• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912146 ณแม ลไซเมอร เผลอหวนน กถ งอด ต! part2

admin79 by admin79
December 22, 2025
in Uncategorized
0
D1912146 ณแม ลไซเมอร เผลอหวนน กถ งอด ต! part2

ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: กลยุทธ์พลิกวิกฤตสู่โอกาสทองของประเทศไทยในทศวรรษหน้า

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมเฝ้ามองพลวัตของเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด และต้องยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้นซับซ้อนและท้าทายอย่างยิ่ง คำถามที่ว่า “เศรษฐกิจไทยถึงทางตัน โอกาสรอดอยู่ตรงไหน” ไม่ได้เป็นเพียงคำถามของผู้ประกอบการหรือนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นประเด็นที่คนไทยทุกคนกำลังค้นหาคำตอบร่วมกัน ผมเชื่อว่าในท่ามกลางมรสุมแห่งความท้าทายนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤตและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นได้จริงในอีก 10 ปีข้างหน้า

เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจแบบไม่เคยมีมาก่อน เพื่อไม่ให้ประเทศต้องติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยเตือนไว้ การที่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง จะไม่ใช่แค่การกระตุ้นตลาดเพียงชั่วคราว แต่เป็นการวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

มรสุมเศรษฐกิจไทยและโลก: ความจริงที่ต้องเผชิญหน้า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญหน้ากับพายุเศรษฐกิจหลายระลอก ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งสถานการณ์ในปี 2025 ยิ่งฉายภาพความเปราะบางให้เห็นชัดเจนขึ้น ดร.บัณฑิต นิจถาวร อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยสะท้อนสัญญาณเตือนจาก IMF ว่าประเทศไทยกำลังติดกับดักทศวรรษที่สาบสูญ ซึ่งเป็นคำที่หนักหน่วงแต่เป็นจริง เมื่อมองเห็นการลงทุนในตลาดหุ้นที่ไร้สัญญาณฟื้นตัว สะท้อนความไม่เชื่อมั่นในอนาคต

สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างมหาอำนาจยังคงทวีความรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและตลาดส่งออกของไทยโดยตรง นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและเผชิญความท้าทายภายใน ทำให้การพึ่งพาการส่งออกสินค้าไปยังจีนทำได้ยากขึ้น สินค้าจากจีนเองก็อาจไหลทะลักมายังตลาดใกล้บ้านเรา ซึ่งรวมถึงประเทศไทย สร้างแรงกดดันต่อผู้ผลิตในประเทศ

อีกหนึ่งปัญหาเรื้อรังที่กัดกร่อนกำลังซื้อภายในคือ หนี้ครัวเรือน ที่พุ่งสูงเกิน 90% ของ GDP ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เมื่อสิบปีก่อนหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP การที่หนี้เพิ่มขึ้นเป็น 126% ของเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ชี้ให้เห็นว่าเรากำลังใช้เงินในอนาคตมาบริโภค สิ่งนี้เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพราะผู้คนมีภาระหนี้สินมากเกินไป ยากที่จะจับจ่ายใช้สอย หรือแม้แต่ลงทุนเพื่อสร้างการเติบโต การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินจึงอาจไม่ยั่งยืนเท่าที่ควร หากไม่ได้แก้ที่ต้นตอของปัญหาหนี้

นอกจากนี้ ปัญหาโครงสร้างประชากร ที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญกับ การขาดแคลนแรงงาน และลดทอนขีดความสามารถในการผลิต รวมถึงสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ในอนาคต สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมของประเทศ และสร้างแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการสังคม ซึ่งเป็นอีกมิติของปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ทวีความรุนแรงขึ้น

อุตสาหกรรมหลักที่เคยขับเคลื่อน GDP ของไทยอย่าง อุตสาหกรรมยานยนต์ กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แม้ไทยจะพยายามดึงดูดการลงทุนด้าน EV แต่ปัญหาใหญ่คือผู้ประกอบการไทยยังขาดเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญป้อนอุตสาหกรรม EV ได้เอง ทำให้เรายังคงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เท่าที่ควร

แม้ การท่องเที่ยว จะเป็นความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมายังไม่เทียบเท่าก่อนยุคโควิด-19 และพฤติกรรมการท่องเที่ยวก็เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่โอกาสจะกลับมาล้นหลามเช่นในอดีตนั้นแทบเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเปราะบางและคาดการณ์ได้ยาก สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้าและหาทางออกอย่างเร่งด่วน

บทเรียนจากนานาชาติ: การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อความอยู่รอด

ประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพลิกวิกฤตเศรษฐกิจ มักจะไม่ได้พึ่งพาโครงสร้างแบบเดิม แต่กล้าที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต ผมได้ศึกษาและเห็นตัวอย่างจากหลายประเทศที่เคยเผชิญความท้าทายคล้ายคลึงกับไทย และประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่ง

สิงคโปร์ เป็นตัวอย่างคลาสสิกที่เปลี่ยนผ่านจากภาคอุตสาหกรรมมาสู่ ภาคบริการระดับโลก โดยมีสัดส่วนถึง 70% ของ GDP เป็นการสร้างรายได้จากต่างประเทศ ทั้งในด้านการเงิน, การธนาคาร, เทคโนโลยี, เศรษฐกิจดิจิทัล, AI และการศึกษา สิงคโปร์ลงทุนอย่างหนักในโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรม เพื่อดึงดูดบริษัทชั้นนำและบุคลากรระดับโลก
เกาหลีใต้ จากที่เคยเน้นอุตสาหกรรมหนัก ก็เปลี่ยนมาเน้นด้านเทคโนโลยีขั้นสูง, นวัตกรรม และที่โดดเด่นคือ อุตสาหกรรมบันเทิง (Soft Power) ที่สร้างชื่อเสียงและรายได้มหาศาลไปทั่วโลก ภาคบริการมีสัดส่วนราว 10% ของ GDP แต่เป็นภาคบริการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและวัฒนธรรม
ฮ่องกง เคยเป็นศูนย์กลางโรงงานทอผ้า แต่ปรับเปลี่ยนไปสู่ ภาคการเงิน (Financial Hub), ภาคบริการ และ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองนี้มายาวนาน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เดิมพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเป็นหลัก แต่ปัจจุบันรายได้จากน้ำมันเหลือน้อยกว่า 30% ของ GDP พวกเขาได้เปลี่ยนไปสู่ การท่องเที่ยวหรูหรา, ธุรกิจบริการระดับโลก, การส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม, อินเซนทีฟ, คอนเฟอเรนซ์, นิทรรศการ) และการลงทุนในเมืองอัจฉริยะ ดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้คนที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี
สหราชอาณาจักร เดิมเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปสู่ ภาคบริการ ที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน, เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่สำคัญของยุโรปและของโลก

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ประเทศไทยจำเป็นต้องกล้าที่จะปรับเปลี่ยนและมองหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ โดยเฉพาะจาก ภาคบริการ และ การลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งผมเชื่อว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปลดล็อกศักยภาพ: ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร

โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบัน แบ่งเป็น การบริโภคภาคเอกชน 57.7%, การลงทุนภาคเอกชน 17.3%, การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2%, การส่งออกสินค้าและบริการ 65.4% และการนำเข้าสินค้าและบริการ 63.7% ขณะที่โครงสร้างการผลิต ภาคเกษตรกรรม 8.4%, ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% คำถามสำคัญคือ รายได้จากการส่งออกที่เราภาคภูมิใจนั้น แท้จริงแล้วประเทศไทยได้รับเท่าไหร่ และมีความยั่งยืนเพียงใด

ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องปรับโครงสร้างไปสู่ธุรกิจอีกรูปแบบ โดยมี ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับภาคบริการ ประเทศไทยมีสิ่งดีงามมากมายที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับ 1 เมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในปี 2024 ระบบโรงพยาบาลติดอันดับโลก 5 แห่ง คนไทยมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยมและมีวัฒนธรรมการให้บริการที่เป็นเลิศ หากเราสามารถเปลี่ยนจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนัก มาสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มใน ภาคบริการ-ภาคอสังหาริมทรัพย์ เราจะสามารถดึงดูดกำลังซื้อจากต่างประเทศได้อย่างมหาศาล

การอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นการเปลี่ยนจาก “นักท่องเที่ยว” ให้เป็น “ผู้อยู่อาศัยระยะยาวและผู้ลงทุน” ที่จะนำเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้อย่างแท้จริง

โมเดลความสำเร็จระดับโลก: ดึงดูดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติ

ในอดีต หลายประเทศที่เผชิญปัญหากำลังซื้อภายในประเทศลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต ได้ใช้วิธีฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยดึงชาวต่างชาติเข้ามาซื้อ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และใช้จ่ายในประเทศด้วย ซึ่งมีหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ อสังหาฯ เป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างน่าประทับใจ:

โปรตุเกส: ในปี 2012 ได้เปิดโครงการ Golden Visa อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อ อสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนัก ทำให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร สามารถฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้ และทำให้ ตลาดที่อยู่อาศัย และราคาบ้านฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สเปน: หลังวิกฤตปี 2008 ได้เปิดโครงการ Residency by Investment ให้ต่างชาติ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย หรือในสเปน 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา ส่งผลให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยเฉพาะการดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: มีโครงการ Freehold Property ที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้อบ้านแบบ Freehold ได้โดยสมบูรณ์ ซึ่งดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้ อสังหาฯ และการท่องเที่ยว คิดเป็นกว่า 50% ของ GDP จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างแท้จริง
กรีซ: มีโครงการ Greece Golden Visa ให้ชาวต่างชาติซื้อ อสังหาริมทรัพย์ 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อขอวีซ่าพำนัก ทำให้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีนัยสำคัญ
มาเลเซีย: มีโครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามา พำนักระยะยาวในไทย (หรือในมาเลเซีย) กระตุ้นตลาดบ้าน และดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การมีนโยบายที่ชัดเจนและจูงใจ จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ และกลายเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ทำให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้อย่างยั่งยืน

เหตุผลที่ต่างชาติเลือกไทย: จุดแข็งที่ไม่มีใครเหมือน

ประเทศไทยมีเสน่ห์และศักยภาพมากมายที่ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาอยู่อาศัยและลงทุน นี่คือเหตุผลที่ผมเชื่อว่าเราสามารถทำให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้สำเร็จ:

คุณภาพชีวิตที่ดีและค่าครองชีพที่เข้าถึงได้: เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก ประเทศไทยมีค่าครองชีพที่ต่ำกว่ามาก แต่ยังคงรักษาระดับคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งด้านอาหารการกิน การเดินทาง และสิ่งอำนวยความสะดวก
ระบบสาธารณสุขระดับโลก: โรงพยาบาลของไทยหลายแห่งได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยมี 5 แห่งติดอันดับดีที่สุดในโลก ซึ่งเป็นจุดแข็งด้าน การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย ของกลุ่ม Medical Tourism และผู้เกษียณอายุ
วัฒนธรรม, อาหาร, และอัธยาศัยไมตรี: อาหารไทยได้รับการยอมรับไปทั่วโลก สังคมไทยเป็นมิตรและอบอุ่น รวมถึงสภาพอากาศที่ดีตลอดปี คือแม่เหล็กดึงดูดที่สำคัญ
ทำเลที่ตั้งและโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนา: ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของอาเซียน มีการเชื่อมโยงการคมนาคมที่ดี และมีการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง ทำให้การทำงานและใช้ชีวิตสะดวกสบาย
อสังหาริมทรัพย์ที่ยัง “คุ้มค่า” และ “มีอนาคต”: เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ราคา อสังหาริมทรัพย์ ในไทยยังคงสมเหตุสมผลและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้ที่มองหาบ้านพักตากอากาศ
การสลายความกังวล: ที่ดินไทยไม่ถูกครอบครอง: บางคนอาจกังวลว่าการอนุญาตให้ต่างชาติถือครอง ที่ดินเพื่อการลงทุน หรือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย จะทำให้ประเทศสูญเสียที่ดิน แต่จากสถิติ ประเทศไทยมีที่ดินรวม 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิ์ 127 ล้านไร่ (40%) หากใน 1 ปี เราสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 200,000 หลัง คิดเป็นที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก
กลุ่มเป้าหมาย: ไม่ใช่แค่เศรษฐี แต่คือผู้มีศักยภาพ: แม้ที่ผ่านมาจะมีการผลักดันกลุ่มผู้มีรายได้สูงพิเศษ แต่ในความเป็นจริงกลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาพำนักในไทยส่วนใหญ่คือกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งมีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ไปจนถึง อสังหาริมทรัพย์หรู ในระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อสูง

ผลกระทบเชิงบวกที่เหนือกว่าการขาย: The Multiplier Effect

การเปิดโอกาสให้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ใน ภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้หยุดอยู่แค่ยอดขายบ้าน แต่สร้างผลกระทบเชิงบวกแบบทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจ:

กระตุ้นธุรกิจก่อสร้างและห่วงโซ่อุปทาน: เมื่อมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ธุรกิจก่อสร้าง จะคึกคัก ส่งผลดีต่อผู้ผลิต วัสดุก่อสร้าง, เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า และธุรกิจตกแต่งภายใน
การสร้างงานโดยตรงและทางอ้อม: การก่อสร้างและการขาย อสังหาริมทรัพย์ สร้างงานมหาศาล ตั้งแต่วิศวกร, สถาปนิก, ช่างฝีมือ, แรงงานก่อสร้าง, ไปจนถึงพนักงานขาย, ตัวแทน ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ และผู้ให้บริการด้านการดูแลและบำรุงรักษา
เพิ่มการบริโภคในท้องถิ่น: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว พวกเขาจะจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ทั้งอาหาร, บริการ, ค้าปลีก, การศึกษาบุตรหลาน และการดูแลสุขภาพ สิ่งนี้จะช่วยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจในระดับชุมชนให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบต่อ GDP อย่างมีนัยสำคัญ: จากการศึกษา หากเราสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 10,000 หลัง จะส่งผลให้ GDP เพิ่มขึ้น 0.75% แต่หากสามารถขายได้ถึง 100,000 หลัง จะทำให้ GDP เพิ่มขึ้นสูงถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาล และเป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการในเวลานี้ เราเห็นตัวอย่างชัดเจนในพื้นที่อย่าง อสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต และ อสังหาริมทรัพย์พัทยา ที่ปัจจุบันมีการซื้อขายแบบถูกต้องและไม่ถูกต้องในนาม nominee เป็นจำนวนกว่าหมื่นหลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาด

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องตัดสินใจอย่างกล้าหาญและมองไปข้างหน้า การพึ่งพาโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ที่เน้นการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักนั้นไม่สามารถนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยบริการและการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมี ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นฟันเฟืองสำคัญ

การสร้างกลไกที่โปร่งใส เป็นธรรม และเอื้อต่อ โครงการลงทุนต่างชาติ ใน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน จะไม่เพียงแค่ปลดล็อกศักยภาพของภาคธุรกิจนี้ แต่ยังจะสร้างโอกาสทางธุรกิจไทยอีกมากมาย ทั้งการสร้างงาน เพิ่มรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ

ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยและการลงทุนระดับโลก ด้วยจุดแข็งที่เรามี การที่รัฐบาลและภาคเอกชนจะร่วมมือกันผลักดันนโยบายที่ส่งเสริม การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยชาวต่างชาติอย่างจริงจัง จะเป็นทางออกที่สำคัญในการฟื้นฟูและสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศไทย

หากท่านสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุน หรือต้องการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อ ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ ของเราวันนี้ เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสดใสไปด้วยกัน.

Previous Post

D1912145 ขอแค โอกาสพ จน ใจ งเป นใบ ไม ยอมแพ part2

Next Post

D1912147 กชะตาน องแฟน เลยอยากได มาควงแขนส กหน อย! part2

Next Post
D1912147 กชะตาน องแฟน เลยอยากได มาควงแขนส กหน อย! part2

D1912147 กชะตาน องแฟน เลยอยากได มาควงแขนส กหน อย! part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D2212088 Doorman แฟนเก าเธอน องออย part2
  • D2212087 อย นด ๆไม ได ไง องการแบบน ใช ไหม part2
  • D2212086 แขก VIP อย างฉ แกคงไม อยากร กส นะ part2
  • D2212085 คนส งแหวนหม เป นแฟนเก part2
  • D2212070 ไม ญญาซ อก ไม องมาด part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.