การรื้อถอนเศรษฐกิจไทย 2025: กลยุทธ์พลิกโฉมชาติสู่การเติบโตยั่งยืน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจและการลงทุนมากว่าทศวรรษ ผมมองว่าปี 2568-2569 คือห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญสำหรับประเทศไทย ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่จะนำไปสู่รัฐบาลชุดใหม่ แต่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เราจะต้อง “รื้อถอน” และ “สร้าง” โครงสร้างทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ เพื่อหลีกหนีวังวนการเติบโตต่ำกว่า 1-2% ที่กัดกินศักยภาพของชาติมาอย่างยาวนาน บทความนี้จะเจาะลึกถึงวิกฤตเชิงโครงสร้าง กลยุทธ์พลิกฟื้น และบทบาทของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมมือกัน เพื่อพาประเทศไทยก้าวสู่ยุคใหม่ของการเติบโตที่ยั่งยืนและมั่นคง

วิกฤตเชิงโครงสร้างและโอกาสแห่งการพลิกฟื้น: มองจากจุดที่ GDP ต่ำ 1%
หากมองภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของไทย ณ ปี 2568 เรายังคงเผชิญกับความท้าทายที่หยั่งรากลึก การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่มีแนวโน้มต่ำกว่า 1-2% ต่อปี ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่น่าเป็นห่วง แต่เป็นสัญญาณเตือนภัยที่บ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าที่เคย การเติบโตระดับนี้แทบไม่เพียงพอสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ส่งผลให้รายได้ต่อหัวประชากรยังคงทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 7,000 กว่าเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพและเพื่อนบ้านในภูมิภาคที่กำลังก้าวแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ในฐานะนักลงทุน เราเห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคอุตสาหกรรม การค้า ไปจนถึงการบริโภคของประชาชน หากเรายังคงดำเนินนโยบายแบบเดิมๆ โดยปราศจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง เรากำลังเสี่ยงที่จะถอยห่างจากเวทีโลก และก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่
อีกหนึ่ง “กับดัก” สำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตคือ “หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ ปี 2568 หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง และเป็นปัจจัยหลักที่บั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด เมื่อประชาชนมีภาระหนี้สูง การจับจ่ายใช้สอยย่อมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่ารัฐบาลจะอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าใด หากไม่แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบและยั่งยืน มาตรการเหล่านั้นก็อาจเป็นเพียงยาแก้ปวดที่บรรเทาอาการชั่วคราว ไม่ได้รักษาที่ต้นตอของโรค การแก้ไขหนี้ครัวเรือนให้ลดลงสู่ระดับที่บริหารจัดการได้ เช่น 80% ของ GDP จึงเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและต่อเนื่อง
เข็มทิศใหม่เพื่อเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์ที่รอบด้านและมองการณ์ไกล ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จากประสบการณ์กว่าสิบปีในตลาดทุน ผมเชื่อว่ามีหลายประเด็นที่เราสามารถเร่งดำเนินการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาว
ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): พลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เป็นกุญแจสำคัญในการปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศให้ทันสมัยและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ณ ปี 2568 สถานการณ์โลกที่มีความเปราะบางและห่วงโซ่อุปทานที่กำลังปรับตัว ทำให้ไทยมีโอกาสดึงดูดการย้ายฐานการผลิต (Reshoring/Friendshoring) เข้ามาในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, ดิจิทัล, และการแพทย์ครบวงจร สิ่งที่เราต้องการคือกลไกการส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ไม่ใช่แค่ยอดตัวเลขการขอรับสิทธิประโยชน์ แต่คือการแปลงคำขอให้เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างงานที่มีคุณภาพ สิทธิประโยชน์ที่มอบให้ต้องดึงดูดใจคู่แข่งในภูมิภาค และต้องมาพร้อมกับความชัดเจนทางกฎระเบียบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ
ปลุกเครื่องยนต์ส่งออกและท่องเที่ยว: ปรับตัวสู่ตลาดโลก 2025
ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ยังคงเป็นสองเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย แต่รูปแบบการพึ่งพาตลาดเดิมๆ อาจไม่ยั่งยืนอีกต่อไป ณ ปี 2568 เราจำเป็นต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของเรา การลดการพึ่งพาตลาดขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และยุโรป โดยหันไปสำรวจศักยภาพของตลาดเกิดใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลาง พร้อมกับพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์เทรนด์โลก เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ESG), การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism), และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) จะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ การยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวให้พรีเมียมและยั่งยืน จะดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนได้อย่างทั่วถึง
เลิกนโยบายประชานิยม: สร้างวินัยทางการคลังระยะยาว
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา นโยบายประชานิยมมักเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ใช้งบประมาณมหาศาล แต่ผลลัพธ์มักไม่ยั่งยืน และก่อให้เกิดภาระทางการคลังในระยะยาว ณ ปี 2568 ที่งบประมาณของประเทศมีจำกัด รัฐบาลใหม่ควรหันมาเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ต้นตออย่างแท้จริง การจัดสรรงบประมาณอย่างมีวินัยและประสิทธิภาพ โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างนวัตกรรม จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้เศรษฐกิจในระยะยาว นโยบายที่สร้าง “พายุหมุน” ทางเศรษฐกิจที่แท้จริงคือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว ไม่ใช่การแจกจ่ายเงินที่หมดไปในระยะเวลาอันสั้น
ตลาดทุน: ขุมพลังแห่งการระดมทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นและตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับภาคเอกชน และเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มักถูกมองข้าม รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและส่งเสริมบทบาทของตลาดทุนให้มากยิ่งขึ้น ณ ปี 2568 การสร้างกลไกที่ทำให้ตลาดทุนสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ใช่แค่สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ แต่สำหรับประชาชนทุกระดับชั้น จะเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญ เมื่อตลาดหุ้นแข็งแกร่งและอยู่ในช่วงขาขึ้น จะเกิด “Wealth Effect” ที่ส่งผลให้ประชาชนที่มีส่วนร่วมในการลงทุนรู้สึกมั่งคั่งขึ้น และกล้าที่จะจับจ่ายใช้สอย ซึ่งจะกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและสร้างวัฏจักรเศรษฐกิจเชิงบวก การส่งเสริมความรู้ทางการเงินและการเข้าถึงตลาดทุนที่ง่ายขึ้น จะทำให้ตลาดทุนเป็นของทุกคนอย่างแท้จริง
เสถียรภาพการเมืองและประสิทธิภาพภาครัฐ: รากฐานที่ขาดไม่ได้
การเมืองนิ่ง ทีมเศรษฐกิจเอกภาพ: สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
เสถียรภาพทางการเมืองเป็นรากฐานสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ณ ปี 2568 ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกะทันหัน ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน การมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ นโยบายที่ต่อเนื่อง และทีมเศรษฐกิจที่มีความเป็นเอกภาพ สามารถประสานงานกันได้ทุกกระทรวง ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง การที่แต่ละพรรคแยกกันดูแลกระทรวงเศรษฐกิจ ทำให้การดำเนินนโยบายขาดทิศทางที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพต่ำ การมี “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่เข้มแข็งและสามารถกำกับดูแลได้ในภาพรวม จะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศ
ปฏิรูประบบราชการ: ลดทุจริต เพิ่มความคล่องตัว (Ease of Doing Business)
ปัญหาคอร์รัปชันและขั้นตอนการดำเนินงานของภาครัฐที่ยุ่งยาก ซับซ้อน เป็น “ต้นทุนแฝง” ที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมาโดยตลอด ณ ปี 2568 การปฏิรูประบบราชการให้เกิดความโปร่งใส ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และลดโอกาสในการทุจริตคอร์รัปชัน จึงเป็นสิ่งเร่งด่วน การผลักดันนโยบาย “Ease of Doing Business” อย่างจริงจัง รวมถึงการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ประกอบการไทยและนักลงทุนต่างชาติ สามารถเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนและสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ดีขึ้น
ภาคอสังหาริมทรัพย์: จุดเปลี่ยนแห่งความท้าทาย
ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ชัดเจนที่สุด ณ ปี 2568 ตลาดอสังหาฯ ไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายสูงสุดในรอบสองทศวรรษ ทั้งอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากสถาบันการเงินและศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างมาก และมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี ปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงคือ “ปัญหาหนี้ครัวเรือน” และ “ความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อ” ของสถาบันการเงิน ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อ หรือยอดกู้ไม่ผ่านสูงถึง 50-70% ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ฉุดรั้งกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัย
กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ชี้ประเด็นอย่างชัดเจนว่า หากรัฐบาลสามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ลดลงได้ ไม่เพียงแต่จะช่วยภาคอสังหาฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคในทุกธุรกิจอีกด้วย นโยบายการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง แม้จะช่วยกระตุ้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน การให้ AMC เข้ามาซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) จากสถาบันการเงิน อาจเป็นหนึ่งในแนวทางที่ช่วยบรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ในระยะสั้น
ปลดล็อกศักยภาพแรงงานและยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน:
นอกจากการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแล้ว การเพิ่มศักยภาพของประเทศด้วยการ “อัพสกิล” (Upskill) และ “รีสกิล” (Reskill) แรงงานไทยให้มีความสามารถที่ตลาดต้องการ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม New S-Curve และอุตสาหกรรมดิจิทัล จะช่วยยกระดับผลิตภาพแรงงานและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่ต้องการแรงงานที่มีคุณภาพ
ควบคู่ไปกับการลงทุนใน “เมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐาน” ขนาดใหญ่ ทั้งถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า และระบบโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงทั่วประเทศ จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค นอกจากนี้ การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ซึ่งไทยได้รับการยอมรับในฐานะ “เดสติเนชั่น” ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ควรเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง และชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาพักอาศัยระยะยาว ซึ่งจะสร้างรายได้ที่มั่นคงและกระตุ้นการบริโภคในประเทศอย่างยั่งยืน
กรณีศึกษาภูเก็ต: โมเดลการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวระดับโลก
จังหวัดภูเก็ตเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเมืองที่มีศักยภาพระดับโลก แต่กลับเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ณ ปี 2568 ภูเก็ตยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติจำนวนมหาศาล และมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลาง “Wellness Hub” และ “Regional Logistic Location” ของเอเชีย ด้วยจุดแข็งด้าน “Service Mind” ของคนไทยที่ไม่เป็นรองใคร
อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนนักท่องเที่ยวและผู้อยู่อาศัย ทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่จำกัดไม่สามารถรองรับได้ทันท่วงที ปัญหาจราจรติดขัด ขยะล้นเมือง น้ำประปาไม่เพียงพอ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนศักยภาพของภูเก็ต
ข้อเสนอแนะที่นักธุรกิจในภูเก็ตเรียกร้องมานานคือ การเร่งรัด “เมกะโปรเจกต์” โครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงข่ายถนน ทางด่วน และรถไฟฟ้า เพื่อจัดระเบียบการจราจรและพัฒนาเมืองให้เป็น Smart City อย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการจัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service)” ที่มีประสิทธิภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะช่วยลดความล่าช้าและเพิ่มโอกาสในการทำธุรกิจและการอยู่อาศัยระยะยาว
บทสรุปและก้าวต่อไปของประเทศไทย
ปี 2568-2569 จึงไม่ใช่แค่ปีแห่งการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่เป็น “โอกาสทอง” ที่ประเทศไทยจะต้องเร่งรื้อถอนและสร้างเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ เพื่อหลุดพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำ และก้าวสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงและมีการเติบโตที่ยั่งยืน การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน การดึงดูด FDI การปฏิรูประบบราชการ การส่งเสริมตลาดทุน และการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องทำ “วันนี้” ไม่ใช่ “พรุ่งนี้”
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในวงการ ผมเชื่อมั่นว่าศักยภาพของประเทศไทยยังมีอยู่อย่างมหาศาล หากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และการดำเนินนโยบายที่กล้าหาญและต่อเนื่อง เราจะสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาผงาดบนเวทีโลกได้อย่างแน่นอน
เราพร้อมที่จะร่วมสร้างอนาคตไทยที่แข็งแกร่งและยั่งยืนไปด้วยกันหรือยัง? โอกาสนี้อยู่ในมือของพวกเราทุกคน!
