คลี่ปมการค้าไทย-สหรัฐฯ ปี 2025: เกินกว่าภาษี คือเกมภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องอ่านให้ขาด
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศมากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าจับตาพลวัตความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกามาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยที่ความร่วมมือเบ่งบาน หรือช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความท้าทาย บทบาทของทั้งสองประเทศในเวทีโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล้วนมีความสำคัญและซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะมองข้ามได้ ในช่วงปลายปี 2025 นี้ ประเด็นร้อนที่กลับมาจุดประกายความวิตกกังวลในหมู่ผู้ประกอบการและนักวางแผนนโยบายของไทยอีกครั้งคือ การที่สหรัฐฯ ระงับ การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ชั่วคราว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของตัวเลขภาษี หากแต่สะท้อนถึงเกมหมากรุกทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไทยต้องเดินเกมอย่างชาญฉลาด เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
สถานการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2025 ที่ผ่านมา โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เปิดเผยว่า สหรัฐฯ โดยรองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้แจ้งระงับการเจรจาภายใต้กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Agreement on Reciprocal Trade Framework) และตั้งเงื่อนไขให้ไทยกลับมาปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชาเสียก่อน ซึ่งท่าทีดังกล่าวแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแนวทางที่ไทยยึดมั่นมาตลอด นั่นคือการแยกประเด็นการค้าออกจากประเด็นความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งทวิภาคีกับกัมพูชา สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การหยุดชะงักทางเทคนิค แต่เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังใช้ประเด็นการค้าเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนวาระด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่ท้าทายต่อหลักการที่ไทยเชื่อมั่นมาโดยตลอด
เมื่อการค้าผูกโยงกับความมั่นคง: จุดยืนที่แตกต่างของสองพันธมิตร
จากประสบการณ์ในอุตสาหกรรม ผมขอยืนยันว่าการที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ นำประเด็นความมั่นคงระดับภูมิภาคมาผูกโยงกับการค้าโดยตรง เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างแรงกดดันได้อย่างมหาศาล และเป็นสิ่งที่เราได้เห็นชัดเจนขึ้นในยุคของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียว่าตราบใดที่ไทยและกัมพูชายังคงมีความขัดแย้ง การเจรจาการค้าก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ นี่คือการตอกย้ำว่า วอชิงตัน ดีซี มองเห็นภาพใหญ่ที่เชื่อมโยงกันหมด ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือความมั่นคง ในขณะที่ไทยยืนกรานมาโดยตลอดว่า ประเด็นความมั่นคงชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นเรื่องทวิภาคีที่ควรได้รับการแก้ไขผ่านกลไกที่มีอยู่และควรแยกขาดจากเรื่องผลประโยชน์ทางการค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งไทยและสหรัฐฯ
ความแตกต่างในจุดยืนนี้เองที่ทำให้ การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับทางตัน การที่สหรัฐฯ ได้ลงนามข้อตกลงการค้าต่างตอบแทนกับกัมพูชาไปแล้วเมื่อ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ไทยรู้สึกผิดหวังและมองว่าตนเองกำลังถูกเลือกปฏิบัติ หากไม่สามารถหาทางออกได้ทันภายในปี 2025 ตามเป้าหมายเดิม การที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทนที่อัตรา 19% เท่ากับกัมพูชา ยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสายตาของนักการค้าและผู้ประกอบการไทย การเผชิญหน้ากับมาตรการทางภาษีนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญยิ่ง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทาน: ความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสหรัฐฯ คือหนึ่งในพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของไทยมาอย่างยาวนาน ข้อมูลในปี 2024 ระบุว่าไทยมียอดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงถึง 57,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้า 16,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 41,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 1.3 ล้านล้านบาท และจัดอยู่ในอันดับที่ 10 ของโลกในฐานะประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้ง และความสำคัญของตลาดสหรัฐฯ ต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวมของไทย การหยุดชะงักของ การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นประเด็นที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคอุตสาหกรรมไทยหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องจักรกล หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
ในฐานะที่ปรึกษาด้าน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และ การบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจ ผมมองว่าสถานการณ์นี้จะสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุนต่างชาติที่กำลังพิจารณาขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เพราะความคลุมเครือเกี่ยวกับนโยบายภาษีและการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ อาจทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่งในภูมิภาค การมองหา โซลูชั่นห่วงโซ่อุปทาน ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่ภาคเอกชนไทยควรเร่งพิจารณา เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน รวมถึงการวิเคราะห์ตลาดส่งออกใหม่ๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ เพื่อให้ภาคธุรกิจไทยยังคงมีขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
กลยุทธ์ทางการทูตของไทย: การเดินหน้าสู่สันติภาพและการค้า
รัฐบาลไทยได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนในการรับมือกับสถานการณ์นี้ โดยเน้นย้ำถึงความพยายามที่จะแยกแยะประเด็นความมั่นคงชายแดนออกจาก การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ขณะเดียวกันก็มุ่งมั่นที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจากับกัมพูชาเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นทุ่นระเบิดที่ค้างคาและเป็นชนวนเหตุสำคัญของความตึงเครียดครั้งล่าสุด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2025 ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงจุดยืนและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเน้นย้ำว่าไทยได้ยึดมั่นในข้อตกลงสันติภาพมาโดยตลอด แต่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิด โดยเฉพาะประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ชายแดน ซึ่งปรากฏในปฏิญญาที่มาเลเซีย และการลักลอบติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ที่ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส นี่คือประเด็นหลักที่ไทยต้องการความรับผิดชอบจากกัมพูชา และเรียกร้องให้เปิดพื้นที่ 13 แห่งเพื่อให้ไทยเข้าดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองฝ่าย
การที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รับฟังและเข้าใจในประเด็นนี้ รวมถึงรับปากที่จะไปช่วยพูดคุยกับกัมพูชา โดยยืนยันว่าสหรัฐฯ และมาเลเซียพร้อมที่จะสนับสนุนกระบวนการสันติภาพโดยไม่แทรกแซงกลไกทวิภาคี ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าช่องทางการทูตยังคงเปิดกว้าง นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีอนุทินยังได้หารือกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งในฐานะประธานอาเซียน ได้แสดงความเข้าใจและรับปากที่จะช่วยหาแนวทางผลักดันกระบวนการสันติภาพต่อไป โดยคำนึงถึงข้อเสนอของฝ่ายไทย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของ การทูตไทย ในการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน ทั้งในระดับทวิภาคีกับสหรัฐฯ และกัมพูชา รวมถึงการใช้บทบาทของอาเซียนเพื่อสร้างแรงกดดันและหาทางออกร่วมกัน
อนาคตของความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ: โอกาสและอุปสรรค
คำถามสำคัญที่ยังคงค้างคาคือ โอกาสในการ “รีเซ็ต” ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะลดน้อยลงหรือไม่? ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) ซึ่งเกิดขึ้นในงานอาเซียนซัมมิตที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อปลายตุลาคม 2025 ในช่วงที่ทรัมป์เยือนมาเลเซีย MOU นี้มีศักยภาพที่จะช่วยให้ไทยพัฒนาภาคส่วนอุตสาหกรรมแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญอย่างมากในบริบทของ ห่วงโซ่อุปทานโลก และการแข่งขันทางเทคโนโลยีกับจีน การร่วมมือในสาขาใหม่ๆ เช่นนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันและเสริมสร้างความผูกพันทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากประเด็นการค้าแบบดั้งเดิม
ในฐานะพันธมิตรตามสนธิสัญญาเก่าแก่กว่า 200 ปี ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ มีรากฐานที่มั่นคง โดยมีสนธิสัญญามะนิลาปี 1954 เป็นฐานความมั่นคง และสนธิสัญญาไมตรีปี 1966 ที่ส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจสหรัฐฯ ในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน ศักยภาพการแข่งขัน ของไทยในภาคการผลิต การที่ไทยยังคงเป็นฐานสำคัญสำหรับการฝึกซ้อมรบร่วมที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ยิ่งตอกย้ำถึงบทบาททางยุทธศาสตร์ของไทย อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์นี้มักถูกทดสอบด้วยความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศของไทย ดังที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคยให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่าความไม่มั่นคงทางการเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ไทยไม่โดดเด่นในสายตาของสหรัฐฯ เท่าที่ควร
ดังนั้น การที่ไทยจะก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปได้ ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชา แต่ยังรวมถึงการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและการจัดการเลือกตั้งทั่วไปตามที่กำหนดไว้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลก และตอกย้ำสถานะของไทยในฐานะพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ
ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ: หนทางข้างหน้าสำหรับไทย
จากประสบการณ์ในแวดวงการค้าระหว่างประเทศ ผมมีข้อเสนอแนะที่สำคัญสำหรับทั้งภาครัฐและเอกชนไทย ในการรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้:
รักษาจุดยืนและเปิดช่องทางการทูต: ไทยต้องยืนยันในหลักการแยกประเด็นการค้าออกจากความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเปิดช่องทางการสื่อสารกับสหรัฐฯ ในทุกระดับ เพื่อทำความเข้าใจถึงแรงจูงใจที่แท้จริงเบื้องหลังนโยบายของสหรัฐฯ และแสวงหาจุดร่วมที่สามารถประนีประนอมกันได้ การใช้ บริการด้านกฎหมายการค้า และ ที่ปรึกษาการลงทุน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสหรัฐฯ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวิเคราะห์สถานการณ์และกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม
เร่งรัดการแก้ไขปัญหากับกัมพูชา: การแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาทุ่นระเบิดและข้อตกลงสันติภาพกับกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงให้สหรัฐฯ เห็นถึงความมุ่งมั่นของไทย และอาจนำไปสู่การฟื้น การเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ได้เร็วขึ้น การประสานงานกับมาเลเซียและประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เพื่อสร้างแรงกดดันให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงก็เป็นสิ่งจำเป็น
กระจายความเสี่ยงและสร้างความหลากหลายทางการค้า: แม้สหรัฐฯ จะเป็นตลาดสำคัญ แต่ไทยไม่ควรมุ่งพึ่งพิงตลาดเดียวมากเกินไป การเร่งเจรจา ความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าอื่นๆ การเปิดตลาดใหม่ๆ และการเข้าร่วมกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างเข้มแข็ง จะช่วยลดความเสี่ยงจากการผันผวนของนโยบายทางการค้าจากประเทศมหาอำนาจ การวางแผนภาษีระหว่างประเทศ และกลยุทธ์การส่งออกที่ยืดหยุ่น จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวได้เร็วขึ้น
เสริมสร้างความแข็งแกร่งภายใน: การพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมภายในประเทศ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการส่งเสริม โอกาสทางธุรกิจในไทย ที่สอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก เช่น เศรษฐกิจสีเขียว หรือเศรษฐกิจดิจิทัล จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว และลดการพึ่งพิงตลาดต่างประเทศ การบริหารจัดการภาษีศุลกากรอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นส่วนสำคัญ
ก้าวต่อไปของไทย: การสร้างสมดุลบนเวทีโลก
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ นโยบายการค้าต่างประเทศ และ นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ของไทยในยุคที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว การที่ไทยสามารถรักษาสมดุลระหว่างพันธมิตรเก่าแก่อย่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้ารายใหญ่อย่างจีนได้ ถือเป็นความท้าทายที่ต้องใช้ทั้งความละเอียดอ่อนทางการทูตและวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจที่กว้างไกล
ในมุมมองของผม ไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ของสหรัฐฯ และมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาค ความร่วมมือในประเด็นใหม่ๆ เช่น แร่ธาตุสำคัญ พลังงานสะอาด หรือเทคโนโลยีดิจิทัล อาจเป็นหนทางในการสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกและก้าวข้ามความขัดแย้งในปัจจุบันไปได้ สิ่งสำคัญคือการสื่อสารที่ชัดเจน ความสอดคล้องของนโยบาย และความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าบนผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ โดยไม่ทอดทิ้งหลักการสันติภาพและการแก้ไขปัญหาด้วยกลไกที่สร้างสรรค์
อย่าปล่อยให้ความไม่แน่นอนทางการค้ามาฉุดรั้งโอกาสธุรกิจของคุณ!
ในโลกที่ผันผวนเช่นนี้ การมีข้อมูลเชิงลลึกและกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งคือหัวใจสำคัญในการนำพาธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า หากคุณกำลังมองหา บริการที่ปรึกษาการค้า ที่เชี่ยวชาญด้าน การวิเคราะห์ตลาดส่งออก และ การบริหารจัดการภาษีศุลกากร หรือต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับ กลยุทธ์การส่งออก และ การวางแผนภาษีระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับความท้าทายในปัจจุบันและคว้าโอกาสในอนาคต ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาด้วยประสบการณ์กว่าทศวรรษในการนำพาทุกธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาส่วนตัวและวางแผนอนาคตทางการค้าของคุณอย่างมั่นใจ.
![D1210022 จฉาคนอ ไม วเอง [ตอน1] part2](https://dungthailan.vansonnguyen.com/wp-content/uploads/2025/12/image-454.png)
![D1210023 นอกกาย แค ความส ขช วคราว![ตอนจบ] part2](https://dungthailan.vansonnguyen.com/wp-content/uploads/2025/12/image-455.png)