ถอดรหัส ‘สงครามราคาบ้าน’ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย: บทวิเคราะห์จากประสบการณ์ 10 ปี สู่ปี 2568 และอนาคต
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นวัฏจักรของตลาดทั้งขาขึ้นและขาลงมาหลายครั้ง แต่สถานการณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นในปัจจุบันดูเหมือนจะมีความซับซ้อนและท้าทายมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาณของสิ่งที่ผมขอเรียกว่า สงครามราคาบ้าน ซึ่งกำลังเป็นประเด็นที่นักลงทุน ผู้พัฒนา และแม้แต่ผู้บริโภคทั่วไปต่างให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุ กลไก และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก สงครามราคาบ้าน ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางในการรับมือสำหรับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปี 2568 และก้าวต่อไปในอนาคต
สัญญาณเตือนภัย: ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่กำลังเผชิญกับพายุลูกใหม่
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค การฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงและภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ได้บั่นทอนความสามารถในการก่อหนี้ของผู้คนจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate) ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ธนาคารพาณิชย์เองก็ต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพื่อรักษาสุขภาพของพอร์ตสินเชื่อ ท่ามกลางความกังวลเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณอันตตรายที่ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่า สงครามราคาบ้าน กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ความจริง
จากประสบการณ์ของผม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยไม่ได้เผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อที่แผ่วลงเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาวะสินค้าคงค้าง (Inventory) ที่มีปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรที่เปิดตัวในช่วงที่ตลาดเคยเฟื่องฟู แต่กลับไม่สามารถระบายออกได้ตามเป้าหมาย ยิ่งสต็อกสะสมมากเท่าไหร่ แรงกดดันในการลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น และนี่คือจุดเริ่มต้นของการแข่งขันที่อาจนำไปสู่ สงครามราคาบ้าน อย่างแท้จริง
ถอดรหัส “สงครามราคาบ้าน”: บทเรียนจากตลาดรถยนต์สู่ความกังวลในอสังหาริมทรัพย์
เมื่อกล่าวถึง สงครามราคาบ้าน หลายคนอาจนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดรถยนต์ช่วงปีที่ผ่านมา ที่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างดุเดือด โดยเฉพาะจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้ามาสร้างแรงสั่นสะเทือนให้แก่ตลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ผู้ประกอบการรถยนต์ต้องหั่นราคาเพื่อระบายสต็อก ส่งผลให้ราคารถป้ายแดงลดลงอย่างมาก และกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงตลาดรถมือสอง และสร้างความเสียหายต่อภาพรวมอุตสาหกรรมในวงกว้าง
คำถามคือ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่? จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ผมขอบอกว่าสถานการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นมีความแตกต่างและอาจมีผลกระทบที่รุนแรงกว่ามาก หากเกิด สงครามราคาบ้าน ขึ้นจริง เหตุผลสำคัญคือ “Wealth Effect” หรือผลกระทบต่อความมั่งคั่งของผู้บริโภค
ลองนึกภาพตามว่า หากราคาบ้านลดลงอย่างรุนแรง มูลค่าทรัพย์สินที่ผู้คนถือครองก็จะลดลงตามไปด้วย ความรู้สึกมั่งคั่งที่เคยมีจะหายไป ผู้คนจะรู้สึกว่าตนเอง “จนลง” แม้จะไม่ได้ขายบ้านออกไปก็ตาม สิ่งนี้จะบั่นทอนความเชื่อมั่นในการบริโภคและการใช้จ่ายอย่างรุนแรง ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศที่เผชิญวิกฤตราคาอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ เมื่อผู้คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เศรษฐกิจโดยรวมก็จะยิ่งชะลอตัวลงไปอีก กลายเป็นวงจรขาลงที่แก้ไขได้ยากยิ่งกว่าในตลาดรถยนต์มากนัก เพราะบ้านไม่ใช่แค่สินค้า แต่เป็นสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ที่สุดที่สะท้อนสถานะและความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือน
กลไกและผลกระทบของ “สงครามราคาบ้าน” ต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภค
หาก สงครามราคาบ้าน เกิดขึ้นจริง เราจะเห็นการแข่งขันที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โครงการใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงการเก่า คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้ว และบ้านมือสองที่ต้องการการระบาย ผู้ประกอบการรายเล็กที่มีสภาพคล่องจำกัดอาจต้องยอมหั่นราคาอย่างรุนแรงเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอด ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ให้ต้องปรับกลยุทธ์ตาม สถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลกระทบในหลายมิติ:
ต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์:
กำไรลดลง: การลดราคาจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตรากำไร และอาจทำให้หลายบริษัทประสบภาวะขาดทุน
สภาพคล่องตึงตัว: หากขายไม่ได้ตามเป้า การหมุนเวียนเงินสดจะหยุดชะงัก การระดมทุนใหม่จะยากขึ้น โดยเฉพาะจากตลาดหุ้นกู้ที่นักลงทุนอาจกังวลในความเสี่ยง
การปรับโครงสร้างหนี้: บริษัทบางรายอาจต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือการล้มละลาย
ชะลอการลงทุน: โครงการใหม่ๆ อาจถูกเลื่อนหรือยกเลิก ทำให้ภาคการก่อสร้างและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องพลอยชะลอตัวตามไปด้วย
ต่อธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน:
คุณภาพสินเชื่อด้อยลง: หนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยอาจเพิ่มขึ้น หากผู้กู้ไม่สามารถผ่อนชำระได้ หรือมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าภาระหนี้
ความเสี่ยงต่อหลักประกัน: หากราคาบ้านลดลงมาก ธนาคารอาจต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงที่มูลค่าหลักประกันลดลง
นโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น: ธนาคารจะพิจารณาคุณสมบัติผู้กู้และราคาประเมินอย่างรอบคอบยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การเข้าถึงสินเชื่อยากขึ้นไปอีก
ต่อผู้บริโภคและนักลงทุน:
ผู้ซื้อได้ประโยชน์ (ในระยะสั้น): ผู้ที่กำลังมองหาบ้านอาจได้บ้านในราคาที่ถูกลง แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความมั่นคงของโครงการและสภาพคล่องของผู้ประกอบการ
ผู้ถือครองสินทรัพย์ได้รับผลกระทบ: มูลค่าบ้านที่ลดลงจะกระทบความมั่งคั่งและขีดความสามารถในการกู้ยืมเพิ่มเติม
ความไม่แน่นอนในการลงทุน: สำหรับผู้ที่มองหา การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเก็งกำไร ตลาดจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างมาก
ความเชื่อมั่นที่ลดลง: ผู้คนจะชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน ทำให้ตลาดติดหล่มนานขึ้น
ภาพรวมสินเชื่อที่อยู่อาศัย: ความท้าทายของธนาคารและผู้กู้
การชะลอตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นเพียงผลกระทบจาก สงครามราคาบ้าน ที่อาจเกิดขึ้น แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดภาวะเช่นนี้ ข้อมูลจากสถาบันการเงินหลายแห่งชี้ชัดว่ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างแทบไม่เติบโต
ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ โดยหันมาเน้นการขยายตัวในตลาดบ้านมือสองมากขึ้น เนื่องจากมองว่ามีความเสถียรภาพมากกว่า และมีราคาที่สมเหตุสมผลสำหรับกำลังซื้อในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ยังคงต้องระมัดระวังในตลาดบ้านมือสองเช่นกัน โดยให้ความสำคัญกับการประเมินราคาให้รัดกุม และคัดกรองคุณสมบัติลูกค้าอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่ใช่การเก็งกำไรในภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน
นอกจากนี้ การให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยเสริมสภาพคล่อง เช่น “บ้านแลกเงิน” (Home for Cash) หรือ “รีไฟแนนซ์บ้าน” ก็ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากต้องการสภาพคล่องเพื่อใช้จ่ายหรือเพื่อลดภาระดอกเบี้ย สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณที่ธนาคารต้องเฝ้าระวังคุณภาพพอร์ตสินเชื่อของตนอย่างใกล้ชิด
จากมุมมองของผม แนวโน้มการปล่อยสินเชื่อบ้านยังคงอยู่ในโหมด “ประคับประคอง” ไปอีกระยะหนึ่ง ธนาคารจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตและการควบคุมความเสี่ยง สิ่งที่ผู้กู้ต้องเจอคือการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) ที่สูงขึ้น และนั่นคือสาเหตุหลักที่ทำให้ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ พุ่งสูงขึ้นในกลุ่มราคาบ้านต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อเปราะบางที่สุด ส่วนกลุ่มบ้านราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูงและมีประวัติการชำระหนี้ดี ยังคงได้รับอนุมัติสินเชื่อในอัตราที่ดีกว่า
ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยปี 2568-2569: โอกาสและความเสี่ยงที่ต้องจับตา
มองไปข้างหน้า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 คาดว่าจะยังคงเผชิญกับความท้าทายและแรงกดดันจาก สงครามราคาบ้าน ในบางเซกเมนต์ โดยเฉพาะโครงการเก่าและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้ว แต่สำหรับปี 2569 อาจเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น หากเศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาเติบโตได้ดีขึ้น และปัจจัยลบต่างๆ คลี่คลายลง
โอกาสที่ต้องจับตา:
มาตรการภาครัฐ: รัฐบาลอาจพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง การขยายเวลาลดหย่อนภาษี หรือการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อ ซื้อบ้านหลังแรก โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงตลาดและป้องกันไม่ให้เกิด สงครามราคาบ้าน ที่รุนแรง
โครงสร้างพื้นฐาน: โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามแนวเส้นทาง ซึ่งจะสร้างโอกาสในการลงทุนใหม่ๆ
การท่องเที่ยวฟื้นตัว: หากภาคการท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง จะส่งผลดีต่อตลาดคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ
ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมี: แม้จะมีปัจจัยลบ แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ยังต้องมีกำลังซื้อที่เพียงพอและการเข้าถึงสินเชื่อที่เหมาะสม
ความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง:
ภาวะหนี้ครัวเรือน: หากหนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับสูง จะยังคงเป็นแรงกดดันต่อกำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้
อัตราดอกเบี้ย: แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจทรงตัวสูง หรือปรับขึ้นหากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูง จะส่งผลให้ภาระผ่อนชำระเพิ่มขึ้น และกระทบต่อการตัดสินใจซื้อ
ปัจจัยภายนอก: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ หรือวิกฤตการณ์ใหม่ๆ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างไม่คาดฝัน
กลยุทธ์และการเตรียมพร้อมสำหรับทุกภาคส่วน
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายและลดความเสี่ยงจากการเผชิญ สงครามราคาบ้าน ทุกภาคส่วนควรมีกลยุทธ์ที่รัดกุมและยืดหยุ่น
สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์:
บริหารจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ: การวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริง (Real Demand) และหลีกเลี่ยงการสร้างสินค้าคงค้างที่ไม่จำเป็น
กระจายความเสี่ยง: ไม่พึ่งพารายได้จากโครงการที่อยู่อาศัยประเภทใดประเภทหนึ่งมากเกินไป ลองพิจารณา อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในรูปแบบอื่นๆ เช่น โกดัง โรงงาน หรือพื้นที่ค้าปลีกเฉพาะทาง
มุ่งเน้นคุณภาพและการบริการ: สร้างความแตกต่างที่ไม่ใช่แค่ราคา การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดลูกค้า
สร้างความร่วมมือ: การจับมือกับพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงิน หรือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
สำหรับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน:
คุมเข้มคุณภาพสินเชื่อ: การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้และมูลค่าหลักประกันอย่างรอบคอบ เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด
พัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ยืดหยุ่น: เช่น สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ ในช่วงเริ่มต้น หรือการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อประคับประคองคุณภาพสินเชื่อ
วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก: ใช้ข้อมูล Big Data เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง
สำหรับผู้ซื้อและนักลงทุน:
ศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน: ก่อนตัดสินใจ ซื้อบ้านหลังแรก หรือ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ควรศึกษาข้อมูลตลาดอย่างละเอียด ประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
วางแผนการเงินอย่างรัดกุม: ประเมินความสามารถในการผ่อนชำระอย่างรอบคอบ และมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
พิจารณาบ้านมือสอง: ในช่วงที่ตลาดบ้านใหม่มีราคาสูง หรือมีการแข่งขันด้านราคา บ้านมือสองอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ หากเลือกทำเลและคุณภาพที่เหมาะสม
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษา ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ หรือ นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ที่มีประสบการณ์ เพื่อขอคำแนะนำในการตัดสินใจ
บทสรุป: ความท้าทายที่ต้องเปลี่ยนเป็นโอกาส
สงครามราคาบ้าน ไม่ใช่สถานการณ์ที่เราอยากให้เกิดขึ้น แต่ก็เป็นความจริงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญหน้าในปี 2568 และอาจต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน และกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เราสามารถเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้กลายเป็นโอกาสได้
ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจะสามารถยืนหยัดและคว้าโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ธนาคารจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากการบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด และผู้บริโภคที่เตรียมพร้อมก็จะสามารถตัดสินใจ ซื้อบ้าน หรือ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างชาญฉลาด ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมเชื่อมั่นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย มีความยืดหยุ่นและศักยภาพที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ หากเราทุกคนร่วมมือกันและใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาเพื่อวางแผนอนาคตอย่างรอบคอบ
หากคุณกำลังมองหาทิศทางที่ชัดเจนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ผันผวน หรือต้องการคำแนะนำในการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ของคุณให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้พัฒนา นักลงทุน หรือผู้ที่กำลังมองหาบ้าน ผมขอแนะนำให้คุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกและกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณโดยเฉพาะ การตัดสินใจที่รอบคอบในวันนี้ จะนำมาซึ่งความมั่นคงและโอกาสในวันหน้าอย่างแน่นอน

