พลิกวิกฤตสู่โอกาส: ปลดล็อกศักยภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมมองเห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่ยิ่งใหญ่กำลังรอคอยประเทศไทยอยู่ ณ จุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจที่สำคัญนี้ คำถามที่หลายคนตั้งคือ “เศรษฐกิจไทยถึงทางตันแล้วจริงหรือ? และโอกาสรอดของเราอยู่ตรงไหน?” บทความนี้จะเจาะลึกสถานการณ์ปัจจุบัน วิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจที่เราเคยพึ่งพิง และนำเสนอแนวทางที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยสามารถเป็นหัวหอกสำคัญในการฟื้นฟูและขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเป็นกลไกสำคัญ
เศรษฐกิจไทยในห้วงวิกฤต: ศึกหนักรอบด้านที่ต้องเผชิญ
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ณ ปี 2568 และแนวโน้มในปี 2569 ยังคงเต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างมหาอำนาจ นำไปสู่การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยซึ่งเคยเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค กำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากปัจจัยภายนอกเหล่านี้ ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหาเศรษฐกิจภายในของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างจีน ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย สินค้าจำนวนมากที่เคยส่งไปจีน อาจถูกส่งมายังตลาดใกล้เคียง ทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำ ซึ่งซ้ำเติมสถานการณ์การส่งออกของไทยให้ยากลำบากยิ่งขึ้น
ดร. บัณฑิต นิจถาวร อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยกล่าวเตือนถึงความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งเป็นคำเตือนที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ผมเห็นด้วยว่าภาพรวมการลงทุนในตลาดทุนที่ซบเซา ไร้สัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของเศรษฐกิจไทย
ในอดีต ประเทศไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะการลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นตัวขับเคลื่อน GDP มาอย่างยาวนาน แต่ด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้เราต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามในการดึงดูดการลงทุนด้าน EV แต่ปัญหาสำคัญคือผู้ประกอบการไทยยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนป้อนอุตสาหกรรม EV ได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากขาดแคลนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย ทำให้เรายังคงเป็นเพียงฐานการประกอบมากกว่าจะเป็นผู้สร้างมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ เมื่อ 10 ปีก่อน หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันกลับพุ่งทะยานไปแตะระดับที่น่าเป็นห่วงถึง 126% ของ GDP เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งหมายถึงการที่เรานำเงินในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันอย่างมหาศาล หากไม่เร่งแก้ไข ปัญหาหนี้ครัวเรือนจะกัดกินกำลังซื้อและขีดความสามารถในการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะและผลิตภาพสูง ซึ่งจะกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นบาดแผลเรื้อรังที่บั่นทอนศักยภาพการพัฒนาประเทศในภาพรวม
แม้รัฐบาลจะพยายามพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่การกลับไปสู่ระดับก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป พฤติกรรมการเดินทางที่เปลี่ยนไป การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน และความท้าทายในการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง ล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง
ถึงเวลาปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ: บทเรียนจากนานาชาติและการปรับตัวของประเทศไทย
ด้วยสถานการณ์ที่รุมเร้ารอบด้านนี้ การพึ่งพาโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ที่เน้นการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักมากเกินไป จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ยั่งยืนอีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าที่จะทบทวนและปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผมเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนนี้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเร่งด่วนเพื่ออนาคตของชาติ
เราสามารถเรียนรู้จากหลายประเทศที่เคยเผชิญความท้าทายคล้ายกันและประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ:
สิงคโปร์: จากที่เคยเป็นฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรม สิงคโปร์ได้พลิกโฉมมาสู่ภาคบริการระดับสูง คิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP โดยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี ดิจิทัลอีโคโนมี และการศึกษาชั้นนำของโลก ทำให้เกิดการสร้างรายได้จากต่างประเทศมหาศาล
เกาหลีใต้: แม้จะยังคงแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมหนักและเทคโนโลยี แต่เกาหลีใต้ก็หันมาลงทุนอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) และภาคบริการที่เกี่ยวข้อง สร้าง Soft Power และรายได้มหาศาลจากทั่วโลก
ฮ่องกง: จากอุตสาหกรรมโรงงานทอผ้า สู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ภาคบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ดึงดูดเงินทุนและผู้คนจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากการพึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP UAE ได้ทรานส์ฟอร์มตัวเองสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ และอุตสาหกรรม MICE (การประชุม นิทรรศการ และการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล) ระดับโลก โดยมีภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดการลงทุนและผู้อยู่อาศัย
อังกฤษ: ในฐานะผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอดีต ปัจจุบันเศรษฐกิจอังกฤษขับเคลื่อนด้วยภาคบริการเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยกรุงลอนดอนเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีที่สำคัญของยุโรป
เมื่อพิจารณาโครงสร้าง GDP ของไทย พบว่าภาคบริการมีสัดส่วนประมาณ 52% แต่ยังไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เต็มศักยภาพเท่าที่ควร ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วน 39.2% และภาคเกษตรกรรม 8.4% หากเราต้องการพลิกฟื้นและสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด การเพิ่มขีดความสามารถของภาคบริการ และการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นกลไกขับเคลื่อนหลัก จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่น่าจับตา
ประเทศไทยมีจุดแข็งมากมายที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก มีโรงพยาบาลติดอันดับโลกหลายแห่ง ผู้คนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีการให้บริการที่เป็นเลิศ ค่าครองชีพที่ไม่สูงเกินไป คุณภาพชีวิตที่ดี อาหารไทยที่เป็นที่ยอมรับ สภาพอากาศที่น่าอยู่ ระบบสาธารณสุขที่ดีกว่าชาติตะวันตก และอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนอันมหาศาลที่เราสามารถนำมาต่อยอดได้
ปลดล็อกศักยภาพภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย: ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่ใช่แค่เพียงปัจจัยสี่ แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุน และสร้างความมั่งคั่งให้ประเทศ การอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทยได้สะดวกและชัดเจนยิ่งขึ้น คือก้าวสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่
หลายประเทศที่เคยประสบปัญหาเศรษฐกิจ กำลังซื้อภายในประเทศลดลง และหนี้ครัวเรือนสูง ได้เลือกใช้วิธีดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์และใช้จ่ายในประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง:
โปรตุเกส (Golden Visa 2012): อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนัก ทำให้เงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร และฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้สำเร็จ ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักและราคาบ้านฟื้นตัว
สเปน (Residency by Investment): หลังวิกฤตปี 2008 เปิดให้ต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดที่ซบเซา ส่งผลให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): อนุญาตให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold ได้อย่างเต็มที่ ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นกว่า 50% ของ GDP จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
กรีซ (Greece Golden Visa): เปิดโอกาสให้ต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อแลกกับวีซ่าพำนัก ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรป
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการพำนักระยะยาวสำหรับชาวต่างชาติ กระตุ้นตลาดบ้าน ดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น
กรณีศึกษาเหล่านี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า การใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลจริง หากเรามีนโยบายที่เหมาะสมและชัดเจน จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยได้อย่างมหาศาล
ทำไมถึงควรหนุนต่างชาติซื้อบ้านในไทย? มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
จากประสบการณ์ของผม ประเด็นเรื่องการอนุญาตให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ มักถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ และการที่ที่ดินจะตกเป็นของต่างชาติ แต่ผมขอยืนยันว่า ความกังวลเหล่านั้นไม่เป็นความจริงทั้งหมด ประเทศไทยมีที่ดินรวมประมาณ 321 ล้านไร่ มีเอกสารสิทธิ 127 ล้านไร่ (40%) หากเราอนุญาตให้ขายบ้านแก่ต่างชาติปีละ 2 แสนหลัง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก การใช้ที่ดินจะคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่เรามีอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าที่ดินของประเทศไทยจะถูกต่างชาติยึดครองจนหมดสิ้น
ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 392,858 หน่วย คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,065,008 ล้านบาท หากเราสามารถขายให้ชาวต่างชาติได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ จะสร้างมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง และส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ชาวต่างชาติจำนวนมากต้องการมาพำนักในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเพราะค่าครองชีพต่ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดี อาหารไทยที่อร่อยและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สภาพอากาศที่อบอุ่น ระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพและค่าใช้จ่ายถูกกว่าในประเทศตะวันตก และที่สำคัญคืออสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในประเทศพัฒนาแล้ว นอกจากนี้ สังคมไทยยังเป็นมิตรและเปิดกว้าง
ที่ผ่านมา เราพยายามผลักดันการดึงดูดกลุ่มผู้มีรายได้สูงพิเศษ (High Net Worth Individuals) ให้เข้ามาลงทุน แต่ในความเป็นจริง กลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยจำนวนมาก เป็นกลุ่มรายได้ปานกลางถึงสูง ที่ยังพอมีกำลังซื้อบ้านในระดับราคาที่เข้าถึงได้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ชาวต่างชาติกลุ่มนี้ต้องการมักจะอยู่ในช่วง 5-7 ล้านบาท ไม่ใช่ระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปเสมอไป การเน้นตลาดนี้จะช่วยเพิ่มฐานผู้ซื้อและกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบเชิงบวกจากการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย:
ยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น: เป็นการระบายสต็อกบ้านและคอนโดมิเนียมที่คงค้างอยู่ ลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย
อานิสงส์ต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง การตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการซ่อมบำรุง จะได้รับอานิสงส์มหาศาล สร้างห่วงโซ่มูลค่าให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ
การจ้างงานโดยตรงและทางอ้อม: ตั้งแต่แรงงานก่อสร้าง สถาปนิก วิศวกร ไปจนถึงพนักงานขาย พนักงานดูแลอสังหาริมทรัพย์ และบุคลากรในธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ช่วยลดอัตราการว่างงานและกระจายรายได้
การบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล ค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในท้องถิ่น และกระตุ้นสภาพคล่องทางการเงินในชุมชน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หากเราสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 10,000 หลัง จะสามารถกระตุ้น GDP ได้ถึง 0.75% แต่หากเราสามารถขยายไปได้ถึง 100,000 หลัง ผลกระทบต่อ GDP จะสูงถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง ปัจจุบันเราเห็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยต่างชาติทั้งแบบถูกต้องและไม่ถูกต้องในรูปแบบ Nominee ในหลายพื้นที่ เช่น ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงในตลาด การทำให้กระบวนการเหล่านี้โปร่งใสและถูกกฎหมาย จะช่วยสร้างรายได้เข้ารัฐและป้องกันการทุจริตได้
อนาคตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยและเศรษฐกิจชาติ
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาทบทวนนโยบาย และพิจารณาให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมมาสู่การพึ่งพาภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้การสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศ คือทางออกที่ชัดเจนและเป็นไปได้ การให้สิทธิการถือครองที่ดินที่ชัดเจนและยืดหยุ่นขึ้นสำหรับชาวต่างชาติ ควบคู่ไปกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติ เช่น Golden Visa หรือ Residency by Investment ประเทศไทย จะไม่เพียงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ แต่ยังนำมาซึ่งเทคโนโลยี องค์ความรู้ และการจ้างงานคุณภาพสูง
การวางแผนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน การส่งเสริมโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ และการปรับปรุงกฎหมายที่ดินสำหรับต่างชาติให้มีความชัดเจนและเป็นธรรม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาซื้อบ้านในประเทศไทย ทั้งการลงทุนคอนโดต่างชาติและที่ดินเพื่อการลงทุน
เราต้องเจาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ลึกขึ้น เข้าใจถึงความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่โปร่งใส และการให้บริการที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และปลดล็อกศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยให้เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้ ผมมองเห็นแสงสว่างในอุโมงค์ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ปัญหาที่เราเผชิญอยู่นั้นซับซ้อน แต่ทางออกก็มีอยู่ หากเรากล้าที่จะคิดนอกกรอบ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และกล้าที่จะเชื่อมั่นในศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ผมเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถสร้างอนาคตที่สดใสและมั่นคงให้กับเศรษฐกิจไทยได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลาที่เราจะต้องลงมือทำ! ผมขอเชิญชวนผู้กำหนดนโยบาย ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน และประชาชนผู้สนใจทุกท่าน มาร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ และผลักดันแนวคิดนี้ให้เป็นรูปธรรม เพื่อปลดล็อกศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยให้เป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเราให้ก้าวข้ามวิกฤต และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในยุคหน้า มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประวัติศาสตร์และกำหนดอนาคตของประเทศไทยไปด้วยกันเถิดครับ.

