• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912064 คนรวย อย งส ดบนห วงโซความจร part2

admin79 by admin79
December 20, 2025
in Uncategorized
0
D1912064 คนรวย อย งส ดบนห วงโซความจร part2

อสังหาริมทรัพย์ไทย: เข็มทิศใหม่เพื่อนำพาเศรษฐกิจสู่ทศวรรษแห่งความรุ่งเรือง

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมากมาย ทั้งช่วงที่รุ่งเรืองและช่วงที่ท้าทาย แต่สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยกำลังเข้าสู่จุดที่เราต้องพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง จากเดิมที่เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงภาคการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักมาอย่างยาวนาน วันนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับพายุเศรษฐกิจรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะการชะลอตัวของยักษ์ใหญ่อย่างจีน หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และโครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างคำถามสำคัญว่า “โอกาสรอดของเศรษฐกิจไทยอยู่ตรงไหน?” และจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมามอง อสังหาริมทรัพย์ไทย ในบทบาทที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือการเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติ

ฉากทัศน์เศรษฐกิจไทย 2025: ทศวรรษที่ต้องค้นหาทางออก

เสียงเตือนจากองค์กรระดับโลกอย่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่าประเทศไทยกำลังติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ดัชนีตลาดหุ้นที่ไร้สัญญาณฟื้นตัวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงอย่างชัดเจน เราเคยภาคภูมิใจกับการเติบโตของ GDP ที่ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมยานยนต์และภาคการผลิตที่ลงทุนโดยต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่น แต่ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สงครามการค้าได้ฉีกห่วงโซ่อุปทานเดิมๆ ทำให้สินค้าจากจีนที่ถูกกีดกันต้องไหลทะลักเข้าสู่ตลาดใกล้เคียง รวมถึงประเทศไทย สิ่งนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นอีกหนึ่งระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินของไทยต่อ GDP ได้เพิ่มขึ้นจากระดับ 40% ไปเป็นกว่า 126% นี่คือการเติบโตที่ไม่ได้เกิดจากผลผลิตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่มาจากการนำเงินในอนาคตมาใช้จ่าย ส่งผลให้ศักยภาพการบริโภคภายในประเทศลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ การอัดฉีดเงินจากภาครัฐในปัจจุบัน แม้จะช่วยพยุงสถานการณ์ แต่ก็เป็นเพียงการซื้อเวลา หากไม่มีการปรับโครงสร้างที่เป็นรากฐาน การเติบโตระยะยาวก็ยังคงเป็นเรื่องยาก

ยิ่งไปกว่านั้น วิกฤตโครงสร้างประชากรก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยจะทำให้จำนวนแรงงานลดลง ประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของประเทศมีแนวโน้มลดลง และยังนำมาซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ซับซ้อนขึ้นอีกด้วย แม้ว่าเราจะพยายามผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีและขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนขั้นสูงของไทย ทำให้เรายังคงเป็นเพียงฐานการผลิตมากกว่าผู้สร้างนวัตกรรมที่แท้จริง

ภาคการส่งออก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทย ก็กำลังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ตลาดเดิมที่เราเคยเป็น “แชมเปี้ยน” เริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้น และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างประเทศก็ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการค้า ภาคการท่องเที่ยวที่รัฐบาลหวังให้เป็นเครื่องยนต์สำคัญก็ยังไม่สามารถกลับไปสู่จุดสูงสุดเหมือนช่วงก่อนโควิด-19 ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มจีน ซึ่งเคยเป็นตลาดหลัก ก็มีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะกลับมาเดินทางในรูปแบบเดิม

จำเป็นต้องรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ: บทเรียนจากนานาชาติ

จากภาพรวมที่กล่าวมาข้างต้น ชัดเจนว่าประเทศไทยไม่สามารถเดินหน้าด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป เราจำเป็นต้องกลับมาทบทวนและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง หากพิจารณาจากกรณีศึกษาของประเทศที่ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้าง จะเห็นว่าการเปลี่ยนผ่านเป็นกุญแจสำคัญ

สิงคโปร์: จากเดิมที่เป็นฐานอุตสาหกรรม สู่การเป็นศูนย์กลางบริการระดับโลก โดยภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP สร้างรายได้มหาศาลจากการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เทคโนโลยี ดิจิทัลอีโคโนมี และการศึกษา
เกาหลีใต้: ปรับจากอุตสาหกรรมหนัก สู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) และภาคบริการ ซึ่งกลายเป็น Soft Power ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล
ฮ่องกง: จากโรงงานทอผ้า สู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การบริการ และ อสังหาริมทรัพย์ ที่ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากประเทศที่พึ่งพารายได้จากน้ำมันเป็นหลัก วันนี้รายได้จากน้ำมันลดลงเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP พวกเขาได้เปลี่ยนผ่านสู่การท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการระดับพรีเมียม และการส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม, นิทรรศการ, การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล) อย่างเต็มตัว
อังกฤษ: จากผู้นำอุตสาหกรรมในอดีต สู่ภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยลอนดอนกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป

โครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบันยังคงพึ่งพิงการบริโภคภาคเอกชน 57.7% การลงทุนภาคเอกชน 17.3% การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2% และการส่งออกสินค้าและบริการถึง 65.4% เมื่อมองลึกลงไปในโครงสร้างการผลิต ภาคเกษตรกรรมมีเพียง 8.4% ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% คำถามคือ หากรายได้จากการส่งออกส่วนใหญ่ไม่ได้ตกถึงมือคนไทยเท่าที่ควร และยังเผชิญความไม่แน่นอน ภาคบริการซึ่งมีศักยภาพสูงจึงเป็นทางออกที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับ อสังหาริมทรัพย์ไทย

ประเทศไทยมีศักยภาพที่โดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ที่ติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก (ปี 2024) ระบบสาธารณสุขระดับโลกที่มีโรงพยาบาลติดอันดับดีที่สุดถึง 5 แห่งในโลก ค่าครองชีพที่ไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิต อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับระดับสากล สภาพอากาศที่ดี ผู้คนที่มีอัธยาศัยไมตรี และโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพสูง สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนอันล้ำค่าที่เราสามารถนำมาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ อสังหาริมทรัพย์ไทย ได้อย่างมหาศาล

อสังหาริมทรัพย์ไทย: กุญแจสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านกำลังซื้อจากต่างประเทศ

จากประสบการณ์ของผม ประเทศที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจภายในซบเซา กำลังซื้อลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต มักจะหาทางออกด้วยการดึงดูดกำลังซื้อจากต่างชาติ โดยเฉพาะในภาค อสังหาริมทรัพย์ นี่คือแนวทางที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในหลายประเทศ:

โปรตุเกส (Golden Visa 2012): หลังวิกฤตเศรษฐกิจ ได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับสิทธิพำนักถาวร ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นตลาด อสังหาริมทรัพย์ ราคาบ้านกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สเปน (Residency by Investment 2008): คล้ายคลึงกับโปรตุเกส เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 500,000 ยูโรขึ้นไป เพื่อกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซา GDP ของประเทศฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี ดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): นโยบายอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold ได้อย่างเต็มที่ ได้ดึงดูดนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยระดับมหาเศรษฐีจากทั่วโลก ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นกว่า 50% ของ GDP กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลกอย่างแท้จริง
กรีซ (Greece Golden Visa): หลังจากวิกฤตหนี้ยุโรป กรีซได้เปิดโครงการ Golden Visa โดยให้สิทธิพำนักแก่ชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 250,000 ยูโรขึ้นไป ส่งผลให้ตลาด อสังหาริมทรัพย์ เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการนี้เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้าน ดึงดูดทั้งผู้เกษียณและนักลงทุนจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะจีนและญี่ปุ่น

บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้ อสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นเครื่องมือในการดึงดูดกำลังซื้อจากต่างประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่การขายบ้าน แต่คือการสร้าง Ecosystem ทางเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด

ถึงเวลาปลดล็อกศักยภาพ อสังหาริมทรัพย์ไทย

ผมมีความเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรพิจารณาอย่างจริงจังในการเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถถือครอง อสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทยได้สะดวกขึ้น บางท่านอาจมีความกังวลว่าที่ดินของประเทศจะถูกต่างชาติยึดครอง แต่หากพิจารณาจากข้อเท็จจริง ประเทศไทยมีที่ดินรวมทั้งสิ้น 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิ 127 ล้านไร่ (ประมาณ 40%) หากเราอนุญาตให้มีการขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้เพิ่มขึ้น เช่น ปีละ 200,000 หลังคาเรือน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมาก แต่เมื่อคำนวณเป็นสัดส่วนที่ดินแล้ว จะไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่ไทยมีอยู่เลย นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ที่ไม่อาจทำให้เกิดการยึดครองที่ดินได้

ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเกือบ 4 แสนหน่วย มูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท หากเราสามารถดึงดูดให้ชาวต่างชาติซื้อได้เพียง 1 ใน 4 ของจำนวนนี้ นั่นหมายถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.5 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งจะกลายเป็นเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของเราโดยตรง

ชาวต่างชาติจำนวนมากต้องการมาใช้ชีวิตในประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเพราะค่าครองชีพต่ำหรือสภาพอากาศที่ดีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม ระบบสาธารณสุขที่มีมาตรฐานในราคาที่เข้าถึงได้ สังคมไทยที่เป็นมิตร และ อสังหาริมทรัพย์ ที่มีราคาเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว จากประสบการณ์ของผม ชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามาอยู่อาศัยและซื้อบ้านในไทย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งมีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่และมีศักยภาพในการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเศรษฐีระดับบนเท่านั้น

ผลกระทบเชิงบวกที่หลากหลาย

การผลักดันนโยบายนี้จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ:

การขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น: ช่วยระบายสต็อกอสังหาริมทรัพย์ในตลาด สร้างสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการและภาคธนาคาร
ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและห่วงโซ่อุปทานได้รับอานิสงส์: เมื่อมีการก่อสร้างหรือปรับปรุงอสังหาริมทรัพย์ จะเกิดความต้องการวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และบริการที่เกี่ยวข้องมากมาย
การจ้างงานโดยตรงและทางอ้อม: ตั้งแต่แรงงานก่อสร้าง ตัวแทนขาย นายหน้า ทนายความ ผู้ดูแลอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงภาคบริการต่างๆ ที่รองรับผู้อยู่อาศัย
การบริโภคในท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัย พวกเขาจะใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบริการต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ของธุรกิจท้องถิ่นขนาดเล็กและขนาดกลางโดยตรง

จากตัวเลขที่เคยมีการประมาณการณ์ไว้ หากเราสามารถขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้ 10,000 หลัง จะสามารถกระตุ้น GDP ได้ถึง 0.75% แต่หากสามารถเพิ่มเป็น 100,000 หลัง ผลกระทบต่อ GDP อาจสูงถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเศรษฐกิจไทยได้อย่างแท้จริง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ โดยชาวต่างชาติทั้งในรูปแบบที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย (Nominee) อยู่แล้วจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ตและพัทยา สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริง แต่เราควรจะนำระบบนี้ขึ้นมาบนดิน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

ก้าวต่อไปของประเทศไทย: การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

ในฐานะนักพัฒนาและนักลงทุนในภาค อสังหาริมทรัพย์ไทย ผมเชื่อว่าเราได้มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญแล้ว การพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมในบริบทโลกปัจจุบันอาจไม่ยั่งยืนอีกต่อไป เรามีทรัพยากรและศักยภาพมากมายในภาคบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาค อสังหาริมทรัพย์ ที่พร้อมจะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ แต่การจะปลดล็อกศักยภาพนี้ได้ จำเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจเชิงนโยบายที่กล้าหาญและมองไปข้างหน้า

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาถือครอง อสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัย จะเป็นประตูบานสำคัญที่ดึงดูดทั้งเงินทุน บุคลากรคุณภาพ และกำลังซื้อจากทั่วโลกเข้ามาสู่ประเทศไทย ซึ่งจะช่วยยกระดับ อสังหาริมทรัพย์ไทย ให้เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจชาติในอนาคต

นี่คือโอกาสทองที่เราจะต้องคว้าไว้ เพื่อนำพาประเทศไทยให้พ้นจากทศวรรษที่สาบสูญ และก้าวเข้าสู่ทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองอย่างยั่งยืน ผมเชื่อมั่นว่าการศึกษาและถกเถียงในประเด็นนี้อย่างรอบด้าน จะนำไปสู่แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติในที่สุด

หากท่านสนใจที่จะเจาะลึกถึงโอกาสการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ไทย หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ผมยินดีที่จะแบ่งปันประสบการณ์และความรู้เพิ่มเติมเพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าสำหรับประเทศไทยของเรา

Previous Post

D1912063 บอกก บแฟนใหม เธอ าเราเป นขอทาน part2

Next Post

D1912065 มองแค ภายนอก กต างๆนาๆ part2

Next Post
D1912065 มองแค ภายนอก กต างๆนาๆ part2

D1912065 มองแค ภายนอก กต างๆนาๆ part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D1912116 าวต มทรงเคร อง คำว ารวยของคนม นไม เท าก part2
  • D1912115 งมาม ดใต โต เด กคนน พยายามจะบอกอะไรก นแน part2
  • D1912114 งานแต งระด บผ ดการ กล าเอาข าวเหน ยวมาก นได ไง part2
  • D1912113 ไส กรอกอ สาน งท หว งไว คงร บหร เพราะม คด ดต part2
  • D1912112 ระหว างงานแต งก บโปรเจคด วน เจ าบ าวจะเล อกอะไร part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.