• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912081 กซ อนหา แม มาพาแฟนซ อน part2

admin79 by admin79
December 20, 2025
in Uncategorized
0
D1912081 กซ อนหา แม มาพาแฟนซ อน part2

หัวข้อ: พลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทย 2025: ปลดล็อกศักยภาพ “อสังหาริมทรัพย์ไทย” สู่กลไกขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการพัฒนาและลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงวัฏจักรเศรษฐกิจที่ผันผวน ทั้งช่วงรุ่งเรืองและช่วงที่ท้าทาย บทความนี้ไม่ได้เพียงต้องการสะท้อนภาพปัญหา แต่ต้องการนำเสนอแนวทางที่ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า อสังหาริมทรัพย์ไทย คือคำตอบสำคัญในการนำพาประเทศก้าวผ่านความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนและหลากหลายในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไป

ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทย กำลังเผชิญกับคลื่นลมที่โหมกระหน่ำจากหลายทิศทาง คำถามที่ว่า “ประเทศไทยจะรอดได้อย่างไรในภาวะที่เศรษฐกิจถึงทางตันเช่นนี้” จึงเป็นประเด็นที่คนในทุกภาคส่วนต่างต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน จากประสบการณ์ตรงและการวิเคราะห์ข้อมูล ผมมองเห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างอนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับศักยภาพของอสังหาริมทรัพย์ไทยในฐานะเครื่องยนต์หลัก

วิกฤตเศรษฐกิจไทย: มรสุมที่ต้องเผชิญหน้าในปี 2025

สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างมหาอำนาจ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่จีนต้องเผชิญ ได้ส่งผลให้สินค้าจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่เรื่องของปริมาณสินค้า แต่ยังรวมถึงห่วงโซ่อุปทานที่ปรับเปลี่ยน และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าและแหล่งนักท่องเที่ยวสำคัญของเรา ก็สร้างแรงกดดันเพิ่มเติม สัญญาณจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่เตือนว่าประเทศไทยกำลังติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งผมเห็นด้วยว่าเป็นคำเตือนที่เราต้องรับฟังอย่างจริงจัง ดัชนีตลาดหุ้นที่ไม่แสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงเปราะบาง

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จากที่เคยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP เมื่อทศวรรษที่แล้ว มาวันนี้ตัวเลขทะลุ 90% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเป็นผลมาจากการนำเงินในอนาคตมาใช้จ่าย รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายในระยะสั้น สิ่งนี้กัดกร่อนกำลังซื้อภายในประเทศและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย

อีกหนึ่งความท้าทายที่รออยู่คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงการขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาวที่มีศักยภาพในการผลิต และภาระในการดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของประเทศ รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่ยังคงฝังรากลึกและขยายวงกว้าง

ในอดีต เศรษฐกิจไทย พึ่งพาภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และการส่งออกเป็นหลัก แต่ในยุคของการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เรากลับเผชิญข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญภายในประเทศ ทำให้เราต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและชิ้นส่วนจากต่างชาติมากขึ้น ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกจึงลดลง นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะทุขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก ก็ยิ่งเพิ่มความผันผวนและส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

แม้รัฐบาลจะพยายามพึ่งพาการท่องเที่ยวเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจ แต่การฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับไปสู่ระดับก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะจากตลาดจีนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไป รวมถึงการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านที่รุนแรงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนโครงสร้างเศรษฐกิจของเราอย่างจริงจัง

ถึงเวลาปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจ: บทเรียนจากนานาชาติ

จากภาพรวมที่กล่าวมาข้างต้น ชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทย ไม่อาจพึ่งพารูปแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องมีการ “ปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจ” ครั้งใหญ่ เพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่และกลไกขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ผมได้ศึกษาโมเดลความสำเร็จจากหลายประเทศที่เคยเผชิญกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจและสามารถพลิกฟื้นได้ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ดังนี้:

สิงคโปร์: จากที่เคยเน้นภาคอุตสาหกรรมหนัก ได้เปลี่ยนผ่านสู่ภาคบริการและการเงินระดับโลก โดยมีสัดส่วนภาคบริการสูงถึง 70% ของ GDP เน้นการสร้างรายได้จากธุรกิจการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี Digital Economy และ AI ซึ่งเป็นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติมหาศาล และเป็นแหล่งงานคุณภาพสูง
เกาหลีใต้: ปรับจากอุตสาหกรรมหนักมาสู่เทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, ซีรีส์) และภาคบริการ ซึ่งกลายเป็น soft power ที่ดึงดูดการลงทุนและการท่องเที่ยวจากทั่วโลก
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตโรงงานสิ่งทอ ได้ผันตัวเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญระดับโลก ดึงดูดบริษัทข้ามชาติและนักลงทุนจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากประเทศที่พึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเป็นหลัก ปัจจุบันรายได้จากน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 30% ของ GDP โดยมุ่งเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงหรูหรา ธุรกิจบริการ และอุตสาหกรรม MICE (การประชุม, นิทรรศการ) รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการลงทุนระดับโลก ผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์พรีเมียมและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย
อังกฤษ: ในฐานะผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม ปัจจุบันได้เปลี่ยนผ่านสู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยเฉพาะลอนดอนที่กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนจากภาคหนึ่งไปอีกภาคหนึ่ง แต่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ และสร้างงานที่มีคุณภาพ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้และปรับใช้กับอสังหาริมทรัพย์ไทยได้

ปัจจุบัน โครงสร้าง GDP ของไทยยังคงพึ่งพาการบริโภคภาคเอกชน (57.7%) การลงทุนภาคเอกชน (17.3%) การใช้จ่ายภาครัฐ (22.2%) และการส่งออก (65.4%) เป็นหลัก ขณะที่โครงสร้างการผลิตภาคเกษตรกรรม (8.4%) ภาคอุตสาหกรรม (39.2%) และภาคบริการ (52%) ซึ่งภาคบริการส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่กับการท่องเที่ยวแบบเดิม ๆ นี่คือจุดที่เราต้องปรับเปลี่ยน

อสังหาริมทรัพย์ไทย: ขุมทรัพย์ที่ถูกมองข้าม

ประเทศไทยมีศักยภาพอันมหาศาลที่คนทั่วโลกต่างชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก โรงพยาบาลระดับโลกที่ได้รับการยอมรับในด้านการบริการและค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล อัธยาศัยไมตรีของผู้คน อาหารรสเลิศ สภาพอากาศที่อบอุ่น และคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ สิ่งเหล่านี้เป็น “จุดแข็ง” ที่เราสามารถนำมาใช้เป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติได้

ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องอนุญาตและสนับสนุนให้ชาวต่างชาติสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยเพื่อการอยู่อาศัยได้มากขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าที่ดินจะถูกต่างชาติยึดครองจนหมด เพราะประเทศไทยมีที่ดินรวมกว่า 321 ล้านไร่ มีเอกสารสิทธิประมาณ 127 ล้านไร่ หากใน 1 ปี เราสามารถขายที่อยู่อาศัยให้ชาวต่างชาติได้ 200,000 หน่วย (ซึ่งเป็นไปได้หากมีนโยบายที่เอื้ออำนวย) จะคิดเป็นสัดส่วนการใช้ที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มีอยู่เลยด้วยซ้ำ ตัวเลขในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเกือบ 400,000 หน่วย มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดเม็ดเงินจากการขายให้ต่างชาติได้เพียง 1 ใน 4 ของมูลค่าดังกล่าว นั่นหมายถึงการเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ถึง 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวมได้อย่างมหาศาล

นักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ต้องการมาใช้ชีวิตในประเทศไทย ไม่ใช่แค่เพราะค่าครองชีพต่ำ แต่เป็นเพราะคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่ดีกว่าในราคาที่เอื้อมถึง อสังหาริมทรัพย์ไทยก็ยังมีราคาที่เข้าถึงได้เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง สังคมไทยที่เป็นมิตร และโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพ ทำให้เรามีข้อได้เปรียบที่โดดเด่น

โมเดลความสำเร็จ: ประเทศที่ใช้ “อสังหาริมทรัพย์” ฟื้นเศรษฐกิจ

จากประสบการณ์ในวงการ อสังหาริมทรัพย์ไทย ผมได้ศึกษาโมเดลจากหลายประเทศที่เคยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ กำลังซื้อภายในประเทศลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต แล้วใช้การดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและใช้จ่ายภายในประเทศ ดังนี้:

โปรตุเกส (Golden Visa 2012): หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 รัฐบาลได้เปิดโครงการ Golden Visa โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิในการพำนัก ส่งผลให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้าประเทศกว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็ว ราคาบ้านฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
สเปน (Residency by Investment): คล้ายกับโปรตุเกส สเปนได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติลงทุน 500,000 ยูโรขึ้นไปในอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซาหลังวิกฤตปี 2008 ส่งผลให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี และดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE – Freehold Property): UAE อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold ซึ่งดึงดูดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มหาศาล และทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
กรีซ (Greece Golden Visa): หลังวิกฤตหนี้สาธารณะ กรีซได้เปิดโครงการ Golden Visa โดยกำหนดให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อแลกกับวีซ่าพำนัก ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการนี้เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติพำนักระยะยาวได้ง่ายขึ้น เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านและดึงดูดผู้เกษียณและนักลงทุนจากประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น ทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับความนิยม

โมเดลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอสังหาริมทรัพย์และพำนักอาศัย ไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์ ดึงดูดเม็ดเงิน การใช้จ่าย และการสร้างงาน

อนาคตของ “อสังหาริมทรัพย์ไทย”: กลไกขับเคลื่อนที่ต้องเร่งลงมือ

ผมมองว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพิจารณาอย่างจริงจังในการอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อการอยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น หรือแม้แต่การขยายสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมจากปัจจุบัน 49% เป็น 75% ในบางพื้นที่หรือบางโครงการ เพื่อดึงดูดการลงทุนต่างชาติและกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผมไม่ได้หมายถึงการเปิดเสรีทั้งหมดอย่างไม่มีขอบเขต แต่เป็นการสร้างกลไกที่โปร่งใส มีกฎหมายรองรับ และมีมาตรการป้องกันผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำสำหรับการลงทุน การจำกัดพื้นที่ หรือการเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่เหมาะสม

ผลกระทบจากการผลักดันนโยบายนี้จะส่งผลดีในหลายมิติ:

กระตุ้นยอดขายอสังหาริมทรัพย์: เพิ่มอุปสงค์จากต่างชาติ สร้างความคึกคักให้แก่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
อานิสงส์ต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง: ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง การตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ และบริการบำรุงรักษา จะได้รับประโยชน์โดยตรง
การจ้างงาน: เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาคก่อสร้าง การบริการ และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
การบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า โรงเรียนนานาชาติ หรือบริการต่าง ๆ ซึ่งจะสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวและเมืองรองที่มีศักยภาพ เช่น ภูเก็ต พัทยา กรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือหัวหิน ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการลงทุนคอนโดในไทย และซื้อบ้านตากอากาศภูเก็ต
ยกระดับคุณภาพชีวิตและสาธารณูปโภค: การเข้ามาของชาวต่างชาติมักจะมาพร้อมกับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลระดับพรีเมียม การคมนาคม และบริการดิจิทัล

ตัวเลขประมาณการที่น่าสนใจคือ หากเราสามารถกระตุ้นยอดขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้ 10,000 ยูนิต อาจทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้น 0.75% แต่หากสามารถทำได้ถึง 100,000 ยูนิต ผมเชื่อว่า GDP อาจเพิ่มขึ้นได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้อย่างแท้จริง การมีที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจและเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

ในปัจจุบัน เราก็เห็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะ Nominee หรือผ่านช่องทางที่ไม่ถูกต้องอยู่บ้างในบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของต่างชาติ หากเราสามารถนำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาอยู่บนดิน มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนและเป็นธรรม จะทำให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีและควบคุมได้ง่ายขึ้น และยังดึงดูดนักลงทุนที่มีคุณภาพมาสู่อสังหาริมทรัพย์ไทยได้อีกมาก

สู่เป้าหมาย: อสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นฟันเฟืองหลัก

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าคิด กล้าเปลี่ยน จากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกในรูปแบบเดิม มาสู่การใช้อสังหาริมทรัพย์ไทยเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศ

ด้วยประสบการณ์กว่าทศวรรษในวงการ ผมเชื่อมั่นว่านี่คือ “ทางออก” ที่เป็นรูปธรรมและมีศักยภาพสูงสุดในการพาเศรษฐกิจไทยก้าวพ้นวิกฤตในปัจจุบัน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว การพลิกโฉมตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นเครื่องยนต์หลักนี้ ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งภาคส่วนอื่น ๆ แต่เป็นการสร้างความหลากหลายและสมดุลทางเศรษฐกิจ เพื่อรองรับความผันผวนของโลกยุคใหม่

คำเชิญชวนเพื่อก้าวไปข้างหน้า

ผมขอเชิญชวนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน และประชาชนทุกคน ให้มาร่วมกันพิจารณาแนวทางนี้อย่างจริงจัง อสังหาริมทรัพย์ไทยมีศักยภาพที่ไม่ควรมองข้าม และพร้อมที่จะเป็นสะพานเชื่อมโยงเราไปสู่การเติบโตที่มั่นคงกว่าเดิม หากท่านมีความสนใจที่จะศึกษาโอกาสในการลงทุนระยะยาวอสังหา หรือต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศักยภาพของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในปี 2025 และแนวทางการพัฒนาโปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาการลงทุน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศของเรา

Previous Post

D1912079 ารถสองแถว บาท ายแบงค นเลยเหรอป part2

Next Post

D1912082 เพราะฉ นไม สวย ไม ณค าใช ไหม part2

Next Post
D1912082 เพราะฉ นไม สวย ไม ณค าใช ไหม part2

D1912082 เพราะฉ นไม สวย ไม ณค าใช ไหม part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D1912125 กค าต วด องเปล ยนส ผมซะให เข part2
  • D1912124 ดกะเพราเส นข นเทพ รสชาต หร อม ของสมนาค part2
  • D1912123 คนเก บของเก าคนน แหละ จะทำให เราได งาน าน part2
  • D1912122 นหร อย แพง คนเป นเพ อนเขาทำก นแบบน เหรอ part2
  • D1912121 บะหม บาท กำไรแทบจะไม แต กล าด มาซ อโรงแรมหร part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.