ปลดล็อกความฝันการเป็นเจ้าของบ้าน: นวัตกรรมและการปรับตัวของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยยุควิกฤตสินเชื่อ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงพลิกผันของตลาดมาแล้วหลายครั้ง แต่สถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 นี้ นับเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่งและแตกต่างจากวิกฤตการณ์ครั้งก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่เรากำลังเผชิญไม่ใช่เพียงแค่การชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่เป็นการรวมตัวของปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เปราะบาง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ไปจนถึงช่องว่างที่ถ่างกว้างขึ้นระหว่างรายได้ของผู้บริโภคกับราคาอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ความฝันในการ เป็นเจ้าของบ้าน สำหรับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดแมส กลายเป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกลความจริงมากขึ้นทุกที วิกฤตการปฏิเสธสินเชื่อ (loan rejection crisis) ที่ทุบตลาดอย่างหนักหน่วงนี้ บีบให้ผู้ประกอบการต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และสร้างสรรค์ “บันได” ให้ผู้คนสามารถก้าวข้ามอุปสรรคทางการเงิน เพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางของการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองให้ได้
Decoding the Unprecedented Tsunami: ถอดรหัสวิกฤตกู้ไม่ผ่านที่ฉุดรั้งโอกาสการเป็นเจ้าของบ้าน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากหลายทิศทาง ข้อมูลจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบการต่างสะท้อนภาพที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในบางทำเลของตลาดแนวราบ เช่น ย่านบางใหญ่ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อพุ่งไปถึง 80% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจอย่างยิ่ง สำหรับคอนโดมิเนียมเองก็ไม่ต่างกัน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50% หรืออาจสูงกว่านั้นในบางโครงการ สิ่งนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่ “ความต้องการ” ที่อยู่อาศัยที่หายไป คนไทยจำนวนมากยังคงมีความปรารถนาที่จะ เป็นเจ้าของบ้าน หลังแรก เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตและครอบครัว แต่ปัญหาคือ “ความสามารถในการกู้” ที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ
อะไรคือต้นตอของปัญหานี้? จากประสบการณ์ของผม การวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นปัจจัยหลักหลายประการ:
หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์: ภาระหนี้สินที่ทับถม โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต หนี้รถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ได้บีบรัดกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างหนัก ทำให้สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio – DSR) สูงเกินกว่าเกณฑ์ที่สถาบันการเงินจะอนุมัติสินเชื่อบ้านเพิ่มเติมได้ คนจำนวนมากจึงติดกับดัก “ผูกลมหายใจ” ไว้กับภาระเดิม จนไม่มีพื้นที่สำหรับการสร้างอนาคตใหม่ เช่น การ เป็นเจ้าของบ้าน
รายได้ไม่เติบโตทันราคาอสังหาริมทรัพย์: แม้ราคาอสังหาริมทรัพย์จะมีการปรับตัวบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่โดยรวมแล้วการเติบโตของรายได้เฉลี่ยของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่เป็นกำลังซื้อหลัก กลับไม่สามารถก้าวทันอัตราเงินเฟ้อและต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นได้ ทำให้ราคาบ้านในกลุ่ม Affordable Segment ที่เคยเข้าถึงง่าย กลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาลในการครอบครอง
เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น: ธนาคารพาณิชย์เองก็เผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและภาวะหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องรัดเข็มขัดในการพิจารณาสินเชื่อ ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจาก NPL (Non-Performing Loan) ทำให้การพิจารณาเครดิตของผู้กู้มีความเข้มงวดละเอียดอ่อนกว่าที่เคยเป็น
เศรษฐกิจมหภาคที่ไร้ทิศทาง: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนัก ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ทั่วไป ทำให้การตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาวถูกชะลอออกไป
สถานการณ์เหล่านี้ได้สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไม่เพียงแต่ผู้ซื้อที่พลาดโอกาสในการ เป็นเจ้าของบ้าน แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องแบกรับสต็อกสินค้าคงคลังจำนวนมหาศาล และกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมที่พึ่งพาการขับเคลื่อนจากภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อย การรับมือกับวิกฤตครั้งนี้จึงจำเป็นต้องอาศัยแนวคิดที่แตกต่าง และนวัตกรรมที่สามารถพลิกเกมได้จริง
Pioneering Pathways: “Next Solution” นวัตกรรมปลดล็อกโอกาสการเป็นเจ้าของบ้าน
ท่ามกลางความท้าทายนี้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้แสดงบทบาทของการเป็นผู้นำที่กล้าคิดนอกกรอบ ด้วยการเปิดตัวโมเดล “Next Solution” ซึ่งผมมองว่าเป็นหนึ่งใน นวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่น่าจับตามองและมีศักยภาพในการแก้ไข Pain Point ของตลาดได้อย่างตรงจุด โมเดลนี้ไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นการ “โยนบันไดลงไปให้ลูกค้าขึ้นมากู้บ้านได้” อย่างที่ ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้กล่าวไว้ ซึ่งสะท้อนปรัชญาการทำงานที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือลูกค้าอย่างแท้จริง
Next Solution ประกอบด้วยสองกลไกสำคัญคือ LivNext (เช่าออมบ้าน) และ RentNext (เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อสร้างสะพานเชื่อมให้ผู้ที่เคยถูกปฏิเสธสินเชื่อสามารถก้าวสู่การ เป็นเจ้าของบ้าน ได้ในที่สุด
LivNext: โครงการเช่าออมบ้าน สร้างเครดิตให้ชีวิต
กลไกการทำงาน: LivNext เป็นแนวคิดที่ชาญฉลาดมาก โดยให้ลูกค้าสามารถผ่อนชำระค่าที่อยู่อาศัยกับโครงการได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำราว 1.8% ผ่านบัญชีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยมีเป้าหมายหลักคือการ “สร้างเครดิตทางการเงินที่ดีขึ้น” ให้กับลูกค้า เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการยื่นกู้สินเชื่อบ้านในอนาคต (ประมาณ 2-3 ปีข้างหน้า) เสนาฯ ไม่ได้ปล่อยให้ลูกค้าเดินคนเดียว แต่ได้ร่วมมือกับบริษัท เงินสดใจดี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพของลูกค้าอย่างใกล้ชิด ติดตามความคืบหน้าทุก 6 เดือน และให้คำแนะนำเรื่องพฤติกรรมทางการเงินอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เปรียบเสมือนมี ที่ปรึกษาการเงินอสังหาฯ ส่วนตัว
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: โมเดลนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการ LivNext ประมาณ 1,000 ยูนิต และที่น่าประทับใจคือมีผู้ที่สามารถกู้ผ่านและโอนกรรมสิทธิ์ได้จริงแล้วถึง 100 ยูนิต ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปี นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่เคยถูกปฏิเสธสินเชื่อนั้นไม่ได้ “กู้ไม่ได้ตลอดไป” แต่พวกเขาเพียงต้องการ “เวลา” และ “คำแนะนำ” ในการปรับฐานข้อมูลทางการเงินให้ถูกต้อง LivNext ไม่เพียงช่วยรักษายอดขายที่อาจสูญไปกว่า 2,000 ล้านบาทให้กับเสนาฯ เท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสให้ผู้คนจำนวนมากได้สานฝันการ เป็นเจ้าของบ้าน ให้เป็นจริง นอกจากนี้ ฐานลูกค้าของ LivNext ยังขยับจากกลุ่ม 1-2 ล้านบาท ไปสู่กลุ่ม 3-4 ล้านบาท สะท้อนว่าความต้องการ เป็นเจ้าของบ้าน ไม่ได้ลดลง แต่ติดปัญหาเงื่อนไขด้านเครดิตเท่านั้น
RentNext: เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ ความยืดหยุ่นที่ตอบโจทย์
กลไกการทำงาน: คู่ขนานกับ LivNext คือ RentNext ซึ่งเป็นโมเดล “เช่าที่มากกว่าการเช่า” โดยมอบความยืดหยุ่นสูงสุดให้กับลูกค้าที่ต้องการ เป็นเจ้าของบ้าน ในอนาคต ลูกค้าสามารถเช่าที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน และหากตัดสินใจซื้อยูนิตเดียวกันนั้นในภายหลัง สามารถนำค่าเช่ามาหักเป็นเงินต้นได้ 100% หรือหากเปลี่ยนใจย้ายไปซื้อโครงการอื่นในเครือของเสนาฯ ก็ยังสามารถนำค่าเช่ามาหักเงินต้นได้ 50%
ประโยชน์เชิงกลยุทธ์: โมเดลนี้ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้เช่า ให้เวลาในการตัดสินใจและเตรียมความพร้อมทางการเงิน นอกจากนี้ยังช่วยให้เสนาฯ สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ (Economy of Scope) โดยเฉพาะในทำเลที่ได้รับความนิยมในการเช่าสูงและมีความเสี่ยงต่ำ เช่น ย่านพระราม 9, บางนา, ใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรม และรังสิต ซึ่งเป็นทำเลที่มีความต้องการ ที่อยู่อาศัย เพื่อการเช่าค่อนข้างมาก และยังสามารถสร้าง Gross Margin ที่สูงถึง 80% จากการนำทรัพย์สินเดิมมาสร้างรายได้ใหม่ พร้อมลดต้นทุนการตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากมุมมองของผม Next Solution ไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่เป็น “โซลูชั่นทางสังคม” ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและมอบโอกาสให้คนส่วนใหญ่ได้เข้าถึงการ เป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงในชีวิต
Strategic Re-evaluation for 2025-2026: จากการขยายสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืน
ในโลกธุรกิจที่ไม่แน่นอน การปรับกลยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญ เสนาฯ ได้วางยุทธศาสตร์สำหรับปี 2568-2569 อย่างระมัดระวัง โดยเลือกที่จะชะลอการเปิดโครงการใหม่ที่เป็นการขยายพอร์ต และหันมามุ่งเน้นการบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพสินค้าคงคลังที่มีอยู่ ซึ่งผมมองว่าเป็นแนวคิดที่ถูกต้องอย่างยิ่งในภาวะตลาดเช่นนี้
บริหารสต็อกคงคลัง: บริษัทมีคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 5,000 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมากกว่า 70% เป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ต้องใช้กลยุทธ์การระบายสต็อกอย่างชาญฉลาด เสนาฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงยูนิตเดิมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การรีโนเวทเฟอร์นิเจอร์ ปรับ Layout ไปจนถึงการทำตลาดแบบเจาะกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้สินค้าตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน แนวคิดที่ว่า “การที่เราไม่มีโครงการใหม่ไม่ได้หมายความว่าจำเป็นต้องหยุดพัฒนา” สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการพัฒนามิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การสร้างใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพให้กับสิ่งที่มีอยู่ด้วย ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสในการ เป็นเจ้าของบ้าน ให้กับผู้ที่มองหา คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ในราคาที่เหมาะสม
ความยั่งยืน: มาตรฐานใหม่ของการเป็นเจ้าของบ้าน: หนึ่งในเทรนด์ที่สำคัญที่สุดและเสนาฯ ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องคือเรื่อง “ความยั่งยืน” (Sustainability) ซึ่งผมเชื่อว่าจะเป็นหัวใจสำคัญของ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน ในอนาคต ดร.เกษรายืนยันว่าบ้านในกลุ่มราคาแกรนด์ทุกหลังของเสนาฯ จะมีการติดตั้งโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่เก็บพลังงานเป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ความตระหนักเรื่องพลังงานสะอาด แต่ยังช่วย “ลดภาระค่าครองชีพ” ให้กับผู้อยู่อาศัยได้อย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาว การลงทุนในโซลาร์เซลล์ตั้งแต่ต้น ช่วยให้ผู้ เป็นเจ้าของบ้าน สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาว ท่ามกลางค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าแนวทาง Waste Management ในทุกโครงการ เพื่อยกระดับบทบาทของบริษัทในฐานะ “Life Long Trusted Partner” ที่ไม่เพียงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในมิติต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มความน่าสนใจให้กับ โครงการบ้านจัดสรร ของเสนาฯ อย่างมาก
The Role of Government and Policy: กลไกสำคัญในการฟื้นกำลังซื้อและโอกาสการเป็นเจ้าของบ้าน
นอกเหนือจากความพยายามของผู้ประกอบการ การแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่ตึงตัวและหนี้ครัวเรือนในระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยบทบาทของภาครัฐอย่างจริงจัง จากประสบการณ์ของผม มาตรการรัฐที่ออกมาส่วนใหญ่ เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง แม้จะช่วยบรรเทาภาระได้บ้าง แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกได้
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและสินเชื่อที่ตึงตัวเกินไป หากรัฐบาลสามารถพิจารณาจัดตั้ง AMC (Asset Management Company) เพื่อรับซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน หรือมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ จะช่วยปลดล็อกภาระให้ผู้บริโภคและ “เพิ่มกำลังซื้อ” ได้อย่างมหาศาล ทำให้พวกเขากลับมามีศักยภาพในการกู้ยืมเพื่อ เป็นเจ้าของบ้าน อีกครั้ง
อีกเครื่องมือที่สำคัญคือ “การลดอัตราดอกเบี้ย” ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ DSR และช่วยให้ลูกค้าสามารถกู้ผ่านได้ง่ายขึ้น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเหมาะสมจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของหนี้เดิม และเพิ่มวงเงินสินเชื่อใหม่ที่ผู้กู้สามารถรับได้ ส่งผลให้โอกาสในการ เป็นเจ้าของบ้าน เพิ่มสูงขึ้นโดยตรง การประสานงานระหว่างภาครัฐ สถาบันการเงิน และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสมดุลและขับเคลื่อนตลาดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
Charting a Resilient Future for Home Ownership in Thailand: สู่ความมั่นคงแห่งการเป็นเจ้าของบ้าน
โดยสรุปแล้ว ภูมิทัศน์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ วิกฤตกู้ไม่ผ่านและหนี้ครัวเรือนได้สร้างกำแพงขวางกั้นความฝันการ เป็นเจ้าของบ้าน ของคนจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นตัวเร่งให้เกิด นวัตกรรมอสังหาริมทรัพย์ และการปรับตัวที่ชาญฉลาดของผู้ประกอบการอย่าง เสนาฯ
โมเดล “Next Solution” ทั้ง LivNext และ RentNext เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การทำความเข้าใจ Pain Point ของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และการสร้างสรรค์โซลูชั่นที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ ไม่ใช่แค่การขายอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นการ “สร้างโอกาส” ให้กับผู้คนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีรากฐานความมั่นคงในระยะยาว ผู้ประกอบการในทุกระดับควรนำบทเรียนจาก เสนาฯ ไปปรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มมูลค่าให้กับ ที่อยู่อาศัย เดิม หรือการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะสร้างความแตกต่างและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในระยะยาว
การปรับตัวเชิงรุกของผู้ประกอบการควบคู่ไปกับมาตรการสนับสนุนที่ตรงจุดจากภาครัฐ จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย และฟื้นคืนความฝันการ เป็นเจ้าของบ้าน ให้กับคนไทยอีกครั้ง แม้จะต้องใช้เวลา 2-3 ปีในการปรับฐานข้อมูลทางการเงินของผู้บริโภคให้แข็งแกร่ง แต่การวางรากฐานที่มั่นคงเช่นนี้ จะสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและมีคุณค่าต่อสังคมในภาพรวม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตและปรับตัวได้เสมอ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค ผนวกกับวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ตลาดของเราจะสามารถก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้ และมอบโอกาสให้คนไทยได้ เป็นเจ้าของบ้าน ที่สมบูรณ์แบบสำหรับพวกเขา
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาโอกาส เป็นเจ้าของบ้าน ไม่ว่าจะเป็น บ้านในกรุงเทพฯ หรือ โครงการบ้านใหม่ ในทำเลศักยภาพต่างๆ หรือผู้ประกอบการที่สนใจโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของตลาดในยุคปัจจุบัน ขอเชิญชวนให้ศึกษาแนวทางเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป

