อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย: โอกาสทองในการพลิกโฉมประเทศท่ามกลางความท้าทายระดับโลก
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมเห็นถึงพลวัตทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล และรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ประเทศเราอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน คำถามที่ยังคงก้องกังวานในใจนักธุรกิจ นักลงทุน และประชาชนทั่วไปคือ “เศรษฐกิจไทยกำลังเดินสู่ทางตันจริงหรือ แล้วทางรอดอยู่ตรงไหน?” บทความนี้จะเจาะลึกถึงวิกฤตการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ พร้อมนำเสนอทางออกเชิงรุกที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยสามารถเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฟื้นฟูขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้แก่ประเทศชาติ
วิกฤตเศรษฐกิจไทย 2025: ความท้าทายที่รอการปฏิรูปโครงสร้าง
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ณ ปัจจุบัน (ปี 2025) กำลังเผชิญหน้ากับความซับซ้อนและแรงกดดันจากหลายทิศทาง รายงานจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และนักวิเคราะห์เศรษฐกิจระดับโลกหลายท่าน ต่างชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยกำลังติดอยู่ใน “กับดักทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งรุนแรงกว่าในอดีตมาก เราเห็นสัญญาณความเปราะบางจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ยังคงซบเซา ไร้ซึ่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
ประการแรก เราต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยในอดีตพึ่งพิงภาคอุตสาหกรรมหนัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น โครงสร้างนี้เคยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ให้เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา แต่ในวันนี้ บริบทได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สงครามการค้า (Trade War) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างมหาอำนาจ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลก นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญและตลาดส่งออกขนาดใหญ่ของเรา ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายภายในประเทศหลายด้าน เมื่อสินค้าที่เคยส่งไปจีนถูกกีดกัน ทำให้ต้องเร่งระบายสู่ตลาดใกล้เคียง รวมถึงประเทศไทย ซึ่งสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ประการที่สอง ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จากข้อมูลในอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันตัวเลขนี้ได้ทะยานขึ้นสู่ระดับ 126% ของ GDP เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ว่าประชาชนจำนวนมากนำเงินในอนาคตมาใช้จ่าย ก่อให้เกิดภาวะหนี้สินที่ทับถม ซึ่งจำกัดกำลังซื้อภายในประเทศอย่างรุนแรง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงไม่ใช่การเติบโตอย่างแท้จริง แต่เป็นผลจากการก่อหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ ปัญหาโครงสร้างประชากรสูงวัยก็เป็นอีกหนึ่งระเบิดเวลาที่กำลังคุกคามศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย การที่สัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้กำลังแรงงานลดลง และส่งผลกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมของประเทศในอนาคตอันใกล้ เราจะเห็นความท้าทายในการหาแรงงานมีฝีมือ และค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนเป็นภาระต่อเศรษฐกิจและงบประมาณภาครัฐ อีกทั้งปัญหาสังคมเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโอกาสก็ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข
แม้ว่าประเทศไทยจะพยายามปรับตัว โดยการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ก็ยังเผชิญข้อจำกัด เนื่องจากผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนสำคัญป้อนอุตสาหกรรม EV ได้เอง เพราะขาดเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เพียงพอ ทำให้เรายังคงพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศอยู่มาก การส่งออกสินค้าอื่น ๆ ที่ไทยเคยเป็นแชมเปี้ยนในอดีตก็เริ่มถดถอยลง และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มความผันผวนและไม่แน่นอนให้กับเส้นทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นกระแสคลื่นลูกใหญ่ที่ซัดถาโถมเข้าใส่เศรษฐกิจไทยพร้อมกัน
ขณะเดียวกัน รายได้จากการท่องเที่ยวซึ่งเคยเป็นความหวังสำคัญของรัฐบาล ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลัก ก็ยังคงมีจำนวนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โอกาสที่จะเห็นนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเท่าเดิมเหมือนยุคก่อนแทบจะเป็นไปไม่ได้ในระยะสั้น ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจภายในของจีนเอง และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค
จากสถานการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่า การพึ่งพิงโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป หากเราต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งและยั่งยืน จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างครั้งใหญ่ และมองหาแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศ
ก้าวข้ามกับดัก: บทเรียนจากนานาชาติในการพลิกโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศทั่วโลกได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การปรับเปลี่ยนอย่างกล้าหาญและชาญฉลาด สามารถนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ เราไม่สามารถย่ำอยู่กับที่ได้อีกต่อไป หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยก้าวข้ามกับดักนี้
ลองมองไปยังประเทศที่ประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมเศรษฐกิจ:
สิงคโปร์: จากประเทศที่เคยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนัก ได้เปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางบริการระดับโลก โดยภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP สร้างรายได้มหาศาลจากการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การธนาคาร เทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการศึกษา ความสำเร็จของสิงคโปร์แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการมุ่งเน้นบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
เกาหลีใต้: จากที่เคยเน้นอุตสาหกรรมหนัก ก็ได้ปรับเปลี่ยนมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์) และภาคบริการ ซึ่งกลายเป็น Soft Power ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ แม้ภาคบริการจะมีสัดส่วนประมาณ 10% ของ GDP แต่ก็เป็นส่วนที่เติบโตเร็วและมีอิทธิพลอย่างมาก
ฮ่องกง: จากฐานอุตสาหกรรมโรงงานทอผ้า ได้พลิกโฉมสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ซึ่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากประเทศที่เคยพึ่งพารายได้จากการขุดเจาะน้ำมันเป็นหลัก (ปัจจุบันเหลือน้อยกว่า 30% ของ GDP) ได้เปลี่ยนทิศทางไปสู่การท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ การค้า และการส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม สัมมนา และนิทรรศการ) โดยมีภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นกลไกสำคัญในการรองรับการเติบโตนี้ ดูไบและอาบูดาบีได้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวระดับโลกอย่างแท้จริง
สหราชอาณาจักร: จากผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้เปลี่ยนผ่านสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยเฉพาะกรุงลอนดอนที่กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เทคโนโลยี และการศึกษาของยุโรป
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมหนึ่งไปอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่เป็นการยกระดับมูลค่าเพิ่ม การสร้างจุดแข็งใหม่ และการดึงดูดทรัพยากรจากภายนอกเข้ามาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจภายในประเทศ
ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย: เสาหลักใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ในมุมมองของผม ประเทศไทยมี “ขุมทรัพย์” ที่พร้อมสำหรับการปรับโครงสร้างนี้ นั่นคือภาคบริการ และที่สำคัญคือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นและเสน่ห์ที่ดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมาก ทำให้ อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจุบัน โครงสร้าง GDP ของไทยแบ่งเป็น: การบริโภคภาคเอกชน 57.7%, การลงทุนภาคเอกชน 17.3%, การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2%, การส่งออกสินค้าและบริการ 65.4% และการนำเข้าสินค้าและบริการ 63.7% ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจด้านการผลิตนั้น ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วน 8.4%, ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% คำถามที่ต้องถามตัวเองคือ รายได้สุทธิจากการส่งออกที่แท้จริง ประเทศไทยได้รับเท่าไรกันแน่? และจะดีกว่าไหมถ้าเรามีสัดส่วนรายได้จากภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลและลดความผันผวนจากการส่งออก
ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบมากมายที่คนต่างชาติชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น:
กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก
ระบบสาธารณสุข ที่มีคุณภาพและค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล โดยมีโรงพยาบาลหลายแห่งติดอันดับโลก ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ดึงดูด Medical Tourists และผู้เกษียณอายุ
คุณภาพชีวิต ค่าครองชีพต่ำเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก
อาหารไทย ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก
สภาพอากาศ ที่อบอุ่นและเป็นมิตร
สังคมไทย ที่มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ
อสังหาริมทรัพย์ ที่มีราคาเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในต่างประเทศ
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล อินเทอร์เน็ตคุณภาพดี ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่และกลุ่ม Digital Nomads
หากเราสามารถปรับโครงสร้างจาก “ภาคอุตสาหกรรม-ภาคบริการ” ไปสู่ “ภาคบริการ-ภาคอสังหาริมทรัพย์” โดยมุ่งเน้นการดึงกำลังซื้อจากต่างประเทศ นี่คือโอกาสทองของเรา
กลยุทธ์ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ: ถอดรหัสความสำเร็จจากโมเดลระดับโลก
จากประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การลดกำลังซื้อภายในประเทศและหนี้ครัวเรือนสูง คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเราต้องมองหาแหล่งรายได้ใหม่จากภายนอก ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกได้ใช้นโยบายดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์และใช้จ่ายในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาได้อย่างน่าทึ่ง นี่คือตัวอย่างที่ประเทศไทยสามารถเรียนรู้และปรับใช้ได้:
โปรตุเกส (Portugal Golden Visa): ในปี 2012 โปรตุเกสได้ริเริ่มโครงการ Golden Visa อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป ได้รับสิทธิพำนักในประเทศ โครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ดึงดูดเงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต และกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ราคาบ้านฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นี่คือ นโยบายกระตุ้นอสังหาฯ ที่ได้ผลจริง
สเปน (Residency by Investment): หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 สเปนได้เปิดโครงการ Residency by Investment ให้ชาวต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา โครงการนี้ช่วยให้ GDP ของสเปนฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางจำนวนมาก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): UAE ได้ออกกฎหมาย Freehold Property ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold (กรรมสิทธิ์สมบูรณ์) ได้อย่างอิสระ นโยบายนี้ดึงดูดนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยชาวต่างชาติเข้ามามหาศาล จนภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP ทำให้ UAE กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการลงทุนระดับโลกอย่างแท้จริง
กรีซ (Greece Golden Visa): เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรป กรีซได้เปิดโครงการ Golden Visa โดยกำหนดให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อแลกกับวีซ่าพำนัก โครงการนี้ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรีซเติบโตถึง 60% ภายใน 10 ปี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ ที่นำมาซึ่งการฟื้นตัว
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): มาเลเซียประสบความสำเร็จในการดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาพำนักระยะยาวผ่านโครงการ MM2H ซึ่งกระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดทั้งผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการสร้างตลาดสำหรับผู้ที่ต้องการ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และเพื่อการอยู่อาศัยระยะยาว
จากกรณีศึกษาเหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่าการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ไม่ได้เป็นเพียงการขายบ้าน แต่เป็นการสร้างกลไกที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ซึ่งประเทศไทยควรนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง
ประโยชน์รอบด้านจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในประเทศไทย
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพิจารณาเรื่องการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและเป็นระบบมากขึ้น หลายคนอาจกังวลว่าที่ดินจะถูกต่างชาติยึดครอง แต่ความเป็นจริงคือ ประเทศไทยมีที่ดินรวม 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิ์ 127 ล้านไร่ (40%) หากสมมติว่าใน 1 ปี เราสามารถขายบ้านให้กับชาวต่างชาติได้ 200,000 หลัง ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก พื้นที่ที่ใช้ไปจะคิดเป็นไม่ถึง 0.2% ของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ทั้งหมดของไทย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากและไม่น่าจะสร้างความกังวลในระยะยาว
ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 392,858 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 1,065,008 ล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดชาวต่างชาติให้ซื้อบ้านได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนดังกล่าว ก็จะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 2.5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่จะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย นี่คือ โอกาสลงทุนอสังหาฯ ที่เราไม่ควรมองข้าม
การผลักดันโครงการนี้จะส่งผลกระทบเชิงบวกหลายด้าน:
กระตุ้นยอดขายอสังหาริมทรัพย์: เพิ่มอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น อสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต คอนโดพัทยา บ้านจัดสรรชลบุรี หรือใจกลางกรุงเทพฯ
อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องได้รับอานิสงส์: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจออกแบบตกแต่งภายใน ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และบริการบำรุงรักษา ต่างจะได้รับผลประโยชน์จากการก่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัย นี่คือการสร้าง พอร์ตก่อสร้างอสังหาฯ ที่จะขยายตัว
การจ้างงานโดยตรงและทางอ้อม: เกิดการจ้างงานจำนวนมากในภาคก่อสร้าง ภาคบริการ ภาคการเงิน และภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
การบริโภคและการใช้จ่ายในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการต่าง ๆ ซึ่งจะหมุนเวียนและสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจท้องถิ่นขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs)
เพิ่ม GDP อย่างมีนัยสำคัญ: ตัวอย่างเช่น หากสามารถขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้ 10,000 หลัง จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ประมาณ 0.75% แต่หากทำได้ 100,000 หลัง GDP จะเพิ่มขึ้นถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยได้จริง
เพิ่มรายได้ภาษี: ทั้งภาษีการโอน ภาษีโรงเรือน ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่าย ซึ่งจะนำมาพัฒนาประเทศต่อไป
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ให้ชาวต่างชาติ ทั้งในรูปแบบที่ถูกต้องและในลักษณะ “Nominee” ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ตและพัทยา ซึ่งหน่วยงานภาครัฐกำลังเร่งดำเนินการแก้ไข แต่สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของชาวต่างชาติในการเข้ามาพำนักในประเทศไทย ซึ่งหากเรามีนโยบายที่ชัดเจนและถูกต้องตามกฎหมาย จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินเหล่านี้เข้าสู่ระบบอย่างโปร่งใสและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
โดยกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาพำนักในประเทศไทย คือกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในระดับราคาบ้านที่ไม่สูงมากนัก โดยส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วงราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่เข้าถึงได้และเหมาะสมกับตลาดบ้านพักตากอากาศและที่อยู่อาศัยระยะยาว
อนาคตของอสังหาริมทรัพย์ไทย: ก้าวสู่ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและการลงทุนระดับโลก
จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในวงการ ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทบทวนแนวคิดเดิมๆ และพิจารณาให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต เราต้องเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายอย่างหนัก มาสู่การสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์
การผลักดันให้ อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่เพียงแค่การส่งเสริมการขาย แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนระยะยาว การสร้างความเชื่อมั่น และการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการอยู่อาศัยและการลงทุนระดับโลก การวางแผนการลงทุนอสังหาฯ ที่ชาญฉลาด ควบคู่ไปกับนโยบายที่โปร่งใสและดึงดูด จะนำมาซึ่ง ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์ ที่ยั่งยืนสำหรับนักลงทุนและประเทศชาติ
ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยไม่มีทางเลือกมากนัก นี่คือหนึ่งในทางออกที่จับต้องได้และมีศักยภาพสูงสุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยอาศัยจุดแข็งและเสน่ห์ที่เรามีอยู่แล้ว
ผมขอเชิญชวนให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และประชาชนทั่วไป มาร่วมกันพิจารณาและผลักดันวิสัยทัศน์นี้อย่างจริงจัง เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับคนรุ่นหลัง หากท่านต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การเงินอสังหาริมทรัพย์ หรือบทบาทของ ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ในการพัฒนาโครงการเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างชาติ โปรดติดต่อเราเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและร่วมสร้างอนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน

