• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

admin79 by admin79
December 8, 2025
in Uncategorized
0
D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทยปี 2568: ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ดึงดูดการลงทุน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการเศรษฐกิจและการเงินไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นถึงพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และตระหนักดีว่าปี 2568 นี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับทางแยกที่สำคัญยิ่ง การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่คือโอกาสทองที่เราจะต้องฉกฉวย เพื่อพลิกโฉมเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากวงจรการเติบโตที่เชื่องช้า และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว

บทเรียนจากอดีตชี้ชัดว่า การพึ่งพานโยบายระยะสั้น หรือการละเลยปัญหาเชิงโครงสร้างมาอย่างยาวนาน ได้ฉุดรั้งศักยภาพที่แท้จริงของประเทศไว้ ส่งผลให้เราติดอยู่ในกับดักการเติบโตต่ำกว่า 1-2% มาหลายปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เพียงพออย่างยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา หากไม่เร่งแก้ไข GDP ต่อหัวของคนไทยที่ยังคงอยู่ในระดับประมาณ 7,000 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯ จะยิ่งถ่างช่องว่างกับประเทศคู่แข่งออกไปเรื่อยๆ นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังชัดว่า “ทำแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว” เราจำเป็นต้องมีรัฐบาลใหม่ที่กล้าตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ และดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ: กุญแจสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญ หากเราต้องการให้ประเทศไทยกลับมาเติบโตได้ 3-4% ต่อปี หรือสูงกว่านั้น สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ การจัดการกับ “หนี้ครัวเรือน” ที่เป็นปัญหาเรื้อรังและเป็นตัวถ่วงสำคัญของกำลังซื้อและการลงทุนในประเทศมาตลอด จากประสบการณ์ ผมเห็นว่าปัญหานี้ซับซ้อนกว่าแค่การอัดฉีดเงิน แต่ต้องแก้ที่ต้นตอ ทั้งการสร้างวินัยทางการเงิน การส่งเสริมอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ และการปรับโครงสร้างหนี้ให้ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ให้กลับมาอยู่ที่ระดับ 80% ให้ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะหากเราไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ มันจะกลายเป็นกำแพงขวางกั้นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยากจะก้าวข้าม

นอกจากหนี้ครัวเรือนแล้ว เรายังต้องหันมาให้ความสำคัญกับการ “เพิ่มผลิตภาพ” ของประเทศ (Productivity) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการลงทุนในเทคโนโลยี การยกระดับทักษะแรงงาน และการปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนและการสร้างสรรค์นวัตกรรม

ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ (FDI): สร้างพลวัตใหม่ให้เศรษฐกิจ

เพื่อหลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตช้า เราจำเป็นต้องเร่ง “ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” (FDI) เข้ามาในประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve” ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เทคโนโลยีดิจิทัล ชีวภาพและเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมถึงพลังงานสะอาด สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่การอนุมัติสิทธิประโยชน์ BOI บนหน้ากระดาษ แต่เป็นการอำนวยความสะดวกอย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการขออนุญาตที่โปร่งใสและรวดเร็ว การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมเหล่านี้ เพื่อให้เงินลงทุนที่เข้ามาสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและโครงสร้างสินค้าส่งออกของเราได้อย่างแท้จริง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศบนเวทีโลก

ส่งออกและการท่องเที่ยว: เครื่องยนต์คู่ขนานที่ต้องติดเทอร์โบ

แม้ว่าการส่งออกและการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่เราไม่สามารถพึ่งพิงตลาดเดิมๆ หรือรูปแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่เคยเป็นผู้เล่นหลัก เราต้องเร่ง “แสวงหาตลาดใหม่ๆ” และ “พัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง” การมองหาโอกาสในภูมิภาคอาเซียน อินเดีย ตะวันออกกลาง หรือตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว

ในส่วนของการท่องเที่ยว เราต้องยกระดับจาก Mass Tourism สู่ “High-Value Tourism” และ “Wellness Tourism” ที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและกลุ่ม Digital Nomads จะช่วยเพิ่มรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยว และกระจายผลประโยชน์สู่ชุมชนท้องถิ่นได้กว้างขวางขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่รองรับการเติบโตของการท่องเที่ยวและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ทันสมัย การบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน และการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

เลิกนโยบายประชานิยม: สร้างเสถียรภาพทางการคลังระยะยาว

จากประสบการณ์ในอดีต ผมเห็นว่า “นโยบายประชานิยม” แม้อาจสร้างผลดีในระยะสั้น แต่กลับสร้างภาระทางการคลังมหาศาล และไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ต้นตอ หากเรายังคงดำเนินนโยบายในลักษณะที่ให้ยาแก้ปวด แทนการรักษาโรค รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องกล้าที่จะ “ลดและเลิกนโยบายที่สร้างภาระงบประมาณโดยไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน” แต่หันมาใช้นโยบายที่เน้นการลงทุนในการพัฒนาศักยภาพของคนและการสร้างโอกาส เช่น การส่งเสริมการศึกษา การฝึกอบรมทักษะแรงงาน การวิจัยและพัฒนา และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตที่แท้จริงและเป็นประโยชน์ต่อคนทุกกลุ่มในระยะยาว หากรัฐบาลสามารถทำได้เช่นนี้ เราจะได้เห็น “ตลาดหุ้นไทย” ตอบรับในเชิงบวกอย่างมีนัยยะสำคัญ จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ตลาดหุ้น: หัวใจของการระดมทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“ตลาดทุน” โดยเฉพาะ “ตลาดหุ้น” ถือเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับภาคธุรกิจ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา กลไกตลาดหุ้นไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มศักยภาพ ผมอยากเห็นรัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา “ตลาดทุนไทย” ให้มีความแข็งแกร่ง โปร่งใส และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักลงทุนทุกระดับ ไม่ใช่แค่กลุ่มผู้มีรายได้สูง การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การลงทุนในโลกยุคใหม่ (เช่น กองทุน ESG, หุ้นกลุ่ม New S-Curve) และการยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบ และเป็นเครื่องยนต์อีกตัวที่สำคัญในการกระตุ้นการบริโภค หากตลาดหุ้นขาขึ้น ผู้ที่ได้กำไรจากการลงทุนก็จะนำเงินมาใช้จ่าย หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ สร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้หลายรอบ

การเมืองนิ่ง ทีมเศรษฐกิจมีเอกภาพ: สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

สิ่งที่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต้องการมากที่สุดคือ “เสถียรภาพทางการเมือง” และ “ความต่อเนื่องของนโยบาย” การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง หรือการเปลี่ยนนโยบายกลับไปกลับมา ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่น และเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจลงทุนระยะยาว ผมอยากเห็นการรวมกลุ่มของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมั่นคง และมี “ทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ” สามารถกำกับดูแลกระทรวงเศรษฐกิจต่างๆ ได้อย่างบูรณาการ มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน และดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ความท้าทายในตลาดอสังหาริมทรัพย์: ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องเร่งแก้ไข

สำหรับ “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” นั้น จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุดในปี 2568 นี้ ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สูงที่สุดในรอบสองทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจากธนาคารต่างๆ ชี้ว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี สาเหตุหลักนอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังมาจาก “ปัญหาหนี้ครัวเรือน” ที่ส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างมาก จนเกิดปัญหายอดปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50-70% ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการมีที่อยู่อาศัยของประชาชนและการฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ

ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามา “แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน” อย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค และผ่อนคลายความตึงเครียดในตลาดสินเชื่อบ้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะกับภาคอสังหาฯ เท่านั้น แต่จะส่งผลดีต่อธุรกิจทุกประเภท เพราะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อในภาพรวมของประเทศ นอกจากนี้ นโยบายสนับสนุนภาคอสังหาฯ ควรเน้นไปที่การสร้างสมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าถึงได้สำหรับกลุ่มต่างๆ และการส่งเสริม “การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” เพื่อการเช่าหรือลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพ

Ease of Doing Business และการปราบปรามคอร์รัปชั่น: รากฐานของความโปร่งใส

ในฐานะผู้ประกอบการ ผมยืนยันว่าสิ่งที่อยากเห็นจากทุกรัฐบาลคือการยกระดับ “Ease of Doing Business” หรือความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งคนไทยและนักลงทุนต่างชาติสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น ไร้อุปสรรค ควบคู่ไปกับการ “ป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นในระบบราชการ” อย่างจริงจังและเด็ดขาด เพราะคอร์รัปชั่นคือต้นทุนแฝงที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างความไม่เป็นธรรม การที่ต้องใช้เวลานานในการติดต่อขอใบอนุญาต หรือต้องเผชิญกับขั้นตอนที่ซับซ้อน เป็นสิ่งที่ต้องเร่งปฏิรูปผ่านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในระบบราชการ การลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และการสร้างมาตรฐานความโปร่งใส

เพิ่มศักยภาพแรงงานสู่ S-Curve: การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์

เศรษฐกิจไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากเราสามารถ “เพิ่มศักยภาพของประเทศด้วยการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์” รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการ “Upskill และ Reskill” คนไทยให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม “อุตสาหกรรม S-Curve” การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อออกแบบหลักสูตรที่ทันสมัย การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรม

Wellness และ Regional Logistic Location: จุดแข็งที่ต้องคว้าโอกาส

ประเทศไทยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้าน “Wellness” และธุรกิจที่อิงการบริการ ด้วย Service Mind ของคนไทยที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก เราต้องใช้จุดแข็งนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริม “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” และการบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพระดับสากล เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการและพำนักระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มผู้เกษียณอายุที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก

นอกจากนี้ “ทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์” ของไทยในฐานะ Regional Logistic Location หรือศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอีกหนึ่งความได้เปรียบที่เราต้องพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ การลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง” ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางราง เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค จะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าและการลงทุน และทำให้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคอย่างแท้จริง

กรณีศึกษาภูเก็ต: ต้นแบบเมืองระดับโลกที่ต้องการเมกะโปรเจกต์

จังหวัดภูเก็ตเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน ในฐานะเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่ทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศ ภูเก็ตกำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ เช่น การจราจรติดขัด ปัญหาขยะล้นเมือง การขาดแคลนน้ำประปา และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว การบริหารจัดการภาครัฐที่ล่าช้าและซับซ้อนในการติดต่อขออนุญาตต่างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่บั่นทอนศักยภาพของพื้นที่

ข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ “การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service)” สำหรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการ ลดขั้นตอน ลดเวลา และสร้างความโปร่งใส นอกจากนี้ รัฐบาลต้องเร่งลงทุนใน “เมกะโปรเจกต์” ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า), ถนนและทางด่วนที่เชื่อมโยงทั่วทั้งเกาะ และระบบบริหารจัดการขยะและน้ำแบบครบวงจร เพื่อยกระดับภูเก็ตให้เป็นเมืองน่าอยู่และเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างแท้จริง ที่สามารถรองรับการเติบโตของประชากรและการท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืน

บทสรุปและอนาคตที่รออยู่

การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากรัฐบาลใหม่มีความกล้าหาญทางนโยบาย มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เราสามารถสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่ง มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีคุณภาพ และเป็นสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสได้อย่างเท่าเทียม

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่น ร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิมสำหรับประเทศไทยของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ศักราชใหม่แห่งความมั่งคั่งและยั่งยืน ด้วยการศึกษาข้อมูลเชิงลึก และร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างสรรค์นโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ!

Previous Post

D0512082 เธอถ กบ งค บให แต งงานก บเจ าชายน ทรา(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D0512083 มรดกมรณะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512082 เธอถ กบ งค บให แต งงานก บเจ าชายน ทรา(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512081 แม ใจย กษ งล กไปย งจะมาขอเง น(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512080 าดาเจอทายาทต วจร งท หายไป(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512079 เอาต งฝากก บคนพ การ(ละครส น) หน งส นด BSC part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.