พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 2569: ปฏิวัติโครงสร้าง ดึงดูดการลงทุนยุทธศาสตร์ สู่การเติบโตยั่งยืนในยุคใหม่
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเงินและเศรษฐกิจมานานกว่าทศวรรษ ผมมองว่าปี 2569 ไม่ใช่แค่เพียงการเปลี่ยนผ่านทางปฏิทิน แต่เป็นห้วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ เพื่อฉีกตัวเองออกจากวังวนของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า และทะยานสู่เวทีโลกได้อย่างเต็มศักยภาพ ความท้าทายที่เราเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่น่าผิดหวัง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง หรือการขาดแคลนการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า “วิถีเดิม” ไม่สามารถนำพาเราไปสู่ “อนาคตใหม่” ที่สดใสได้อีกต่อไป การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจังและรอบด้าน จึงเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่อาจรอช้าได้
ปลุกพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: ทลายกรอบ GDP ต่ำ และเร่งดึงดูดการลงทุน
ในบริบทของปี 2568-2569 และก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยพลวัตที่ซับซ้อน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานระดับโลก การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงการปฏิวัติทางเทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย หากเรายังคงปล่อยให้ GDP เติบโตเพียง 1-2% ต่อปี ตามที่ผู้บริหารระดับสูงในแวดวงการเงินหลายท่านได้เคยเตือนไว้ ประเทศไทยจะยิ่งถดถอยและล้าหลังกว่าคู่แข่งในภูมิภาคที่กำลังเร่งเครื่องอย่างไม่หยุดยั้ง การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจึงเป็นหัวใจสำคัญอย่างเร่งด่วน
หัวใจของการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดอยู่ที่การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีคุณภาพและตรงจุด ผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างชาติมองหาประเทศที่มีนโยบายที่ชัดเจน มีเสถียรภาพ และมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รัฐบาลใหม่ต้องกำหนดทิศทางการลงทุนให้ชัดเจน โดยมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ๆ ที่สอดรับกับกระแสโลก เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสะอาด เทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์สมัยใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การเร่งตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI แต่ต้องทำให้เกิดการลงทุนจริง การสร้างงานจริง และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ยั่งยืน การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน เช่น การลดขั้นตอนทางราชการที่ซับซ้อน การขจัดปัญหาคอร์รัปชัน และการมอบสิทธิประโยชน์ที่แข่งขันได้ในระดับภูมิภาค จะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุน
นอกจากนี้ การส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักที่พยุงเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด ยังคงต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมองหาตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากตลาดหลักเดิม การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าส่งออกด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการยกระดับประสบการณ์การท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงและมองหาคุณค่าที่ยั่งยืน จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาและขยายส่วนแบ่งการตลาดในเวทีโลก
ยุติประชานิยม: สร้างวินัยการคลัง และปลดล็อกศักยภาพตลาดทุน
ปัญหาที่กัดกร่อนรากฐานเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน คือนโยบายประชานิยมที่มักจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่คำนึงถึงภาระงบประมาณระยะยาวและความยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งท้ายที่สุดก็กลายเป็นการสร้างหนี้สาธารณะ และบั่นทอนขีดความสามารถในการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ ในปี 2569 รัฐบาลต้องแสดงความกล้าหาญทางการเมือง โดยการปรับลดหรือยกเลิกนโยบายประชานิยมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เชิงโครงสร้าง และหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด การบริหารงบประมาณอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการที่จะสร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม พลังงาน และการศึกษา จะเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต
ขณะเดียวกัน การปลดล็อกศักยภาพของตลาดทุนให้ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ไม่อาจมองข้ามได้ ตลาดหุ้นไม่ใช่เพียงแหล่งเก็งกำไรสำหรับคนรวย แต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่สามารถสร้างวัฏจักรแห่งการบริโภคและการลงทุนได้หลายรอบ เมื่อตลาดหุ้นคึกคัก ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดี ย่อมส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายและการบริโภคในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนให้มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และมีเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย เพื่อดึงดูดทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย และสร้างความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นในวงกว้าง
ท้าทายอสังหาริมทรัพย์: แก้หนี้ครัวเรือน และกระตุ้นกำลังซื้อ
ภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจที่สำคัญ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดในรอบ 20 ปี ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำหลายรายต่างส่งเสียงสะท้อนถึงปัญหายอดปฏิเสธสินเชื่อที่สูงถึง 50-70% ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับวิกฤต การจะกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัวได้ จำเป็นต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอคือ “หนี้ครัวเรือน” อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
รัฐบาลควรมีมาตรการเชิงรุกในการจัดการหนี้ครัวเรือน ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน และการส่งเสริมการออม เพื่อลดภาระทางการเงินของครัวเรือนให้ลดลงสู่ระดับที่เหมาะสม เช่นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าควรจะลดลงมาอยู่ที่ 80% ของ GDP การลดหนี้ครัวเรือนจะส่งผลดีต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น เพราะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคโดยรวม นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมา เช่น การลดค่าโอน-จดจำนอง แม้จะมีส่วนช่วยในระยะสั้น แต่ก็จำเป็นต้องมีนโยบายเชิงโครงสร้างระยะยาวที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น การสนับสนุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค การส่งเสริมการลงทุนในโครงการ Smart City หรือการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตต่างๆ ให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น
ปฏิรูปภาครัฐ: ขจัดคอร์รัปชัน สร้างความสะดวกในการทำธุรกิจ
หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุน คือปัญหาคอร์รัปชันในระบบราชการ และขั้นตอนการติดต่อราชการที่ซับซ้อน ล่าช้า ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติต่างประสบปัญหา “ต้นทุนแฝง” ในการขอใบอนุญาตต่างๆ ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นและขัดขวางการลงทุนอย่างรุนแรง ในปี 2569 รัฐบาลต้องแสดงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการขจัดปัญหาเหล่านี้ โดยเริ่มจากการปฏิรูปการบริหารภาครัฐ ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีประสิทธิภาพ
การผลักดันนโยบาย “Ease of Doing Business” ให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่คำกล่าวอ้าง แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิบัติการ การจัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service)” ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ซึ่งภาคเอกชนและนักลงทุนสามารถติดต่อขอรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐได้ทุกเรื่องในจุดเดียว จะเป็นก้าวสำคัญในการลดความยุ่งยากและลดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการภาครัฐ (e-Government) จะช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดโอกาสในการทุจริต และเพิ่มความรวดเร็วในการติดต่อประสานงานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในสายตานักลงทุนทั่วโลก
ยกระดับทรัพยากรมนุษย์: ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และศูนย์กลางโลจิสติกส์
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ประเทศไทยต้องลงทุนอย่างจริงจังในการ Up-skill และ Re-skill ประชากรให้มีความรู้ความสามารถที่สอดรับกับความต้องการของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ๆ การปรับปรุงระบบการศึกษาให้เน้นการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล จะช่วยสร้างแรงงานที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนที่สำคัญและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระยะยาว
ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นพระเอกในการสร้างรายได้เข้าประเทศมาโดยตลอด เราต้องเปลี่ยนจากการเน้นปริมาณ มาเป็นการเน้น “คุณภาพ” และ “มูลค่าเพิ่ม” การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่ม High-end ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและใช้จ่ายมากกว่า จะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและกระจายตัวสู่ชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบสาธารณสุข สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ และการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่ง จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกสำหรับนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูง
นอกจากนี้ ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทยในฐานะ “Regional Logistic Location” ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีศักยภาพอันมหาศาลในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าของภูมิภาค การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน ทางด่วน รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือน้ำลึก และการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้า และดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะประตูสู่ภูมิภาค
ภูเก็ตโมเดล: ต้นแบบเมืองระดับโลกที่ต้องการการปฏิรูป
กรณีศึกษาอย่างภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการ การเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกปี กลับมาพร้อมกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ ทั้งปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาน้ำประปาไม่พอใช้ และปัญหาด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ผู้บริหารในพื้นที่ต่างเรียกร้องให้มีการจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวอย่างแท้จริง เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อราชการให้แก่นักลงทุนและชาวต่างชาติ รวมถึงการลงทุนในเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่จะจัดระเบียบเมืองให้เป็น “Smart City” และเมืองน่าอยู่ระดับโลกอย่างแท้จริง
สิ่งที่ภูเก็ตเผชิญอยู่ ไม่ได้แตกต่างจากจังหวัดท่องเที่ยวหรือเมืองหลักอื่นๆ ทั่วประเทศ การขาดวิสัยทัศน์และการลงทุนเชิงโครงสร้างในระยะยาว ทำให้เมืองที่มีศักยภาพสูงต้องแบกรับภาระและปัญหาที่สะสม การปฏิรูปภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของเมืองต่างๆ ทั่วประเทศให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และแข่งขันได้ในระดับสากล
ก้าวสู่ทศวรรษใหม่ด้วยความกล้าหาญและวิสัยทัศน์
ปี 2569 คือปีแห่งการกำหนดทิศทางประเทศไทย เราไม่อาจยอมให้เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่ต่ำเพียง 1% หรือ 2% ได้อีกต่อไป การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การสร้างวินัยทางการคลัง การดึงดูดการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ การปลดล็อกศักยภาพตลาดทุน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจัง การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ และการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐาน คือเสาหลักที่เราต้องเร่งสร้างให้แข็งแกร่ง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพและโอกาสมหาศาล หากเรามีความกล้าหาญในการตัดสินใจ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกัน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ จะไม่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อส่งต่ออนาคตที่สดใส มั่งคั่ง และยั่งยืนให้กับลูกหลานไทย
เราทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ หากท่านเห็นพ้องกับแนวทางปฏิรูปเหล่านี้ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน มาร่วมกันศึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และผลักดันนโยบายที่จำเป็น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผงาดขึ้นเป็นผู้นำในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง

