พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 2025: กลยุทธ์ดูดลงทุน-ลดประชานิยม ปั้นตลาดทุนสู่การเติบโตยั่งยืน
ปี 2025 กำลังจะเป็นหมุดหมายสำคัญที่ท้าทายและเต็มไปด้วยโอกาสสำหรับประเทศไทย ท่ามกลางภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่ผันผวนและพลวัตทางการเมืองภายในประเทศที่กำลังก่อร่างสร้างตัว ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญยิ่ง การจะหลุดพ้นจากหล่มของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้าสู่การเป็นชาติที่มีรายได้สูงอย่างแท้จริงนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้อง “รื้อ” โครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่เพียงการปฐมพยาบาลตามอาการ แต่เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในแวดวงการเงินและการลงทุน ผมเห็นสัญญาณชัดเจนว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและกลยุทธ์ที่เฉียบคม เพื่อปูทางสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืน
ความเห็นพ้องจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจท้องถิ่น สะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังร่วมกันต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะนำมาซึ่งการบริหารจัดการประเทศที่แข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ และมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิม บทความนี้จะเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการในปี 2025 เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แท้จริง ทั้งการดึงดูดการลงทุน การปฏิรูปตลาดทุน การจัดการหนี้ครัวเรือน ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตและโครงสร้างพื้นฐาน
วิกฤต GDP ต่ำ 1% และความจำเป็นในการ “รื้อ” โครงสร้างเศรษฐกิจ
ในฐานะผู้คลุกคลีในแวดวงการเงินมาอย่างยาวนาน ผมได้เห็นพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทยผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัย และสิ่งที่น่ากังวลที่สุดในปัจจุบันคือภาวะ “เติบโตต่ำ” ที่กัดกินศักยภาพของประเทศ การที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 1-2% ต่อปีนั้น ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่น่าผิดหวัง แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ถึงการถดถอยเมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในภูมิภาค หากเรายังคงอยู่ในวงจรนี้ รายได้ต่อหัวประชากรไทยที่อยู่ในระดับประมาณ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ จะยิ่งถูกทิ้งห่างจากค่าเฉลี่ยของประเทศที่พัฒนาแล้วออกไปเรื่อยๆ
การเติบโตระดับนี้ไม่เพียงพอต่อการสร้างงานที่มีคุณภาพ การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือแม้แต่การชำระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลองนึกภาพประเทศที่ไม่มีกำลังพอจะลงทุนในอนาคตได้อย่างเต็มที่ นั่นคือสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ จากมุมมองของผม สิ่งที่เราต้องการคือการเติบโตที่ไม่ใช่แค่ปริมาณ แต่เป็นคุณภาพ การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และการยกระดับผลิตภาพโดยรวมของประเทศ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกล้าที่จะ “รื้อ” โครงสร้างเศรษฐกิจเก่าที่ล้าสมัย เพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับทศวรรษข้างหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เราเพิ่งได้ยิน แต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่รอคอยการแก้ไขอย่างจริงจังมานาน การผ่าตัดครั้งนี้ต้องครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การลดความเหลื่อมล้ำ ไปจนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจและการลงทุน
กุญแจสำคัญ: ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และปฏิรูปการส่งออก
หนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำคือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อย่างไรก็ตาม การดึงดูด FDI ในปี 2025 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราไม่สามารถพึ่งพาแรงงานราคาถูกหรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพียงอย่างเดียวได้อีกแล้ว โลกกำลังมองหาการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่เรียกว่า New S-Curve ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด หรืออุตสาหกรรมชีวภาพ
ในฐานะนักลงทุน ผมเห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ แต่เราต้องทำให้เห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าแค่ตัวเลขคำขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เราต้องสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ครบวงจร ตั้งแต่การมีแรงงานทักษะสูง กฎระเบียบที่เอื้ออำนวย โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ไปจนถึงการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวาง การดึงดูด FDI ไทย คุณภาพสูงจะนำมาซึ่งเทคโนโลยี องค์ความรู้ และโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการของเรา
นอกจากนี้ ภาคการส่งออก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของเศรษฐกิจ ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ การพึ่งพาตลาดดั้งเดิมอย่างสหรัฐฯ หรือยุโรปเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เราต้องแสวงหา ตลาดส่งออกใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่แอฟริกา ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น การปรับโครงสร้างสินค้าส่งออกให้มีความหลากหลายและสอดรับกับความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จะช่วยให้การส่งออกของไทยมีความยืดหยุ่นและเติบโตอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น
บทบาทสำคัญของตลาดทุน: กลไกระดมทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้น ไม่ใช่แค่สถานที่สำหรับนักลงทุนรายใหญ่ แต่เป็นหัวใจสำคัญในการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของประเทศ ในมุมมองของผม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในการเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การที่ตลาดหุ้นไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มศักยภาพ ถือเป็นโอกาสที่สูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย
หากรัฐบาลมีความเข้าใจและให้ความสำคัญกับตลาดทุนอย่างจริงจัง จะสามารถใช้กลไกนี้ในการสร้าง “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” ได้หลายระลอก เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วง ขาขึ้น ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนใน หุ้นไทย จะส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ “Wealth Effect” ที่กระตุ้นการบริโภคในระบบเศรษฐกิจทันที นักลงทุนที่ได้กำไรจากหุ้นมักจะนำเงินไปใช้จ่าย ซึ่งจะหมุนเวียนและสร้างงานในภาคส่วนอื่นๆ
การทำให้ ตลาดทุน เป็นของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้สูง เป็นสิ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการในปี 2025 การส่งเสริมการ วางแผนการลงทุน และ การเงินส่วนบุคคล ตั้งแต่ระดับฐานราก จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในตลาดหุ้น ทำให้ตลาดมีสภาพคล่องและเสถียรภาพมากขึ้น การปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความทันสมัย โปร่งใส และปกป้องนักลงทุนรายย่อย จะสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล
เลิกประชานิยม สู่การคลังที่ยั่งยืน
ประเด็นที่นักธุรกิจและนักลงทุนพูดถึงอย่างต่อเนื่องคือ นโยบายรัฐบาล ที่มักจะวนเวียนอยู่กับ “ประชานิยม” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอย้ำว่าแม้ว่านโยบายเหล่านี้อาจสร้างความพึงพอใจในระยะสั้น แต่กลับเป็นเหมือนยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์เพียงชั่วคราว ไม่ได้รักษาโรคที่เป็นต้นเหตุจริงๆ และยิ่งไปกว่านั้น ยังสร้างภาระให้ การคลังสาธารณะ ของประเทศในระยะยาว
ข้อจำกัดด้านงบประมาณของประเทศไม่ได้เอื้อให้เราดำเนินนโยบายในลักษณะนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องยอมรับความจริงว่าการใช้จ่ายที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างยั่งยืน มีแต่จะทำให้สถานะทางการคลังของเราอ่อนแอลง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต้องมุ่งเน้นที่ต้นตอของปัญหา เช่นเดียวกับการวินิจฉัยโรคแล้วต้องรักษาให้หายขาด ไม่ใช่แค่บรรเทาอาการ
การลดและเลิกนโยบายประชานิยมที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ว่ารัฐบาลมีความรับผิดชอบทางการคลังและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง การบริหาร เศรษฐกิจมหภาค ที่มีวินัยทางการเงินจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาครัฐลดลง และสร้างพื้นที่ทางการคลังสำหรับการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว
ความท้าทายของภาคอสังหาริมทรัพย์และวิกฤตหนี้ครัวเรือน
ภาค อสังหาริมทรัพย์ ของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์และธนาคารต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าทั้งอุปทานและอุปสงค์ลดลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ผมเห็นในตลาดอย่างชัดเจน ปัญหาสำคัญที่ฉุดรั้งการเติบโตของภาคอสังหาฯ คือ หนี้ครัวเรือน ที่อยู่ในระดับสูงอย่างน่าเป็นห่วง
ตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อ หรือ สินเชื่อบ้าน ที่สูงถึง 50-70% เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าความสามารถในการซื้อของประชาชนลดลงอย่างมาก หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไข จะไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะลามไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ทุกประเภท เพราะการที่ครัวเรือนมีหนี้สูง หมายถึงกำลังซื้อที่หายไปจากระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่ารัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างจริงจังและเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการปรับโครงสร้างหนี้เฉพาะหน้า แต่ต้องมีการให้ความรู้ทางการเงิน การส่งเสริมวินัยทางการออม และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นธรรม การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนให้กลับมาอยู่ในระดับที่ยั่งยืน (เช่น ต่ำกว่า 80% ของ GDP) จะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชน และเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟู ตลาดอสังหาฯ และภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ให้กลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
ปรับปรุง Ease of Doing Business และขจัดคอร์รัปชัน
ปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมาโดยตลอด คือความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ และปัญหา การแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ในระบบราชการ ผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติยังคงต้องเผชิญกับขั้นตอนที่ซับซ้อน ล่าช้า และมี “ต้นทุนแฝง” ในการติดต่อขออนุมัติ-อนุญาตต่างๆ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของความล่าช้า แต่เป็นการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และการทำให้ประเทศไทยไม่น่าดึงดูดในสายตานักลงทุนต่างชาติ
รัฐบาลในปี 2025 ต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการปรับปรุง Ease of Doing Business ไม่ใช่แค่บนกระดาษ แต่เป็นการปฏิบัติจริง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการอำนวยความสะดวก การลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และการสร้างระบบที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ จะช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ การขจัดปัญหาคอร์รัปชันใน ระบบราชการ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด ความโปร่งใสและธรรมาภิบาลเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน การที่นักลงทุนมั่นใจว่าสามารถเข้ามาทำธุรกิจในไทยได้อย่างยุติธรรมและเสมอภาค จะเป็นการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพและยั่งยืนเข้ามาในประเทศอย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
ยกระดับศักยภาพแรงงานและการท่องเที่ยว: สองเครื่องยนต์แห่งอนาคต
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค 2025 และปีต่อๆ ไป ต้องอาศัยการยกระดับ “สองเครื่องยนต์” สำคัญอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ ศักยภาพแรงงาน และ ภาคการท่องเที่ยว
การพัฒนาแรงงาน: ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ความต้องการ แรงงานมีทักษะ ที่สอดรับกับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตจึงเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลต้องลงทุนกับการ Upskill-Reskill คนไทย ให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรม S-Curve เช่น ทักษะด้านดิจิทัล AI วิศวกรรมขั้นสูง หรือวิทยาศาสตร์ข้อมูล การสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มผลิตภาพโดยรวมของประเทศ และดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
การท่องเที่ยว: ประเทศไทยมีแต้มต่อใน การท่องเที่ยวไทย ในฐานะหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แต่เราไม่สามารถพึ่งพาวิธีการแบบเดิมๆ ได้อีกแล้ว การส่งเสริมการท่องเที่ยวต้องมุ่งเน้นไปที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ การพัฒนา Wellness Tourism หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่ไทยมีจุดแข็งอย่างมาก ทั้งบริการด้านสุขภาพ การนวดแผนไทย และการต้อนรับแบบไทยๆ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าและดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง
ควบคู่ไปกับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ เราต้องเร่งลงทุนใน โครงสร้างพื้นฐาน ขนาดใหญ่ ที่จะรองรับการเติบโตของเมืองและการเชื่อมโยงกับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ท่าอากาศยาน หรือระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และดึงดูดนักลงทุนและชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาพักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย
กรณีศึกษาภูเก็ต: ต้นแบบและความท้าทายของการพัฒนาเมืองท่องเที่ยวระดับโลก
ภูเก็ตเป็นไข่มุกแห่งอันดามัน และเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่จากประสบการณ์ของผมและเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่ ภูเก็ตกำลังเผชิญกับปัญหาสะสมที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นปัญหารถติด ปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาน้ำประปาไม่พอใช้ หรือปัญหาด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว
สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือการปฏิรูป ระบบราชการ ในการติดต่อขออนุญาตต่างๆ ซึ่งมีความล่าช้าและซับซ้อนมากเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาสทางธุรกิจ และชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาพักอาศัยระยะยาวต้องประสบปัญหา ข้อเรียกร้องให้มีการจัดตั้ง One Stop Service หรือศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ที่ให้ภาคเอกชนและนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อขอใช้บริการภาครัฐได้ทุกด้าน ณ จุดเดียว ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ภูเก็ตยังขาด เมกะโปรเจกต์ ภาครัฐที่จะช่วยจัดระเบียบเมืองและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้ทัดเทียมกับสถานะเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า หรือระบบจัดการขยะและน้ำเสียที่ยั่งยืน การลงทุนเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื้อรัง พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนภูเก็ต และตอกย้ำภาพลักษณ์ของภูเก็ตในฐานะ “เมืองน่าอยู่และเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกอย่างแท้จริง”
ก้าวสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ปี 2025 เป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางแห่งการปฏิรูปอย่างกล้าหาญ การทำแบบเดิมๆ จะไม่นำพาเราไปสู่จุดที่เราต้องการอีกต่อไป เสียงจากผู้เชี่ยวชาญทุกภาคส่วนสะท้อนถึงความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การคลัง การบริหารราชการ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในแวดวงการเงิน ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด หากเรามีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ ทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ และที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในสังคม การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้อาจไม่ง่าย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คืออนาคตที่แข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืนสำหรับลูกหลานของเราทุกคน
อนาคตของเศรษฐกิจไทยในปี 2025 และปีต่อๆ ไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการรอคอย แต่ขึ้นอยู่กับการลงมือทำอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม เราทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางนี้ มาร่วมกันสร้างประเทศไทยที่แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น ด้วยวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง เพื่อปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของประเทศ และก้าวสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคอย่างเต็มภาคภูมิ

