ปลดล็อกศักยภาพ: ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ทศวรรษแห่งความรุ่งเรือง (2025 และอนาคต)
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับจุลภาคและมหภาคอย่างใกล้ชิด วันนี้ ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญที่ต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ การเผชิญหน้ากับความท้าทายระดับโลกที่ซับซ้อน ทั้งสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง การชะลอตัวของยักษ์ใหญ่อย่างจีน หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง และโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ล้วนเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้ “เศรษฐกิจไทย” ดูเหมือนถึงทางตัน
คำถามที่ดังอยู่ในทุกภาคส่วนคือ “โอกาสรอดของเศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน?” จากประสบการณ์ตรงและการวิเคราะห์เชิงลึก ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองหานวัตกรรมทางเศรษฐกิจและกล้าที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างการเติบโตเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหันมาให้ความสำคัญกับ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อย่างจริงจังและเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ในฐานะตัวแปรเสริม แต่เป็นแกนหลักของการสร้างมูลค่าและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ นี่คือวิสัยทัศน์ที่ผมอยากนำเสนอเพื่ออนาคตของชาติ
เผชิญหน้ากับพายุเศรษฐกิจ: ภาพรวมความท้าทายของประเทศไทยปี 2025
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและไทยในปัจจุบันเต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน บทเรียนจากอดีตชี้ให้เห็นว่าการพึ่งพิงรูปแบบเดิมๆ โดยไม่ปรับตัวอาจนำไปสู่ภาวะ “ทศวรรษที่สาบสูญ” ซ้ำรอยอีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่จริงจังจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ ดร.บัณฑิต นิจถาวร อดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ย้ำถึงความเปราะบางนี้
สงครามการค้าและการปรับห่วงโซ่อุปทานโลก:
สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความปั่นป่วน ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกถูกบีบให้ต้องปรับเปลี่ยน ผู้ผลิตมองหาฐานการผลิตใหม่ๆ ที่มั่นคงและลดความเสี่ยง แต่ไทยกลับต้องเผชิญกับผลกระทบจากการที่สินค้าจากจีนถูกกีดกัน ทำให้ต้องระบายสินค้ามายังประเทศใกล้เคียงมากขึ้น สร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ
วิกฤตหนี้ครัวเรือนและความสามารถในการจับจ่าย:
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมิได้เกิดจากการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพที่แท้จริง แต่กลับมาจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 40% ของ GDP เมื่อทศวรรษที่แล้ว พุ่งทะลุ 90% (หรือตามตัวเลขที่ถูกพูดถึงคือ 126% หากเทียบกับมูลค่า GDP 10 ปีก่อนหน้า) สภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่วเปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่ตรึงกำลังซื้อภายในประเทศ ทำให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจึงอาจเป็นเพียงการโยกหนี้จากวันนี้ไปสู่อนาคต สร้างความเปราะบางในระยะยาว
โครงสร้างประชากรและปัญหาแรงงาน:
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว ปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีฝีมือและแรงงานหนุ่มสาวกำลังเป็นเงาตามหลอกหลอนในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลิตภาพโดยรวมของประเทศ และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมาก ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บั่นทอนศักยภาพในการเติบโต
การพึ่งพิงอุตสาหกรรมเก่าและการส่งออก:
อดีตที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงอุตสาหกรรมยานยนต์และการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนจากญี่ปุ่น แต่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งไทยยังขาดเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างครบวงจร ทำให้เราอาจสูญเสียความได้เปรียบเดิมไป นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าประเภทอื่นก็เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในอดีตไปมาก
ความไม่แน่นอนของการท่องเที่ยว:
แม้การท่องเที่ยวจะเป็นความหวังหลักในการสร้างรายได้ แต่การกลับมาของนักท่องเที่ยวหลังโควิด-19 ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากจีนที่มีแนวโน้มลดลงจากปัจจัยหลายด้าน รวมถึงพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวไม่กลับไปสู่ระดับสูงสุดในยุคก่อนโควิด-19 ได้อย่างที่หลายคนคาดหวัง
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า การรักษาโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป เราจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ เป็นการผ่าตัดโครงสร้างที่กล้าหาญและมองไปข้างหน้า
บทเรียนจากนานาชาติ: การปรับโครงสร้างเพื่อความอยู่รอดและก้าวหน้า
หลายประเทศที่เคยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหรือภาวะติดหล่ม ได้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการ “พลิกโฉม” โครงสร้างทางเศรษฐกิจ จากประสบการณ์ของผม การศึกษาจากกรณีศึกษาเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการกำหนดทิศทางของไทย:
สิงคโปร์: จากเมืองท่าอุตสาหกรรม สู่ศูนย์กลางบริการระดับโลก โดยภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP เน้นการดึงดูด การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และ AI รวมถึงการศึกษา เป็นการสร้างรายได้จากภายนอกประเทศมหาศาล
เกาหลีใต้: จากอุตสาหกรรมหนัก สู่เทคโนโลยีและวัฒนธรรมสมัยนิยม ภาคบริการมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 10% ของ GDP โดยเฉพาะอุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์) และเทคโนโลยีระดับสูง กลายเป็น Soft Power ที่ทรงพลัง
ฮ่องกง: จากโรงงานทอผ้า สู่ศูนย์กลางการเงินและอสังหาริมทรัพย์ระดับภูมิภาค ด้วยกฎหมายที่เอื้อต่อ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ และระบบการเงินที่เสรี
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากประเทศพึ่งพิงน้ำมัน (ปัจจุบันน้อยกว่า 30% ของ GDP) สู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการ และอุตสาหกรรม MICE ด้วยการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อย่างเสรี
อังกฤษ: จากผู้นำอุตสาหกรรม สู่การเป็นประเทศบริการ สัดส่วนภาคบริการกว่า 80% ของ GDP ลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป
โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบันยังคงพึ่งพิงการบริโภคภาคเอกชน (57.7%) การลงทุนภาคเอกชน (17.3%) การใช้จ่ายภาครัฐ (22.2%) การส่งออกสินค้าและบริการ (65.4%) และการนำเข้าสินค้าและบริการ (63.7%) โดยภาคอุตสาหกรรมยังคงมีสัดส่วน 39.2% ภาคบริการ 52% และภาคเกษตรกรรม 8.4% ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเรายังคงพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกในระดับสูง และยังไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากภาคบริการได้อย่างเต็มที่
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องกล้าที่จะเปลี่ยนผ่านจาก “โรงงานโลก” ไปสู่ “ศูนย์กลางการบริการและที่อยู่อาศัยระดับโลก” โดยใช้จุดแข็งที่เรามีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ปลดล็อกศักยภาพ: ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย (Thai Real Estate Driving Economy)
ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างมหาศาล หากเราเปิดประตูรับการลงทุนและการพำนักจากต่างชาติอย่างมีวิสัยทัศน์ ประเทศไทยมี “ทุนทางธรรมชาติและวัฒนธรรม” ที่คนทั่วโลกหลงรัก ไม่ว่าจะเป็น:
กรุงเทพฯ ที่ยังคงติดอันดับ 1 เมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด (ปี 2024)
ระบบสาธารณสุขและการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ด้วยโรงพยาบาลติดอันดับโลกหลายแห่ง
ค่าครองชีพที่ต่ำกว่า คุณภาพชีวิตที่ดีกว่าประเทศตะวันตก
อาหารไทยที่ขึ้นชื่อไปทั่วโลก
สภาพอากาศที่อบอุ่นตลอดปี และแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงาม
ผู้คนอัธยาศัยดี มีมนุษยสัมพันธ์และบริการที่ดีเลิศ
ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในต่างประเทศ
โครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพ
ทั้งหมดนี้คือ “แม่เหล็ก” ที่ดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมากให้ต้องการเข้ามาพำนักอาศัยในประเทศไทย ไม่ใช่แค่มาเที่ยว แต่มาใช้ชีวิต ซึ่งเป็นการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศที่ยั่งยืนและจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากในทุกมิติ
บทเรียนจากความสำเร็จ: อสังหาริมทรัพย์ดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่า การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ และการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักอาศัย เป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ:
โปรตุเกส (Golden Visa 2012): เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนักถาวร ทำให้เงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตได้สำเร็จ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สเปน (Residency by Investment หลังวิกฤตปี 2008): คล้ายกับโปรตุเกส โดยให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 500,000 ยูโรขึ้นไป ซึ่งกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซาและทำให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี ดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลางจำนวนมาก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านและที่ดินแบบ Freehold ได้อย่างอิสระ ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้อสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
กรีซ (Greece Golden Visa): ให้สิทธิพำนักแก่ชาวต่างชาติที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 250,000 ยูโรขึ้นไป ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตถึง 60% ภายใน 10 ปี ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการพำนักระยะยาวสำหรับชาวต่างชาติ โดยมีเงื่อนไขด้านการลงทุนและการเงิน เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น
กรณีศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การเปิดประตูสู่ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน สำหรับชาวต่างชาติ ไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นการดึงดูดกระแสเงินสด การลงทุน และบุคลากรคุณภาพเข้าสู่ประเทศ
สร้างกลยุทธ์ขับเคลื่อน: การเปิดโอกาสให้ต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทย
จากตัวเลขในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเกือบ 4 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสัดส่วนเพียง 1 ใน 4 ของมูลค่าดังกล่าว นั่นหมายถึงกระแสเงินลงทุนมหาศาลที่ไหลเข้าสู่ประเทศ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจไทยอย่างน้อย 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างก้าวกระโดด
ผมเข้าใจถึงความกังวลเรื่องการ “เสียแผ่นดิน” แต่จากข้อมูลที่ดินกว่า 321 ล้านไร่ทั่วประเทศ โดยมีเอกสารสิทธิ์ 127 ล้านไร่ (40%) การอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในสัดส่วนที่เหมาะสมนั้น ไม่ได้หมายถึงการขายแผ่นดินทิ้ง ตัวอย่างเช่น หากเราขายบ้านให้ต่างชาติ 2 แสนหลังต่อปี พื้นที่ที่ใช้ในการก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มีเอกสารสิทธิ์ ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลที่จะได้รับ
ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจ:
ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบการถือครองที่ดิน:
พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม: จากเดิม 49% อาจพิจารณาเพิ่มขึ้นในบางโครงการหรือพื้นที่ที่กำหนด เพื่อรองรับความต้องการที่แท้จริง
ทบทวนการอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold: โดยอาจจำกัดประเภท ขนาด มูลค่า หรือพื้นที่เฉพาะ เช่น โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Elderly Care), อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนขนาดใหญ่ หรือในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงและนักลงทุนที่ต้องการ โอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ระยะยาว
ขยายผลโครงการ “วีซ่าระยะยาวประเทศไทย” (Long-Stay Visa Thailand): โดยผูกโยงกับเงื่อนไขการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเหมาะสม หรือการฝากเงินในประเทศ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากต่างชาติที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีในไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและต้องการที่อยู่อาศัยในระดับราคา 5-10 ล้านบาท
ส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์เชิงรุก:
โปรโมท Thailand Premium Living & Investment Destination: เน้นจุดแข็งของไทยในด้านค่าครองชีพ, คุณภาพชีวิต, บริการทางการแพทย์, อาหาร, และอัธยาศัยไมตรี
พัฒนาแพลตฟอร์ม One-Stop Service: สำหรับนักลงทุนและผู้ที่ต้องการพำนักในประเทศไทย เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์, การขอวีซ่า, และการดำเนินเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
มุ่งเน้นพื้นที่ศักยภาพ:
ภูเก็ต พัทยา และกรุงเทพฯ: ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติอยู่แล้ว ควรได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมือง และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยและการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต หรือ อสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ
ประโยชน์มหาศาลจากการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์:
การอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย จะสร้างผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง:
1) ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น: ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะสามารถระบายสต็อกและมีกำลังใจในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ
2) ธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้รับอานิสงส์: อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง, เฟอร์นิเจอร์, การตกแต่งบ้าน, และบริการอื่นๆ จะเติบโตตามไปด้วย
3) การจ้างงานโดยตรงและทางอ้อม: ทั้งในภาคก่อสร้าง, การออกแบบ, การขาย, การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์, และภาคบริการอื่นๆ จะเพิ่มขึ้น สร้างรายได้สู่คนท้องถิ่น
4) การบริโภคที่เพิ่มขึ้น: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาพำนักในประเทศไทย พวกเขาจะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและเพิ่มรายได้ให้กับ SMEs
5) รายได้ภาษีของรัฐ: ทั้งภาษีการโอน, ภาษีธุรกิจเฉพาะ, และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
หากเราสามารถขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้เพียง 10,000 หลัง ผมประเมินว่าจะสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 0.75% แต่หากสามารถผลักดันให้ได้ถึง 100,000 หลังต่อปี ก็จะเพิ่ม GDP ได้ถึง 7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นหนทางที่ยั่งยืนกว่าการพึ่งพาการอัดฉีดเงินจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบัน การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยชาวต่างชาติทั้งแบบถูกต้องตามกฎหมายและแบบเงา (Nominee) มีอยู่แล้วหลายหมื่นหลัง โดยเฉพาะในพื้นที่อย่างภูเก็ตและพัทยา การทำให้กระบวนการเหล่านี้โปร่งใสและถูกกฎหมายมากขึ้น จะนำเม็ดเงินที่เคยอยู่ในระบบนอกกฎหมายกลับเข้ามาอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่ตรวจสอบได้ และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างเต็มที่
ก้าวข้ามผ่านอสังหาริมทรัพย์: วิสัยทัศน์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
การที่เราจะให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างเต็มศักยภาพนั้น ไม่ได้หมายถึงการมองเพียงแค่การขายบ้าน แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพ, นักลงทุน, และผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเข้าสู่ประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคส่วนอื่นๆ อย่างเป็นลูกโซ่:
การท่องเที่ยวพรีเมียม: เมื่อมีชาวต่างชาติพำนักในไทยมากขึ้น พวกเขาก็จะใช้จ่ายกับกิจกรรมการท่องเที่ยว การพักผ่อนหย่อนใจระดับสูง
ศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพ: ด้วยระบบสาธารณสุขที่ดีเยี่ยม เราสามารถต่อยอดไปสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพและการแพทย์ครบวงจรสำหรับชาวต่างชาติ
การศึกษาและเทคโนโลยี: การดึงดูดนักลงทุนและผู้มีทักษะสูง จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงยกระดับการศึกษาของประเทศ
ธุรกิจบริการระดับโลก: ไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางบริการหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเงิน, โลจิสติกส์, หรือศูนย์กลาง MICE (การประชุม, นิทรรศการ)
นอกจากนี้ การวางโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ, การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน, การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ดี, และการสร้างกฎระเบียบที่ชัดเจนและเป็นธรรม ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป
จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในแวดวงนี้ ผมกล้าพูดได้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองเห็น “โอกาส” ที่ซ่อนอยู่ใน “วิกฤต” และใช้จุดแข็งของประเทศไทยอย่างชาญฉลาด การเปลี่ยนผ่านจากพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมหนัก มาสู่การให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการสร้างกำลังซื้อและลงทุนจากต่างประเทศ คือทางออกที่แท้จริงและเป็นหนทางสู่ความรุ่งเรืองในทศวรรษหน้า
สู่ก้าวต่อไป
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศที่ปรับตัวเท่านั้นจึงจะอยู่รอด การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการปลดล็อกศักยภาพของ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือสิ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการวันนี้ เพื่อส่งมอบอนาคตที่สดใสให้กับคนรุ่นต่อไป ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิสัยทัศน์นี้จะจุดประกายการพูดคุยและนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม
หากท่านสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนการลงทุนเพื่ออนาคต ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำแนะนำเชิงลึกและเป็นมืออาชีพ เพื่อให้ท่านสามารถคว้าโอกาสในตลาดที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันกับเศรษฐกิจไทย โปรดติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นการสำรวจศักยภาพเหล่านี้ไปด้วยกัน.

