• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912115 งมาม ดใต โต เด กคนน พยายามจะบอกอะไรก นแน part2

admin79 by admin79
December 20, 2025
in Uncategorized
0
D1912115 งมาม ดใต โต เด กคนน พยายามจะบอกอะไรก นแน part2

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยปี 2025: ภาคอสังหาริมทรัพย์คือหัวใจสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมายาวนานกว่าทศวรรษ ผมเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และสัมผัสได้ถึงความท้าทายที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ ณ จุดเปลี่ยนที่สำคัญนี้ คำถามที่วนเวียนในใจนักธุรกิจและประชาชนทั่วไปคือ “เศรษฐกิจไทยจะก้าวต่อไปอย่างไรในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวน?” ในขณะที่เสียงสะท้อนจากหลากหลายภาคส่วนกำลังมองหาทางออก ผมเชื่อมั่นว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างมหาศาล และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพิจารณาบทบาทของภาคส่วนนี้อย่างจริงจังในฐานะกลไกหลักในการฟื้นฟูและสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและไทยในปัจจุบัน ไม่ได้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจแบบเดิมอีกต่อไป นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา เราได้เผชิญกับคลื่นพายุหลายลูก ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่สั่นคลอนรากฐาน การปะทุของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยากจะคาดเดา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานและการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เคยเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อน GDP ของประเทศมาอย่างยาวนาน เมื่อจีนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญและศูนย์กลางการผลิตของโลก เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและผลกระทบจาก Trade War สินค้าจำนวนมากที่เคยส่งออกไปยังตลาดโลกจึงหันมายังตลาดใกล้เคียง รวมถึงประเทศไทย ทำให้เกิดแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโต หนึ่งในประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัญญาณเตือนจาก IMF ที่ชี้ว่าประเทศไทยกำลังติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ไม่ใช่เรื่องเกินจริง จากสถิติที่แสดงให้เห็นว่าหนี้ครัวเรือนไทยได้พุ่งจากราว 40% ของ GDP เมื่อสิบปีก่อนหน้า ขึ้นมาแตะระดับเกิน 90% ในปัจจุบัน (ในบทความต้นฉบับระบุว่า 126% ของ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบเชิงมูลค่าที่คลาดเคลื่อน ควรใช้ 90% ของ GDP โดยรวม) ซึ่งบ่งชี้ว่าเรากำลังนำเงินในอนาคตมาใช้ในปัจจุบันอย่างหนัก หากไม่มีการแก้ไข โอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาวก็จะยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก ภาระหนี้เหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ลดศักยภาพการบริโภคและบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ

อีกหนึ่งความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าคือปัญหาโครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายถึงการลดลงของจำนวนแรงงานในอนาคต แรงงานที่มีศักยภาพในการผลิตและสร้างนวัตกรรมจะลดน้อยลง ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การขาดแคลนแรงงานมีฝีมือและเทคโนโลยีที่ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ยังคงเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่แม้จะมีการลงทุน แต่ผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนหลักเพื่อป้อนตลาดได้ เนื่องจากเทคโนโลยีและองค์ความรู้ยังไม่ถึงขั้น

แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามผลักดันการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องจักรหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่การพึ่งพาภาคส่วนเดียวมากเกินไปก็มีความเสี่ยง ดังที่เราเห็นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปเกือบทั้งหมด แม้ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาบ้าง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมโดยเฉพาะจากจีน ซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลัก ก็ยังไม่กลับคืนสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤต โอกาสที่จะเห็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนในรูปแบบเดิมก่อนปี 2562 นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทางและนโยบายภายในประเทศของจีนเอง

เมื่อมองย้อนกลับไปถึงโครงสร้าง GDP ของไทย เราจะเห็นว่าการพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการยังคงอยู่ในสัดส่วนที่สูง การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ ล้วนมีบทบาทสำคัญ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว หากพิจารณาโครงสร้างเศรษฐกิจด้านการผลิต ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมยังคงมีสัดส่วนที่ชัดเจน แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเพิ่มน้ำหนักให้กับภาคบริการและภาคที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างนี้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเร่งด่วน

บทเรียนจากนานาชาติ: การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสู่ยุคใหม่

ในฐานะที่ผมได้มีโอกาสศึกษาและสัมผัสตลาดต่างประเทศ ผมเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนของหลายประเทศที่สามารถพลิกโฉมเศรษฐกิจของตนเองได้ด้วยการปรับโครงสร้างและกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ประเทศเหล่านี้ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ แต่หันมาพึ่งพาภาคส่วนใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มสูง:

สิงคโปร์: จากการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม สิงคโปร์ได้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นศูนย์กลางบริการระดับโลก โดยภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP เน้นอุตสาหกรรมการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการศึกษา ดึงดูดเงินทุนและบุคลากรจากทั่วโลก
เกาหลีใต้: เดิมเน้นอุตสาหกรรมหนัก แต่ก็ปรับเปลี่ยนมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์เกาหลี) และภาคบริการอื่น ๆ ที่มีสัดส่วนกว่า 10% ของ GDP แต่สร้างมูลค่ามหาศาลและขับเคลื่อน Soft Power
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตสิ่งทอ เปลี่ยนสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก โดยเน้นการดึงดูดการลงทุนและเป็นประตูสู่ตลาดจีน
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากประเทศที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก ปัจจุบันรายได้จากน้ำมันเหลือน้อยกว่า 30% ของ GDP โดยหันมาเน้นการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ และส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม อินเซนทีฟ การจัดนิทรรศการ และการแสดงสินค้า) จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
อังกฤษ: ในอดีตเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยเฉพาะลอนดอนที่กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป

บทเรียนเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่คือการหา “เครื่องจักรขับเคลื่อน” ตัวใหม่ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้จากภายนอกประเทศได้อย่างยั่งยืน ซึ่งผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่มากมาย และ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างเป็นรูปธรรมหากเรากล้าที่จะปลดล็อกศักยภาพเหล่านั้น

ประเทศไทย: จุดหมายปลายทางแห่งการลงทุนและอยู่อาศัยที่ยังไม่ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่

ประเทศไทยมีเสน่ห์ที่ดึงดูดชาวต่างชาติทั่วโลก ทั้งในด้านวัฒนธรรมอันงดงาม อาหารไทยรสเลิศที่ได้รับการยอมรับระดับโลก สภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดปี ค่าครองชีพที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก ระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพและค่าใช้จ่ายเข้าถึงได้ สังคมไทยที่เป็นมิตร และโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพสูง สิ่งเหล่านี้ทำให้กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกัน และมีโรงพยาบาลหลายแห่งที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก

ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ ผมเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนจากภาคอุตสาหกรรมและการพึ่งพาการส่งออก ไปสู่การเป็นศูนย์กลางภาคบริการและ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัยของชาวต่างชาติได้ ซึ่งจะกลายเป็นกลไกใหม่ที่สำคัญยิ่งในการผลักดันเศรษฐกิจไทย โอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์สำหรับชาวต่างชาติยังคงมีอีกมาก หากมีนโยบายที่ชัดเจนและเอื้อต่อการลงทุน

ปลดล็อกศักยภาพ: ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยการลงทุนจากต่างชาติ

แนวคิดสำคัญที่ผมอยากนำเสนอคือ การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยได้ในวงกว้างขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นแนวทางที่หลายประเทศที่ประสบปัญหากำลังซื้อภายในประเทศลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต ได้นำมาใช้และประสบความสำเร็จอย่างสูง:

โปรตุเกส (Golden Visa 2012): อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิในการพำนัก ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้อย่างรวดเร็ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักและราคาบ้านฟื้นตัว
สเปน (Residency by Investment 2008): คล้ายกับโปรตุเกส เปิดให้นักลงทุนต่างชาติลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา GDP ของประเทศฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี ดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
กรีซ (Greece Golden Visa): ให้สิทธิวีซ่าพำนักแก่ชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโต 60% ภายใน 10 ปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีนัยสำคัญ
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการที่เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น ซึ่งสนใจการใช้ชีวิตในมาเลเซีย

โครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทำเงิน ไม่ใช่แค่สำหรับนักลงทุน แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

สำหรับประเทศไทย เรามีที่ดินกว่า 321 ล้านไร่ มีเอกสารสิทธิประมาณ 127 ล้านไร่ (40%) การที่ชาวต่างชาติจะถือครองที่ดินเพื่ออยู่อาศัยเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่ดินทั้งหมดที่เรามีนั้น ไม่ได้น่ากังวลว่าที่ดินจะถูกยึดครองหมด ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเกือบ 4 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อได้เพียง 1 ใน 4 ของมูลค่าดังกล่าว นั่นหมายถึงเงินทุนไหลเข้าประเทศมหาศาล และหากสมมติฐานว่าเราสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 100,000 หลังต่อปี ก็จะคิดเป็นพื้นที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของไทย ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากและบริหารจัดการได้

ชาวต่างชาติกลุ่มที่สนใจเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย มักเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงที่มองหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยงบประมาณการซื้อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม ไม่ได้สูงเกินไปนัก ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่เข้าถึงได้และสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในทุกระดับ ไม่ใช่เพียงแค่ตลาดอสังหาริมทรัพย์พรีเมียมเท่านั้น

ประโยชน์ของการเปิดเสรีภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อเศรษฐกิจไทย

การผลักดันนโยบายที่เอื้อต่อการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติจะนำมาซึ่งประโยชน์หลากหลายมิติ:

การกระตุ้นยอดขายอสังหาริมทรัพย์: ช่วยระบายสต็อกอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ และกระตุ้นการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น
อานิสงส์ต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ และบริการที่เกี่ยวข้องจะได้รับอานิสงส์โดยตรง เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ
การสร้างงาน: เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาคการก่อสร้าง ภาคบริการ ภาคการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน
การบริโภคภายในประเทศ: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัย พวกเขาจะมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตรหลาน และบริการอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น
การดึงดูดเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): นโยบายที่ชัดเจนและเป็นมิตรต่อนักลงทุนต่างชาติจะช่วยดึงดูดเงินทุนระยะยาวเข้าสู่ประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
เพิ่มความหลากหลายของแหล่งรายได้: ลดการพึ่งพาภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งมากเกินไป สร้างสมดุลให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

ตัวอย่างเชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นว่า การขายบ้านให้ชาวต่างชาติ 10,000 หลัง สามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.75% แต่หากเราตั้งเป้าที่ 100,000 หลัง นั่นหมายถึง GDP จะเพิ่มขึ้นถึง 7% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ไม่เคยมีมาก่อนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นอกจากนี้ การมีนโยบายที่ชัดเจนยังจะช่วยลดปัญหาการถือครองอสังหาริมทรัพย์โดยชาวต่างชาติในลักษณะ “นอมินี” ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายในปัจจุบัน โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างจังหวัดภูเก็ตและพัทยา

อนาคตของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย: มากกว่าแค่การซื้อขาย แต่คือการบริหารความมั่งคั่งและไลฟ์สไตล์

ในยุคปี 2025 เป็นต้นไป การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเก็งกำไรอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัย การสร้างกระแสเงินสด และการบริหารความมั่งคั่ง ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะต้องปรับตัว สร้างสรรค์โครงการที่ตอบรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นวิลล่าหรูในภูเก็ต คอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน หรือบ้านพักตากอากาศพัทยาที่มอบความเป็นส่วนตัว

เรายังสามารถผสานนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ากับภาคอสังหาริมทรัพย์ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยี Smart Home มาใช้ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน (Sustainable Real Estate) เพื่อตอบรับกระแส ESG (Environmental, Social, and Governance) ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ รวมถึงการพิจารณาถึงโอกาสในการเชื่อมโยงอสังหาริมทรัพย์กับสินทรัพย์ดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการซื้อขายในอนาคต

ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองการณ์ไกลและกล้าที่จะทบทวนนโยบาย เพื่อให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ใช่แค่การมองหาทางออกระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับประเทศไทยในทศวรรษหน้า หากเรายังคงยึดติดกับโครงสร้างเดิม ๆ โอกาสในการหลุดพ้นจากกับดักเศรษฐกิจก็จะยิ่งเลือนลาง

นี่คือโอกาสทองที่ประเทศไทยจะได้ตอกย้ำจุดยืนในฐานะจุดหมายปลายทางที่น่าลงทุนและน่าอยู่อาศัยระดับโลก และนำพาเศรษฐกิจของเราก้าวข้ามความท้าทายไปสู่อนาคตที่สดใส

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้ที่สนใจอนาคตเศรษฐกิจไทย ผมขอเชิญชวนให้ศึกษาแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้ง และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยสามารถใช้ศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของทุกคนในประเทศ ติดต่อเราเพื่อปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทย เพื่ออนาคตที่มั่นคงและเติบโตไปด้วยกันครับ

Previous Post

D1912114 งานแต งระด บผ ดการ กล าเอาข าวเหน ยวมาก นได ไง part2

Next Post

D1912116 าวต มทรงเคร อง คำว ารวยของคนม นไม เท าก part2

Next Post
D1912116 าวต มทรงเคร อง คำว ารวยของคนม นไม เท าก part2

D1912116 าวต มทรงเคร อง คำว ารวยของคนม นไม เท าก part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D1912125 กค าต วด องเปล ยนส ผมซะให เข part2
  • D1912124 ดกะเพราเส นข นเทพ รสชาต หร อม ของสมนาค part2
  • D1912123 คนเก บของเก าคนน แหละ จะทำให เราได งาน าน part2
  • D1912122 นหร อย แพง คนเป นเพ อนเขาทำก นแบบน เหรอ part2
  • D1912121 บะหม บาท กำไรแทบจะไม แต กล าด มาซ อโรงแรมหร part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.