• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912134 เคยรวยร อยล าน ตอนน เหล อแค กล วยหน งหว part2

admin79 by admin79
December 22, 2025
in Uncategorized
0
D1912134 เคยรวยร อยล าน ตอนน เหล อแค กล วยหน งหว part2

ปลดล็อกศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ไทย: เข็มทิศใหม่นำพาเศรษฐกิจสู่ยุคแห่งความมั่งคั่งยั่งยืน

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมเฝ้ามองพลวัตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมาโดยตลอด ด้วยความหวังและความกังวลที่ผสมปนเปกันไป ยิ่งในช่วงปี 2568 นี้และแนวโน้มที่กำลังจะมาถึงในปี 2569-2570 ภาพรวมที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นซับซ้อนและท้าทายเกินกว่าที่เราจะพึ่งพากลไกเดิมๆ ได้อีกต่อไป “เศรษฐกิจไทยจะรอดหรือไม่? โอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนอยู่ตรงไหน?” คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นในใจนักลงทุนและประชาชนจำนวนมาก คำตอบที่ชัดเจนและกล้าหาญกำลังเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง และจากประสบการณ์ตรงในภาคธุรกิจ ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งสำคัญ โดยให้ ศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญที่จะนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญ, ถอดบทเรียนจากนานาชาติที่ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้าง GDP, และชี้ให้เห็นถึงโอกาสมหาศาลที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยสามารถมอบให้ได้ หากเรามีนโยบายที่ถูกต้องและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล

วิกฤตซ้อนวิกฤต: ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ต้องเผชิญในยุค 2025+

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเปรียบเสมือนเรือที่กำลังแล่นฝ่าพายุหลายลูกพร้อมกัน ไม่ใช่เพียงแค่พายุลูกเดียวที่พัดผ่านมาแล้วผ่านไป แต่เป็นมรสุมที่ก่อตัวขึ้นจากหลายทิศทาง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อพื้นฐานเศรษฐกิจของเราอย่างลึกซึ้ง

สึนามิสงครามการค้าและการแข่งขันภูมิรัฐศาสตร์:
ความขัดแย้งทางการค้าและการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2568 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain Restructuring) ที่เคยหล่อเลี้ยงการส่งออกของไทยมานานหลายทศวรรษ อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเคยเป็นหัวใจสำคัญของการส่งออกและ GDP ไทย กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการย้ายฐานการผลิต, การแข่งขันที่ดุเดือดจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหม่ๆ ทั่วโลก และการที่เทคโนโลยีพื้นฐานของเรายังไม่สามารถก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทันท่วงที สินค้าไทยที่เคยเป็นแชมป์ในตลาดโลกหลายประเภทก็เริ่มสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับประเทศคู่แข่ง เราจึงไม่สามารถพึ่งพิงการส่งออกในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป

ภาระหนี้ครัวเรือนพอกพูนและกำลังซื้อที่ถดถอย:
ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากระดับ 40% ของ GDP ในอดีต มาสู่ระดับที่สูงกว่า 90% ของ GDP ในปัจจุบัน (ซึ่งบทความต้นฉบับระบุ 126% ของ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะหมายถึงอัตราการเติบโต) ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนจำนวนมากกำลังนำเงินในอนาคตมาใช้จ่าย ส่งผลให้กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อประชาชนมีภาระหนี้สินมาก ก็ย่อมลดการจับจ่ายใช้สอย การลงทุน และความสามารถในการก่อหนี้ใหม่ สิ่งนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้ เศรษฐกิจไทย ขาดแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอาจไม่สามารถแก้ปัญหารากฐานนี้ได้อย่างยั่งยืน

โครงสร้างประชากร: ระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง:
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เป็นเสมือนระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจที่กำลังนับถอยหลัง จำนวนประชากรวัยแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาระการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อผลิตภาพแรงงาน (Productivity) และนวัตกรรมของประเทศในระยะยาว รวมถึงภาระด้านงบประมาณสำหรับสวัสดิการสังคม การขาดแคลนแรงงานมีฝีมือและประสิทธิภาพจะเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการเติบโตของหลายภาคส่วน รวมถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต

การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่: บทเรียนที่ยังไปไม่ถึงฝัน:
แม้รัฐบาลจะพยายามผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ความเป็นจริงคือผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนสำคัญป้อนอุตสาหกรรมนี้ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและ R&D ทำให้เรายังคงเป็นเพียงฐานการประกอบมากกว่าการเป็นผู้ผลิตที่แท้จริง อุตสาหกรรมที่เราเคยเป็นผู้นำอย่างสิ่งทอ เกษตรแปรรูป หรือแม้กระทั่งอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน ก็เริ่มเผชิญกับคู่แข่งใหม่ๆ ที่มีต้นทุนต่ำกว่าและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า ทำให้ส่วนแบ่งตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน

ภาคการท่องเที่ยว: ความหวังที่ไม่ง่ายเหมือนเก่า:
ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาคการท่องเที่ยวเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยง เศรษฐกิจไทย แต่หลังจากวิกฤต จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมาเยือนประเทศไทยยังไม่กลับไปสู่ระดับเดิมได้โดยง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด การกลับมาของพวกเขาถูกจำกัดด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น นโยบายภายในประเทศของจีนเอง เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และความต้องการเดินทางที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค การพึ่งพานักท่องเที่ยวจำนวนมากอาจไม่ใช่โมเดลที่ยั่งยืนอีกต่อไป เราจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและพักระยะยาว

ถอดบทเรียนจากนานาชาติ: เมื่อถึงเวลาที่ไทยต้องปรับโครงสร้าง GDP ขนานใหญ่

เมื่อเผชิญกับความท้าทายเช่นนี้ การยืนอยู่กับที่และพึ่งพากลไกเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ดี การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วน ประเทศไทยมีศักยภาพและทรัพยากรมากมายที่แตกต่างจากอดีต และเราสามารถเรียนรู้จากนานาชาติที่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์คล้ายกันและสามารถพลิกฟื้นประเทศได้อย่างน่าทึ่ง

ทำไมต้องปรับ? โครงสร้าง GDP ไทยที่พึ่งพาเกินไป:
ปัจจุบัน โครงสร้าง GDP ของไทยยังคงพึ่งพาการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และที่สำคัญคือ “การส่งออกสินค้าและบริการ” ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 65.4% และการนำเข้า 63.7% หากมองลึกลงไปในภาคการผลิต เกษตรกรรมมีสัดส่วนเพียง 8.4% อุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกในสัดส่วนที่สูงเช่นนี้ ทำให้ เศรษฐกิจไทย มีความเปราะบางต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าอย่างยิ่ง ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองหาเครื่องยนต์ใหม่ที่จะขับเคลื่อนการเติบโต

กรณีศึกษาจากประเทศที่พลิกฟื้นด้วยบริการและอสังหาริมทรัพย์:
หลายประเทศทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคบริการที่มีมูลค่าสูงและภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน สามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนได้ ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่:

สิงคโปร์: จากเดิมที่เน้นภาคอุตสาหกรรม ปัจจุบันสิงคโปร์ได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ภาคบริการมากถึง 70% ของ GDP โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเงิน, เทคโนโลยีขั้นสูง, ดิจิทัลอีโคโนมี, และการศึกษา พวกเขาดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติมหาศาล และกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญระดับโลก รวมถึงการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยและทำงาน ก่อให้เกิดความต้องการที่พักอาศัยระดับพรีเมียม
เกาหลีใต้: จากประเทศที่เน้นอุตสาหกรรมหนักอย่างรถยนต์และเรือ เกาหลีใต้ได้พลิกโฉมสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี, อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) และภาคบริการที่สร้างมูลค่าสูง ดึงดูดนักท่องเที่ยวและบุคลากรผู้มีความสามารถจากทั่วโลก ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองใหญ่
ฮ่องกง: จากเดิมที่เป็นฐานการผลิตสิ่งทอและโรงงาน ปัจจุบันฮ่องกงได้เปลี่ยนไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก, ภาคบริการ และที่โดดเด่นที่สุดคือ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเกาะนี้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและเป็นแหล่งดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ): เคยพึ่งพารายได้จากการขายน้ํามันเป็นหลัก แต่วันนี้รายได้จากน้ํามันลดลงเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP พวกเขาพลิกโฉมตัวเองไปสู่การท่องเที่ยวหรูหรา, ธุรกิจบริการ, ศูนย์กลางการค้า MICE (การประชุม, การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล, การจัดงานแสดงสินค้าและการจัดนิทรรศการ) และเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ด้วยนโยบาย Freehold Property ที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาฯ ได้อย่างอิสระ ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล
อังกฤษ: ในอดีตเป็นผู้นำด้านการปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP ลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป และตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและผู้มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้จากภาคบริการและ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการดึงดูดกำลังซื้อจากต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ

อสังหาริมทรัพย์ไทย: ขุมทรัพย์ที่รอการปลดล็อกเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ประเทศไทยมีสิ่งดีๆ มากมายที่คนต่างชาติชื่นชอบและมองเห็นเป็นโอกาสในการลงทุน การใช้ชีวิต และการพักผ่อน ซึ่งเป็นรากฐานอันแข็งแกร่งในการเปลี่ยนให้ ศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้อย่างเต็มที่

จุดแข็งที่ยังไม่มีใครเหมือน: ทำไมต่างชาติจึงรักเมืองไทย?
จากประสบการณ์ของผมในธุรกิจนี้ ผมเห็นว่าเหตุผลหลักที่ต่างชาติสนใจประเทศไทยคือ:
ค่าครองชีพต่ำ คุณภาพชีวิตดี: เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกหรือประเทศพัฒนาแล้ว ไทยมีค่าครองชีพที่เข้าถึงได้ ในขณะที่ยังคงรักษาระดับคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ทั้งด้านอาหาร ที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวก
อาหารไทยได้รับการยอมรับระดับโลก: เป็น Soft Power ที่ทรงพลัง ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตในประเทศที่อุดมด้วยวัฒนธรรมการกิน
สภาพอากาศดี และแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย: มีตั้งแต่ชายหาดที่สวยงามในภูเก็ต พัทยา ไปจนถึงภูเขาที่ร่มรื่นในเชียงใหม่
ระบบสาธารณสุขที่ถูกกว่าและมีคุณภาพสูง: โรงพยาบาลของไทยหลายแห่งติดอันดับดีที่สุดในโลก พร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานสากลและค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล ดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ (Medical and Wellness Tourism)
สังคมไทยเป็นมิตรและบริการดีเยี่ยม: วัฒนธรรมการต้อนรับของคนไทยเป็นที่ประจักษ์ และการให้บริการก็เป็นเลิศ
โครงสร้างพื้นฐานและอินเทอร์เน็ตมีคุณภาพ: การเชื่อมต่อที่ดีและโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหมาะกับการอยู่อาศัยและการทำงาน โดยเฉพาะกลุ่ม Digital Nomads
กรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 เมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในปี 2024: ตอกย้ำถึงเสน่ห์ของประเทศ

จุดแข็งเหล่านี้ทำให้ประเทศไทยเป็น “เมืองน่าอยู่” และเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการซื้อบ้านในประเทศไทย หรือหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน

ตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติ: พลังขับเคลื่อนที่ถูกมองข้าม:
หลายคนยังมีความกังวลเกี่ยวกับการให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดิน ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ อย่างไรก็ตาม หากมองจากข้อมูลและข้อเท็จจริง จะเห็นว่าความกังวลนั้นเกินจริงไปมาก:
สัดส่วนที่ดิน: ประเทศไทยมีที่ดินรวม 321 ล้านไร่ มีเอกสารสิทธิ์ 127 ล้านไร่ (40%) หากพิจารณาการซื้อบ้านของต่างชาติในแต่ละปี แม้จะขายได้หลักแสนยูนิต ก็ยังคิดเป็นพื้นที่ไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มี การถือครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติจึงไม่ได้หมายถึงการยึดครองที่ดินของประเทศอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด
ประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างชาติซื้อ: ส่วนใหญ่คือคอนโดมิเนียม ซึ่งกฎหมายไทยอนุญาตให้ต่างชาติถือครองได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขาย และบ้านจัดสรรในรูปแบบการเช่าระยะยาว (Leasehold) หรือผ่านบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อ: แม้รัฐบาลจะพยายามดึงดูดกลุ่มผู้มีรายได้สูงเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง กลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรายได้ปานกลางถึงรายได้สูง ที่เชื่อว่ายังพอมีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่เข้าถึงได้และเป็นตลาดที่ใหญ่พอสมควร ไม่ใช่เพียงแค่คอนโดมิเนียมหรูระดับ 20-30 ล้านบาทขึ้นไปเท่านั้น การมองข้ามกลุ่มนี้คือการพลาดโอกาสครั้งใหญ่
ผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง: การขายบ้านให้ต่างชาติ ไม่ใช่แค่ได้เงินค่าบ้าน แต่ยังส่งผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ:
ยอดขายบ้านและอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น: สร้างรายได้โดยตรงให้กับผู้พัฒนาและเจ้าของโครงการ
ธุรกิจวัสดุก่อสร้างได้รับอานิสงส์: โรงงานผลิตวัสดุต่างๆ มีออเดอร์เพิ่มขึ้น
การจ้างงานโดยตรงและทางอ้อม: ตั้งแต่แรงงานก่อสร้าง วิศวกร สถาปนิก ตัวแทนขาย ไปจนถึงแม่บ้าน พนักงานบริการ และผู้ดูแลอสังหาฯ
การบริโภคจากผู้อยู่อาศัย: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ พวกเขาก็จะใช้จ่ายในประเทศ ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการต่างๆ ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยตรง และเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อจากภายนอก
ตัวอย่างเชิงสถิติ: การขายบ้าน 10,000 หลัง สามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.75% หากสามารถเพิ่มได้ถึง 100,000 หลัง จะเพิ่ม GDP ได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและสามารถพลิกฟื้น เศรษฐกิจไทย ได้อย่างแทบไม่น่าเชื่อ นี่คือ ศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่แท้จริง

ศักยภาพการสร้างมูลค่า: Beyond Bricks and Mortar
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับชาวต่างชาติ ไม่ใช่แค่การสร้างบ้านแล้วขาย แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ อสังหาริมทรัพย์ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการดึงดูดและรองรับบริการอื่นๆ เช่น:
ศูนย์กลางการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ: ผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุจากต่างประเทศที่มาพักฟื้นหรือใช้ชีวิตบั้นปลายในไทย ย่อมต้องการที่พักอาศัยที่เหมาะสม และจะใช้บริการทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง
ศูนย์กลางการศึกษา: ดึงดูดนักเรียนต่างชาติและครอบครัวให้มาอยู่อาศัยในไทย สร้างความต้องการโรงเรียนนานาชาติและที่พักอาศัยใกล้เคียง
ศูนย์รวม Digital Nomads และผู้เกษียณ: สร้างชุมชนสำหรับคนกลุ่มนี้ที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานและใช้ชีวิต

นี่คือโอกาสทองในการสร้างรายได้จากบริการและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่จะทำให้การลงทุนในไทยมีความน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่มองหา อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน

นโยบายเชิงรุก: กลไกสำคัญสู่การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนอสังหาฯ จากต่างชาติ

หากเราต้องการปลดล็อก ศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อย่างแท้จริง การมีนโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส และแข่งขันได้ในระดับสากลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราสามารถเรียนรู้จากตัวอย่างความสำเร็จของโครงการ Golden Visa และ Residency by Investment ทั่วโลก

ถอดรหัสความสำเร็จจากโครงการ Golden Visa ทั่วโลก:
โปรตุเกส: เริ่มโครงการ Golden Visa ในปี 2012 โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนักถาวร ทำให้เงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้สำเร็จ ตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด
สเปน: มีโครงการ Residency by Investment หลังวิกฤตปี 2008 เปิดให้ต่างชาติลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไปในอสังหาฯ ส่งผลให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี และดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
กรีซ: โครงการ Greece Golden Visa กำหนดให้ซื้ออสังหาฯ 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อรับวีซ่าพำนัก ทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโตถึง 60% ภายใน 10 ปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์: ด้วยนโยบาย Freehold Property ที่อนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาฯ แบบกรรมสิทธิ์ขาดได้โดยตรง ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึง 50% ของ GDP
มาเลเซีย: โครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น

ปัจจัยร่วมของความสำเร็จเหล่านี้คือ “ความชัดเจนของกฎหมาย”, “สิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจ”, “เกณฑ์การลงทุนที่เหมาะสม” และ “ความโปร่งใสในการดำเนินงาน” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยควรนำมาปรับใช้

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับประเทศไทย (ในบริบท 2025+):
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องกล้าตัดสินใจและทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติอย่างจริงจัง ผมมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ จากต่างชาติในไทย:

การทบทวนและปรับปรุงกฎหมายการถือครองอสังหาริมทรัพย์:
ขยายสิทธิการถือครองคอนโดมิเนียม: พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือครองคอนโดมิเนียมของต่างชาติในบางพื้นที่ หรือสำหรับโครงการที่กำหนด เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่
พิจารณา Freehold ในพื้นที่ที่กำหนด: สำหรับที่ดินเปล่า หรือบ้านจัดสรรในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ หรือพื้นที่ที่รัฐบาลต้องการพัฒนา เช่น อสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต อสังหาริมทรัพย์พัทยา อสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ หรือการลงทุนในเชียงใหม่ ภายใต้เงื่อนไขที่รัดกุม เช่น ต้องเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ หรือต้องสร้างงานให้กับคนไทย
ขยายระยะเวลา Leasehold ให้ยาวนานขึ้น: จาก 30 ปี เป็น 90 ปี หรือ 99 ปี สำหรับการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานพอให้นักลงทุนรู้สึกมั่นคงและคุ้มค่ากับการลงทุน หรือสร้างกลไกการเช่าที่ดินระยะยาวที่ปลอดภัยและต่ออายุได้โดยอัตโนมัติ
โครงการ Residency by Investment / Golden Visa เวอร์ชั่นไทย:
สร้างโปรแกรม “Investment Residency Visa” ที่ผูกกับการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ของไทย โดยกำหนดเกณฑ์การลงทุนที่น่าสนใจ เช่น 10-20 ล้านบาท แลกกับสิทธิพำนักระยะยาว (เช่น 5-10 ปี) หรือวีซ่าที่ต่ออายุได้
มอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น สิทธิพิเศษด้านภาษี, การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ระดับพรีเมียม, การอำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีธนาคาร หรือการขอใบอนุญาตทำงานสำหรับคู่สมรส
โปรแกรมดังกล่าวควรมีความแตกต่างจาก Thailand Elite Visa ในปัจจุบัน โดยเน้นที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก
การส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย:
กำหนดพื้นที่ยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับชาวต่างชาติ เช่น โซนชายฝั่งทะเล (ภูเก็ต, พัทยา, หัวหิน), เมืองใหญ่ (กรุงเทพฯ, เชียงใหม่), หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เช่น สนามบินนานาชาติ, ถนนหนทาง, ระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย
สนับสนุนการสร้างที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์, คอนโดมิเนียมหรู, และบ้านพักตากอากาศ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของชาวต่างชาติ
การสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลที่โปร่งใสและเชื่อถือได้:
จัดตั้งหน่วยงานภาครัฐที่เป็น One Stop Service เพื่อให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติในการ ซื้อบ้านในประเทศไทย และการวางแผนการลงทุนอสังหาฯ
เผยแพร่ข้อมูลกฎหมาย ข้อบังคับ และขั้นตอนการลงทุนในภาษาต่างๆ อย่างครบถ้วน เพื่อลดความคลุมเครือและความเสี่ยงให้กับนักลงทุน

อนาคตที่ยั่งยืน: อสังหาริมทรัพย์กับการพัฒนาประเทศระยะยาว (2025-2035)

การให้ ศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว สิ่งนี้ต้องมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการดำเนินงานที่รอบคอบ:

การสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์:
เป้าหมายของเราไม่ใช่เพียงการขายอสังหาริมทรัพย์ แต่คือการสร้างเมืองที่น่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนที่หลากหลาย การลงทุนใน ที่ดินชลบุรี สำหรับการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ หรือ บ้านระยอง สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้

บทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรม:
การนำเทคโนโลยี PropTech มาใช้ในการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ การพัฒนา Smart Cities และการส่งเสริม Green Buildings จะช่วยเพิ่มมูลค่าและสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอสังหาฯ ของไทย

การส่งเสริมอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและ Medical Hub:
การเชื่อมโยงภาคอสังหาริมทรัพย์เข้ากับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับโลก จะสร้าง Synergies ที่ทรงพลัง ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ป่วย และผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตระยะยาวในประเทศไทย

การวางแผนอย่างรอบคอบและการสื่อสารที่ชัดเจน:
สิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาถึงประโยชน์และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจและยอมรับจากทุกภาคส่วนในสังคม

บทสรุปและก้าวต่อไปของประเทศไทย

วิกฤตเศรษฐกิจที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันเป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังว่าเราไม่สามารถยึดติดกับแนวทางเดิมๆ ได้อีกต่อไป การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่กำลังอ่อนแรงลงอย่างต่อเนื่องนั้นไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยภาคบริการที่มีมูลค่าสูง และการปลดล็อก ศักยภาพอสังหาริมทรัพย์ไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยการดึงดูดกำลังซื้อและการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นโอกาสสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีเสน่ห์ดึงดูดที่สามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ หากเรากล้าที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ออกแบบนโยบายที่ชาญฉลาดและโปร่งใส และร่วมมือกันทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เราจะสามารถเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความยั่งยืนให้กับ เศรษฐกิจไทย ได้อย่างแท้จริง

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าตัดสินใจและก้าวข้ามกรอบเดิมๆ เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย อนาคตที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืน. หากคุณคือหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน หรือต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในครั้งนี้ อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการลงทุนอสังหาฯ ที่เหมาะสมและได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสูงสุด.

Previous Post

D1912133 เพราะเง นคำเด ยว! แฟนพ คนน ไม ได อย างท part2

Next Post

D1912135 CEO ลองใจพน กงาน จะม ใครช วยได าง! part2

Next Post
D1912135 CEO ลองใจพน กงาน จะม ใครช วยได าง! part2

D1912135 CEO ลองใจพน กงาน จะม ใครช วยได าง! part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D1912182 แม เป นคนกวาดถนน กกล บร งเก ยจ part2
  • D1912181 อค าใส ทขายข าว สงส ยอยากจะเป นประธานบร ท! part2
  • D1912180 ปากด ใจห วง อยากให กได part2
  • D1912179 สะใภ มตำ เด ยวแม หาภรรยาให ใหม part2
  • D1912178 เป นคนไทยแต ดภาษาต างชาต แม านฉ นก ดได part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.