ผู้มีรายได้สูงพิเศษเท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มคนรายได้ปานกลางถึงสูงที่มองหาโอกาสในการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสม โดยเฉพาะบ้านพักอาศัยระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงราคาที่กลุ่มนี้มีกำลังซื้อ ไม่ใช่แค่คอนโดมิเนียม
ผลกระทบจากการผลักดันนโยบายนี้จะส่งผลดีในหลายมิติ:
กระตุ้นยอดขายบ้านและคอนโด: ทำให้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง: ได้รับอานิสงส์เต็มที่จากความต้องการสร้างและตกแต่งที่อยู่อาศัย
การจ้างงาน: ทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาคก่อสร้าง ภาคบริการ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
การบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนและท้องถิ่น
เพิ่ม GDP ไทย: การขายบ้าน 10,000 หลัง อาจส่งผลให้ GDP ไทย เพิ่มขึ้น 0.75% แต่หากสามารถขายได้ถึง 100,000 หลัง จะทำให้ GDP ขยายตัวได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อ การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ การส่งเสริม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบโจทย์ชาวต่างชาติ เช่น โครงการบ้านพักตากอากาศใน ภูเก็ต, พัทยา, หัวหิน หรือคอนโดมิเนียมใน กรุงเทพ จะสร้าง โอกาสลงทุน ที่น่าสนใจและเป็นช่องทางในการดึงดูดเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าประเทศ
ถอดบทเรียนจากโมเดลระดับโลก: สร้างนโยบายที่ดึงดูดการลงทุนอย่างแท้จริง
หลายประเทศได้พิสูจน์แล้วว่า การใช้นโยบายที่เอื้อต่อ การถือกรรมสิทธิ์ของต่างชาติ ในอสังหาริมทรัพย์ สามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ได้:
โปรตุเกส: โครงการ Golden Visa ปี 2012 ดึงดูดเงินลงทุนกว่า 7 พันล้านยูโร ด้วยการอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป ได้สิทธิพำนัก ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตอย่างรวดเร็ว
สเปน: โครงการ Residency by Investment หลังวิกฤตปี 2008 ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไป กระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซาและทำให้ GDP ไทย (ขออภัย แก้เป็น GDP สเปน) ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยเฉพาะจากนักลงทุนจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: นโยบาย Freehold Property ที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้อบ้านแบบกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึง 50% ของ GDP และเปลี่ยนดูไบให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
กรีซ: โครงการ Greece Golden Visa ที่กำหนดให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับวีซ่าพำนัก ทำให้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีนัยสำคัญ
มาเลเซีย: โครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชัดเจนว่า นโยบายเศรษฐกิจ ที่สร้างแรงจูงใจและอำนวยความสะดวกให้ การลงทุนต่างชาติ ในภาคอสังหาริมทรัพย์ สามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว สิ่งสำคัญคือการมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน โปร่งใส และสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองข้ามความกังวลเดิมๆ และใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนักสู่การใช้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นแกนหลักในการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการยกระดับภาคบริการและเทคโนโลยี จะเป็นเส้นทางที่นำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน
ในฐานะ ผู้ประกอบการอสังหาฯ และผู้เชี่ยวชาญในภาคส่วนนี้ ผมขอยืนยันว่า ศักยภาพประเทศไทย ในการดึงดูดนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยต่างชาติมีสูงมาก หากเรามี นโยบายเศรษฐกิจ ที่กล้าหาญและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เราจะสามารถเปลี่ยนความท้าทายให้เป็น โอกาสลงทุน ที่ยิ่งใหญ่ได้
ก้าวต่อไป: สร้างอนาคตเศรษฐกิจไทยด้วยวิสัยทัศน์ใหม่
สถานการณ์ปัจจุบันเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเราไม่อาจดำเนินธุรกิจแบบ “ทำอย่างที่เคยทำ” ได้อีกต่อไป ถึงเวลาที่เราต้องทบทวนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศอย่างจริงจัง และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนให้ทันกับพลวัตของโลกปี 2025 และปีต่อๆ ไป การปลดล็อกศักยภาพของ ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น แต่เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต
การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ไม่ได้หมายถึงการขายชาติ แต่เป็นการเชื้อเชิญพันธมิตรทางเศรษฐกิจเข้ามาแบ่งปันโอกาสและช่วยกันสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ ผ่านการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ การใช้จ่าย และการสร้างงานในท้องถิ่น โมเดลนี้ได้พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก และประเทศไทยก็มีศักยภาพที่จะทำได้ดียิ่งกว่า
ผมเชื่อมั่นว่าการรวมพลังของภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดัน นโยบายเศรษฐกิจ ที่เอื้อต่อการลงทุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่ดึงดูด การลงทุนต่างชาติ การมีกฎหมายที่ชัดเจนและเป็นธรรม จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และนำไปสู่การ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย อย่างแท้จริง
ถึงเวลาที่เราต้องไม่เพียงแค่พูดถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ต้องลงมือทำอย่างจริงจัง
หากท่านเป็นผู้ที่เห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอนาคตของเศรษฐกิจไทย หรือกำลังมองหา โอกาสลงทุน ที่มั่นคงใน ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย เราขอเชิญชวนให้ทุกท่านร่วมกันศึกษา อภิปราย และผลักดันแนวคิดนี้ให้เป็นจริง เพื่อสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง โปรดติดต่อเราเพื่อแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน

