พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 2025: กลยุทธ์ปฏิรูปโครงสร้าง ดึงดูดการลงทุนยั่งยืน และขับเคลื่อนตลาดทุนสู่ยุคใหม่
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการเงินและเศรษฐกิจไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงและพลวัตของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ปี 2025 นี้ ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนผ่านของปฏิทิน แต่คือห้วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกอันยิ่งใหญ่ ระหว่างการจมปลักอยู่กับปัญหาเชิงโครงสร้างเดิม ๆ หรือทะยานขึ้นสู่ศักยภาพที่แท้จริงในเวทีเศรษฐกิจโลก เสียงสะท้อนจากภาคเอกชน นักธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญ ล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “ถึงเวลาต้องรื้อและสร้างใหม่” หากเราต้องการหลุดพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำ และสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน
บทความนี้จะเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญที่ไทยต้องเร่งแก้ไข พร้อมนำเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจในอีกทศวรรษข้างหน้า โดยยึดหลักการที่ว่า การปฏิรูปต้องมาจากรากฐาน ไม่ใช่เพียงแค่การประคับประคอง
เขย่าโครงสร้างเพื่อหนีกับดัก GDP ต่ำ: วิกฤตหรือโอกาส?
หากเรายังคงดำเนินธุรกิจและบริหารประเทศในรูปแบบเดิม การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ 1-2% ต่อปี จะไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขที่น่าผิดหวัง แต่คือสัญญาณเตือนอันตรายที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างต่อเนื่อง จากประสบการณ์ที่ผมเห็นมา ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากกำลังแซงหน้าเราไปอย่างรวดเร็ว ด้วย GDP ต่อหัวของคนไทยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 8,000 เหรียญสหรัฐฯ เราไม่สามารถยอมรับการเติบโตในระดับนี้ได้อีกต่อไป เพราะมันหมายถึงการที่คุณภาพชีวิตของประชาชนจะไม่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และความเหลื่อมล้ำจะยิ่งถ่างออกไป
การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องจริงจัง โจทย์สำคัญคือการยกระดับผลิตภาพ (Productivity) ของประเทศให้สูงขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตจากเดิมที่พึ่งพาแรงงานเข้มข้น ไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้และนวัตกรรม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
ปัญหาหนี้ครัวเรือน: โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นของการบริโภค
หนึ่งในปัจจัยที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง คือปัญหาสินเชื่อหนี้ครัวเรือนที่พุ่งทะลุ 90% ของ GDP ซึ่งเป็นสถิติที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หนี้สินเหล่านี้ไม่ใช่แค่ภาระของแต่ละครอบครัว แต่เป็นเสมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น บีบรัดกำลังซื้อและศักยภาพการบริโภคภายในประเทศ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงภาคธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์
จากข้อมูลเชิงลึกที่ผมได้สัมผัส การที่สถาบันการเงินต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากความเสี่ยงด้านหนี้เสียที่สูง ทำให้ผู้ขอสินเชื่อถูกปฏิเสธสูงถึง 50-70% นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่าการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ใช่เพียงแค่การพักหนี้ หรือปรับโครงสร้างหนี้เฉพาะหน้า แต่ต้องเป็นการแก้ปัญหาแบบองค์รวมที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการให้ความรู้ทางการเงิน การส่งเสริมวินัยทางการเงิน และที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ให้กับประชาชน
รัฐบาลปี 2025 และต่อ ๆ ไป ควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดระดับหนี้ครัวเรือนลงมาอยู่ที่ 80% ของ GDP ให้ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ด้วยมาตรการที่ครอบคลุม ทั้งการส่งเสริมการออม การพัฒนากลไกตลาดรองสำหรับหนี้เสีย (เช่น AMC) และการสร้างอาชีพที่มีรายได้สูงขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอยและลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ
ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): แม่เหล็กแห่งนวัตกรรมและการผลิตแห่งอนาคต
การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการ “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S-Curve) ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งไม่ใช่แค่การลงทุนที่เพิ่มเม็ดเงิน แต่คือการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และกระบวนการผลิตสมัยใหม่เข้ามาในประเทศ เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการผลิตและเปลี่ยนโครงสร้างสินค้าส่งออกของไทยให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
หน่วยงานส่งเสริมการลงทุนอย่าง BOI มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง แต่ต้องปรับบทบาทจากผู้ให้สิทธิประโยชน์ มาเป็น “ผู้ขับเคลื่อนและอำนวยความสะดวกเชิงรุก” ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การรายงานตัวเลขยอดขอรับส่งเสริมการลงทุน แต่ต้องติดตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง การลงทุนยั่งยืนตามหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) ควรเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ FDI เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างรับผิดชอบ
นอกจากนี้ การพึ่งพิงตลาดส่งออกเดิม ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เราต้องแสวงหาตลาดใหม่ ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก เพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับภาคการส่งออกของไทย
ทิ้งนโยบายประชานิยม: สร้างวินัยทางการคลังเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าที่จะลด ละ เลิก นโยบายประชานิยมที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนต่อเศรษฐกิจของชาติ แม้ในระยะสั้นอาจดูเหมือนเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แต่ในระยะยาวกลับสร้างภาระทางการคลังที่หนักอึ้ง และไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ หากเราเปรียบเศรษฐกิจเป็นผู้ป่วย การให้ยาพาราเพื่อบรรเทาอาการปวดเพียงชั่วคราว ไม่ได้รักษาโรคให้หายขาด
วินัยทางการคลังคือเสาหลักสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และรักษาเสถียรภาพของประเทศ การจัดสรรงบประมาณต้องเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แทนที่จะเป็นการแจกจ่ายเงินที่หายไปในเวลาอันรวดเร็ว การปฏิรูปงบประมาณให้โปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด จะเป็นก้าวสำคัญสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง
ปลุกพลังตลาดทุน: หัวใจของการระดมทุนและกระจายความมั่งคั่ง
ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่แค่แหล่งลงทุนของชนชั้นสูงหรือผู้มีรายได้สูงอีกต่อไป แต่เป็น “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ” ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการระดมทุนและกระจายความมั่งคั่งสู่ประชาชนทุกระดับ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ผมเห็นว่ากลไกตลาดทุนไทยยังทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพเท่าที่ควร
รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศในปี 2026 ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง ด้วยการสร้างความเข้าใจ ส่งเสริมการเข้าถึง และสร้างกลไกที่ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์จากการเติบโตของบริษัทไทย การลงทุนหุ้นยั่งยืน (ESG Investment) ที่กำลังเป็นกระแสโลก ควรได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนคุณภาพสูงจากต่างชาติ
เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจะหมุนเวียนไปสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น นี่คือกลไกธรรมชาติที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้หลายรอบ หากได้รับการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดและโปร่งใส การพัฒนาตลาดทุนให้มีความทันสมัย มีนวัตกรรมดิจิทัล และกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการลงทุน จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจ และเป็นช่องทางให้ประชาชนไทยสามารถวางแผนการบริหารความมั่งคั่งของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เสถียรภาพการเมืองและทีมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง: รากฐานของความเชื่อมั่น
ปัจจัยสำคัญที่ไม่สามารถมองข้ามได้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจคือ “เสถียรภาพทางการเมือง” และการมี “ทีมเศรษฐกิจที่มีเอกภาพ” การเปลี่ยนแปลงนโยบายบ่อยครั้งตามการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล สร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการความแน่นอนและต่อเนื่องในการวางแผนธุรกิจระยะยาว
ในฐานะนักธุรกิจ ผมปรารถนาที่จะเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีพรรคการเมืองหลักที่สามารถคุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจได้อย่างเป็นเอกภาพ ไม่ใช่การแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบจนขาดทิศทางร่วมกัน หัวหน้าทีมเศรษฐกิจควรมีอำนาจและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนนโยบายมหภาคให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น
เมื่อการเมืองนิ่ง นโยบายเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่น กล้าที่จะลงทุนในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ภาคอสังหาริมทรัพย์: ฟื้นตัวอย่างชาญฉลาดในยุคดิจิทัล
ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ทั้งอุปทานและอุปสงค์ที่ลดต่ำลง ปัญหาหนี้ครัวเรือนและเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวด ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงเป็นประวัติการณ์ แม้มาตรการลดค่าโอน-จดจำนองจะช่วยได้บ้าง แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาปลายเหตุ
การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไป จะต้องมาพร้อมกับการปรับตัวอย่างชาญฉลาด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเทรนด์ใหม่ ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน (Green Building), Smart Home, และการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุและกลุ่มชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อ
รัฐบาลควรเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง อาทิ การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) เพื่อลดต้นทุนแฝงให้กับผู้ประกอบการ และการสนับสนุนกลไกที่ช่วยลดภาระหนี้ครัวเรือน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยของประชาชน และกระตุ้นตลาดโดยรวมให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง การวางแผนการพัฒนาเมืองและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว
ยกระดับศักยภาพแรงงานไทย: พลังขับเคลื่อน S-Curve ใหม่
เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วนคือการ “ยกระดับศักยภาพแรงงานไทย” การ Reskill และ Upskill พลเมืองของเราให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม New S-Curve และเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทักษะด้าน AI, Data Science, Cyber Security และ Green Technology
ผมเห็นว่าการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์คือกุญแจสู่การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว รัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษา ภาคเอกชน และสถาบันฝึกอบรม เพื่อออกแบบหลักสูตรที่ทันสมัยและตอบโจทย์ตลาดแรงงานแห่งอนาคต การสร้างบุคลากรที่มีความสามารถสูง ไม่ใช่แค่การดึงดูดการลงทุน แต่เป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับประเทศเอง
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism): พระเอกตัวจริงที่รอการเจียระไน
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้านการบริการและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ สำหรับนักเดินทางที่แสวงหาประสบการณ์ Wellness และ Medical Hub ทั่วโลก แต่ศักยภาพที่แท้จริงของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ยังไม่ถูกเจียระไนอย่างเต็มที่
เราต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับโลก พร้อมกับการพัฒนาบุคลากรด้านบริการให้มีคุณภาพสูงสุด และสร้างแพ็กเกจการท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจ เพื่อดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะชาวต่างชาติวัยเกษียณที่ต้องการมาพักอาศัยระยะยาว การโปรโมทให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางการแพทย์และ Wellness ระดับภูมิภาค” จะเป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุน
โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต: เชื่อมไทยสู่เวทีโลก
โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งทางถนน ทางรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า ท่าเรือ และสนามบิน ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเร่งรัด เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค” ที่สามารถเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับตลาดโลก
ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก กำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหาขยะล้นเมือง และปัญหาการขาดแคลนน้ำประปา รัฐบาลควรเร่งผลักดันเมกะโปรเจกต์ที่จำเป็น เช่น ถนน ทางด่วน รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพื่อจัดระเบียบเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ รวมถึงสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน การมีระบบคมนาคมขนส่งที่ดี ไม่เพียงแค่ลดต้นทุนโลจิสติกส์ แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ
ปราบทุจริตและลดขั้นตอนราชการ: สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการ และขั้นตอนการติดต่อขออนุญาตที่ยุ่งยากล่าช้า เป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ผมได้ยินเสียงสะท้อนจากนักธุรกิจมานับครั้งไม่ถ้วนว่า “ต้นทุนแฝง” เหล่านี้สร้างภาระและลดทอนโอกาสในการทำธุรกิจอย่างมหาศาล
รัฐบาลปี 2025 และต่อ ๆ ไป ต้องแสดงความจริงใจและความมุ่งมั่นในการปราบปรามการทุจริตอย่างเด็ดขาด พร้อมกับการปฏิรูประบบราชการให้มีความโปร่งใส รวดเร็ว และเป็นมิตรกับผู้ประกอบการ การจัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service)” ที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการอนุมัติ-อนุญาต จะเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มดัชนี Ease of Doing Business และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างแท้จริง
บทสรุปและคำเชิญชวน: ร่วมสร้างอนาคตไทย
ปี 2025 คือช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจครั้งสำคัญของประเทศไทย เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป หากเราต้องการหลุดพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำ และสร้างประเทศที่มั่งคั่ง ยั่งยืน และเป็นธรรมสำหรับคนไทยทุกคน
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนที่คลุกคลีในแวดวงธุรกิจมายาวนาน ผมเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและคนไทย เรามีทรัพยากร ความสามารถ และความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น สิ่งที่เราต้องการคือ “วิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ” “การลงมือทำที่จริงจัง” และ “ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่น มาร่วมกัน “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย” ด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและมั่นคงให้ลูกหลานของเราทุกคน
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ยุคใหม่ที่รุ่งเรืองและยั่งยืนไปพร้อมกัน!

