ดิจิทัลทวิน: ยกระดับอสังหาริมทรัพย์ไทยสู่ยุคใหม่ ด้วยขุมพลัง AI และข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ (2568)
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์และเทคโนโลยีมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 นี้ เรากำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่เทคโนโลยีดิจิทัลทวิน (Digital Twin Technology) ไม่ใช่เพียงแนวคิดแห่งอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่กำลังเข้ามาพลิกโฉมภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ดิจิทัลทวินคือการสร้างแบบจำลองเสมือนจริงของสินทรัพย์ทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นอาคาร โครงการ หรือแม้กระทั่งเมืองทั้งเมือง โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์จากโลกจริงเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสามารถเฝ้าระวัง วิเคราะห์ พยากรณ์ และตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด บทความนี้จะเจาะลึกถึงศักยภาพของดิจิทัลทวิน โดยเน้นย้ำถึงบทบาทอันทรงพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย
ดิจิทัลทวินคืออะไร: นิยามจากประสบการณ์ตรง
สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับคำว่า ดิจิทัลทวิน ผมขออธิบายในมุมมองที่เข้าใจง่ายที่สุด: ลองจินตนาการว่าคุณมี “คู่แฝดดิจิทัล” ของอาคารที่คุณกำลังสร้างหรือบริหารจัดการอยู่ คู่แฝดนี้ไม่ใช่แค่โมเดล 3 มิติธรรมดา แต่เป็นโมเดลที่ “มีชีวิต” สามารถรับรู้ข้อมูลการทำงานจริงของอาคารได้ตลอดเวลา ผ่านการติดตั้งเซ็นเซอร์ (IoT – Internet of Things) จำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งเข้าสู่แบบจำลองเสมือนจริง ทำให้คู่แฝดดิจิทัลนี้สามารถสะท้อนสภาพ ประสิทธิภาพ และพฤติกรรมของอาคารจริงได้อย่างแม่นยำ
กระบวนการหลักของดิจิทัลทวินประกอบด้วย 4 ขั้นตอนสำคัญที่ผมมักจะเน้นย้ำในการให้คำปรึกษา:
การรวบรวมข้อมูล (Sensing & Data Collection): เริ่มจากการติดตั้งอุปกรณ์ IoT และเซ็นเซอร์ต่างๆ อาทิ เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ ความชื้น การไหลของอากาศ การใช้พลังงาน และอื่นๆ บนสินทรัพย์จริง เพื่อจัดเก็บข้อมูลเชิงกายภาพแบบเรียลไทม์ รวมถึงการนำข้อมูลจากระบบเดิม เช่น BIM (Building Information Modeling), GIS (Geographic Information System) มาเป็นฐานข้อมูลตั้งต้น
การเชื่อมโยงข้อมูล (Connectivity & Integration): ข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์จะถูกส่งผ่านเครือข่ายไปยังแพลตฟอร์มคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บ ประมวลผล และเชื่อมโยงข้อมูลกับแบบจำลองดิจิทัล ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบสองทาง (Two-way communication) อย่างต่อเนื่อง
การวิเคราะห์และสร้างแบบจำลอง (Analysis & Modeling): ข้อมูลที่ไหลเข้ามาจะถูกประมวลผลและวิเคราะห์โดยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning เพื่อสร้างโมเดลพฤติกรรม ทำนายแนวโน้ม ระบุความผิดปกติ หรือจำลองสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ดิจิทัลทวินแตกต่างจากการจำลองสถานการณ์ (Simulation) ทั่วไป เพราะมันอิงจากข้อมูลจริงที่อัปเดตอยู่เสมอ
การตอบสนองและเพิ่มประสิทธิภาพ (Action & Optimization): ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์จะถูกนำไปใช้ในการตัดสินใจและสั่งการกลับไปยังสินทรัพย์จริง เช่น การปรับปรุงการทำงานของระบบปรับอากาศ การแจ้งเตือนเพื่อซ่อมบำรุงเชิงพยากรณ์ หรือการปรับกลยุทธ์การบริหารจัดการสินทรัพย์ในภาพรวม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
มิติใหม่ของ ดิจิทัลทวิน ในภาคอสังหาริมทรัพย์
ประสบการณ์ของผมแสดงให้เห็นว่า ดิจิทัลทวิน มีศักยภาพในการปฏิวัติภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ในทุกวงจรชีวิตของโครงการ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการบริหารจัดการระยะยาว:
การออกแบบและการก่อสร้าง: ลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพ
ในอดีต การก่อสร้างมักเผชิญกับความล่าช้าและงบประมาณบานปลายจากการวางแผนที่ไม่แม่นยำ ดิจิทัลทวินช่วยให้สถาปนิกและวิศวกรสามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติที่มีรายละเอียดครบถ้วน (โดยใช้ BIM เป็นฐานข้อมูลเริ่มต้น) และจำลองสถานการณ์การก่อสร้างจริงได้ล่วงหน้า เราสามารถติดตามความก้าวหน้า วิเคราะห์จุดบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ คาดการณ์ผลกระทบด้านต้นทุนจากการเลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกัน และแม้แต่ปรับเปลี่ยนแบบเพื่อให้สอดคล้องกับข้อจำกัดต่างๆ โดยไม่ต้องรอให้ปัญหาเกิดขึ้นจริง การใช้ ดิจิทัลทวิน ในขั้นตอนนี้ช่วยให้การบริหารจัดการก่อสร้างเป็นไปอย่างราบรื่น ลดการทำงานซ้ำซ้อน และเพิ่มคุณภาพของงานได้อย่างมหาศาล
การดำเนินงานและบำรุงรักษา: จากเชิงรับสู่เชิงรุก
นี่คือจุดที่ ดิจิทัลทวิน สร้างมูลค่าได้อย่างชัดเจนที่สุด ในอาคารเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ หรือแม้กระทั่งโครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม การตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบต่างๆ เช่น ระบบปรับอากาศ ลิฟต์ ระบบไฟฟ้าแบบเรียลไทม์เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดิจิทัลทวิน สามารถคาดการณ์ความต้องการบำรุงรักษาอุปกรณ์ก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น (Predictive Maintenance) ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ช่วยให้ผู้บริหารอาคารสามารถวางแผนซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมฉุกเฉิน และยืดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถบริหารจัดการพื้นที่เช่า และการใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ทั้งผู้เช่าและเจ้าของโครงการ นี่คือ โซลูชัน Digital Twin ที่แท้จริง
การควบคุมประสิทธิภาพการใช้พลังงาน: มุ่งสู่ความยั่งยืน
ด้วยความตระหนักถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Sustainability) ที่เพิ่มขึ้น ดิจิทัลทวิน กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการการใช้พลังงานในอาคาร เราสามารถติดตามการใช้พลังงานและ Carbon Footprint ของอาคารแบบเรียลไทม์ได้อย่างละเอียด วิเคราะห์รูปแบบการใช้พลังงาน คาดการณ์การใช้พลังงานในอนาคต และเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน เช่น การปรับอุณหภูมิอัตโนมัติตามสภาพอากาศและจำนวนผู้ใช้งานในอาคาร ระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคาร (Building Energy Management System) ที่ผสานรวมกับ ดิจิทัลทวิน ไม่เพียงช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการแข่งขัน
ความปลอดภัยและกฎระเบียบด้านอาคาร: การปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน
ความปลอดภัยของผู้ใช้งานคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด ดิจิทัลทวิน สามารถติดตามคุณภาพอากาศภายในอาคาร ตรวจจับจุดความร้อนหรือความชื้นที่อาจนำไปสู่ปัญหาโครงสร้าง หรือการเกิดอัคคีภัยแบบเรียลไทม์ รวมถึงการจำลองสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เส้นทางหนีไฟ ระบบเตือนภัย และการบริหารจัดการบุคลากรในเหตุการณ์คับขัน การใช้ Digital Twin สำหรับอาคารสำนักงานในไทย และโครงการสำคัญอื่นๆ ช่วยให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
การบริหารจัดการและการประเมินค่าสินทรัพย์: เพิ่มมูลค่าเชิงกลยุทธ์
ในเชิงของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ดิจิทัลทวิน ช่วยให้การประเมินมูลค่าอาคารเป็นไปอย่างแม่นยำมากขึ้นจากข้อมูลการใช้งานและประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่แค่การประเมินจากข้อมูลตั้งต้นเท่านั้น ผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลจาก ดิจิทัลทวิน ในการวิเคราะห์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการลงทุน การปรับปรุง หรือการขายสินทรัพย์ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด การบริหารจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) ด้วย ดิจิทัลทวิน จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับผู้พัฒนาอสังหาฯ ไทย ในการสร้างความได้เปรียบ
พลังแห่งการผสาน: ดิจิทัลทวิน และ AI
หากดิจิทัลทวินคือร่างกายที่รวบรวมข้อมูล AI คือสมองที่ทำให้ร่างกายนี้ฉลาดขึ้นและตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ประสบการณ์กว่าทศวรรษของผมชี้ชัดว่า การผสานกำลังระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลทวินและปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม (Game Changer) ที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 และในอนาคต
AI จะเข้ามาเสริมศักยภาพของ ดิจิทัลทวิน ในหลายมิติ:
การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์และเชิงแนะนำ (Predictive & Prescriptive Analytics): AI สามารถเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ ดิจิทัลทวิน รวบรวมมา เพื่อทำนายแนวโน้มในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการคาดการณ์ปริมาณผู้ใช้งานอาคารในแต่ละช่วงเวลา ความต้องการบำรุงรักษาเครื่องจักร หรือแม้กระทั่งการพยากรณ์ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ จากนั้น AI ยังสามารถเสนอแนะแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุงกระบวนการได้อย่างอัตโนมัติ
การจำลองสถานการณ์ที่ซับซ้อน (Advanced Scenario Modeling): ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่คาดเดาได้ยาก เช่น แผ่นดินไหว อัคคีภัย อุทกภัย หรือแม้แต่การแพร่ระบาดของโรค AI สามารถใช้แบบจำลอง ดิจิทัลทวิน เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของเหตุการณ์เหล่านั้นในหลากหลายฉากทัศน์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการตอบสนอง การอพยพ การบรรเทาผลกระทบ และการแก้ปัญหาสำหรับแต่ละเหตุการณ์ได้อย่างเหมาะสม ทำให้การบริหารความเสี่ยงมีประสิทธิภาพสูงสุด นี่คือข้อได้เปรียบที่ไม่อาจประเมินค่าได้
การเรียนรู้และปรับตัวอัตโนมัติ (Autonomous Learning & Adaptation): ระบบ AI ที่ฝังอยู่ใน ดิจิทัลทวิน สามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้แบบจำลองมีความฉลาดและแม่นยำยิ่งขึ้นตามกาลเวลา ตัวอย่างเช่น ระบบปรับอากาศที่เรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของผู้คนและสภาพอากาศ เพื่อปรับการทำงานให้ประหยัดพลังงานสูงสุดโดยอัตโนมัติ
การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการพื้นที่ (Space Optimization): ด้วย AI ที่วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานพื้นที่จาก ดิจิทัลทวิน ผู้บริหารสามารถเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้อย่างลึกซึ้ง และปรับผังพื้นที่ให้ตอบโจทย์ความต้องการ ลดพื้นที่ที่ไม่มีประสิทธิภาพ และเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการออกแบบและพัฒนาโครงการในอนาคต
สถานการณ์ ดิจิทัลทวิน ในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย: โอกาสและความท้าทาย
ในปัจจุบัน การนำเทคโนโลยี ดิจิทัลทวิน มาใช้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง เช่น อาคารสำนักงานเกรด A, โรงแรมหรู, และ Logistic Hub ขนาดใหญ่ ประสบการณ์ของผมบอกว่า สาเหตุหลักมาจากข้อจำกัดด้านการลงทุนที่ยังคงสูง ทั้งในส่วนของเทคโนโลยี ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และที่สำคัญคือ การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูลและการจัดการระบบขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอสังหาฯ ไทย กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในปี 2022 เราได้เห็นการก่อตั้งบริษัทเอกชนที่มุ่งเน้นธุรกิจด้าน ดิจิทัลทวิน เป็นหลักในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมการใช้งานด้านการบริหารอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม และการวางผังเมือง นี่เป็นสัญญาณที่ดีของการเติบโต
แม้ว่าผู้ประกอบการอสังหาฯ และก่อสร้างไทยส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างโมเดล 3 มิติของอาคาร แต่การจะก้าวไปสู่ ดิจิทัลทวิน ที่สมบูรณ์แบบนั้น ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์และปัญญาประดิษฐ์เข้ามาเสริม BIM ถือเป็น “input data” ที่มีค่ามหาศาล ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่ ดิจิทัลทวิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อนาคตที่ใกล้กว่าที่คิด: 2568 และ beyond
ผมเชื่อว่าการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI และ IoT ภายใต้ต้นทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งให้เกิดการนำ ดิจิทัลทวิน มาใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างกว้างขวางมากขึ้น
ขยายสู่โครงการหลากหลายประเภท: นอกเหนือจากโครงการเชิงพาณิชย์มูลค่าสูง เราจะได้เห็นการลงทุนด้าน ดิจิทัลทวิน ในโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ขนาดกลาง โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย และแม้กระทั่งโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Factory & Smart Industrial Estate) มากขึ้น ดิจิทัลทวิน กรุงเทพฯ และเมืองหลักอื่นๆ จะเป็นต้นแบบของการนำไปใช้งาน
Smart City Solutions: ดิจิทัลทวิน จะเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา Smart City Solutions ในประเทศไทย โดยเป็นแพลตฟอร์มที่รวมข้อมูลจากระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เข้าด้วยกัน เพื่อการบริหารจัดการเมืองอย่างอัจฉริยะ ตั้งแต่การจัดการจราจร การจัดการพลังงาน ไปจนถึงการตอบสนองต่อภัยพิบัติ
การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ผู้ประกอบการที่ริเริ่มนำ ดิจิทัลทวิน มาใช้ก่อน จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการดำเนินงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ หรือการสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ
บทบาทของที่ปรึกษา Digital Twin: ด้วยความซับซ้อนของเทคโนโลยี บริการที่ปรึกษา Digital Twin จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการเริ่มต้น หรือยกระดับการใช้ ดิจิทัลทวิน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวางแผน เลือก โซลูชัน Digital Twin ที่เหมาะสม และช่วยพัฒนาบุคลากร
ก้าวต่อไปสำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทย
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรม ผมขอแนะนำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเริ่มศึกษาความเป็นไปได้และเตรียมความพร้อมสำหรับยุคของ ดิจิทัลทวิน ดังนี้:
เริ่มจากการทดลองขนาดเล็ก (Pilot Projects): ไม่จำเป็นต้องลงทุนใหญ่ในทันที ลองเริ่มจากโครงการนำร่องในส่วนงานที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน เช่น การจัดการพลังงาน หรือการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ในอาคารใดอาคารหนึ่ง เพื่อเรียนรู้และสร้างความเข้าใจ
ร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญ: การทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญด้าน ดิจิทัลทวิน และ AI จะช่วยลดความซับซ้อนและเร่งการนำไปใช้ได้ การเลือกแพลตฟอร์ม IoT อสังหาฯ ที่เหมาะสมและน่าเชื่อถือก็เป็นสิ่งสำคัญ
ลงทุนในการพัฒนาบุคลากร: การมีทีมงานที่มีความรู้ความเข้าใจด้านข้อมูล การวิเคราะห์ และการบริหารจัดการเทคโนโลยี เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะพนักงานเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
บูรณาการข้อมูลที่มีอยู่: ใช้ประโยชน์จากข้อมูล BIM ที่มีอยู่แล้วให้เป็นฐานข้อมูลเริ่มต้น และวางแผนการเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบอื่นๆ เพื่อสร้าง ดิจิทัลทวิน ที่สมบูรณ์แบบ
มองเห็น ROI ระยะยาว: แม้การลงทุนเริ่มต้นอาจสูง แต่ผลตอบแทนในระยะยาวจากการประหยัดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง
ดิจิทัลทวิน ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นปรัชญาใหม่ในการบริหารจัดการสินทรัพย์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่จะนำพาเราเข้าสู่ยุคของการตัดสินใจที่ชาญฉลาด ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และมองการณ์ไกล ด้วยการผสานพลังของ AI และ ดิจิทัลทวิน เราสามารถสร้างสรรค์อสังหาริมทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในอนาคตได้อย่างแท้จริง การไม่ปรับตัวในวันนี้ อาจหมายถึงการเสียเปรียบในการแข่งขันที่รุนแรงในอนาคตอันใกล้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา ผมขอเชิญชวนผู้ประกอบการทุกท่านที่สนใจหรือกำลังมองหา โซลูชัน Digital Twin ที่ตอบโจทย์ธุรกิจ มาร่วมพูดคุยเพื่อวางแผนกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและก้าวหน้าไปด้วยกัน

