พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 2025: ปฏิวัติโครงสร้าง หลุดพ้นกับดัก GDP ต่ำ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคแห่งโอกาส
ในฐานะนักบริหารและผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการเงินและอสังหาริมทรัพย์ที่สั่งสมประสบการณ์มานับทศวรรษ ผมมองว่าปี 2025 นี้คือหมุดหมายสำคัญที่ประเทศไทยต้องก้าวข้ามจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ติดอยู่ในวังวนของอัตราการเติบโตต่ำกว่า 1-2% มายาวนาน ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกวันระหว่างการปล่อยให้เศรษฐกิจร่วงหล่นสู่กับดักประเทศรายได้ปานกลางอย่างสมบูรณ์ หรือการจะใช้โอกาสแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ เพื่อ “รื้อ” และ “สร้าง” โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ผมขอยืนยันว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญ และลงมือปฏิรูปอย่างจริงจัง
กับดัก GDP ต่ำ: โจทย์เร่งด่วนที่รอการแก้ไข
ประเด็นแรกที่เราต้องยอมรับคือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ของประเทศไทยที่วนเวียนอยู่เพียง 1-2% มาหลายปีนั้น ไม่เพียงพออย่างยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างเรา หากเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เรากำลังถูกทิ้งห่างอย่างน่าเป็นห่วง รายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per capita) ของคนไทยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐฯ สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ไม่ใช่แค่ปัญหาชั่วคราว การเติบโตในระดับนี้หมายถึงโอกาสที่จำกัด รายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้น และความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ถดถอยลงเรื่อยๆ
ในยุค 2025 ที่โลกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การ “รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็นเร่งด่วน” ที่รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด
ปลดล็อคหนี้ครัวเรือน: รากฐานสำคัญสู่การบริโภคที่แข็งแกร่ง
หนึ่งในปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและทำให้การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดคือ “ปัญหาหนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งสูงทำลายสถิติ แม้จะมีมาตรการเฉพาะหน้าออกมา แต่สถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยมีสัดส่วนเกิน 90% ของ GDP ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเกินไปและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เราเห็นผลกระทบโดยตรงจากการที่สถาบันการเงินต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงสูงถึง 50-70% นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็น “ปัญหาสังคม” ที่กระทบถึงกำลังซื้อของประชากรในทุกภาคส่วน หากประชาชนมีภาระหนี้สูง การจับจ่ายใช้สอยก็จะลดลง การลงทุนเพื่ออนาคตก็จะชะงัก การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงไม่ใช่แค่การช่วยเหลือลูกหนี้รายบุคคล แต่เป็นการ “ฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ” ทั้งระบบให้มีกำลังซื้อกลับคืนมา รัฐบาลต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนลงสู่ระดับที่ยั่งยืน อาทิ 80% ของ GDP ผ่านกลไกที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่การบรรเทาชั่วคราว แต่เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินในระยะยาว
ละเลิกประชานิยม: สร้างวินัยทางการคลังเพื่ออนาคต
ประสบการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “นโยบายประชานิยม” ที่มุ่งเน้นการแจกจ่ายเงิน หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะหน้า โดยปราศจากการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริงนั้น ไม่ได้นำมาซึ่งการเติบโตที่ยั่งยืน ซ้ำร้ายยังสร้างภาระงบประมาณระยะยาว และบ่อนทำลายวินัยทางการคลังของประเทศ แทนที่จะสร้างความเข้มแข็ง นโยบายเหล่านี้กลับทำให้เศรษฐกิจติดกับดักเดิมๆ วนเวียนอยู่กับการพึ่งพิงมาตรการระยะสั้น ซึ่งในที่สุดแล้วก็ “หายไป” โดยไม่ทิ้งมรดกทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม
ในยุค 2025 ที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง การมีวินัยทางการคลังเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การบริหารจัดการงบประมาณอย่างรอบคอบ การลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทนระยะยาว และการมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เป็นรากฐาน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลต้องมีวุฒิภาวะทางการเมืองที่จะตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะไม่เป็นที่นิยมในระยะสั้น เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศในระยะยาว
ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): พลิกโฉมโครงสร้างการผลิต
การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย การลงทุนจากต่างชาติไม่เพียงนำเม็ดเงินเข้ามา แต่ยังนำเทคโนโลยี Know-how และโอกาสในการเข้าถึงตลาดโลกใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ New S-Curve ที่ประเทศต้องการ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, ดิจิทัล, การแพทย์และสุขภาพ, และเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (Bio-Circular-Green Economy – BCG)
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมการลงทุนของ BOI จะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่าแค่ตัวเลขการยื่นขอสิทธิประโยชน์ แต่ต้องสามารถเปลี่ยนให้เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง สร้างงานที่มีคุณภาพ และถ่ายทอดเทคโนโลยีได้อย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลต้องปรับปรุงกลไกและกฎระเบียบให้มีความชัดเจน โปร่งใส และอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงานสะอาด โลจิสติกส์อัจฉริยะ และการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง
ตลาดหุ้น: หัวใจระดมทุนและเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ถูกมองข้าม
ตลาดหุ้นไทยควรเป็นมากกว่าแค่แหล่งเก็งกำไร ควรเป็น “หัวใจหลัก” ของการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็น “เครื่องยนต์” สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากบริหารจัดการอย่างถูกทิศทาง ตลาดทุนสามารถสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้หลายรอบ การที่ตลาดหุ้นขาขึ้นจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเมื่อนักลงทุนมีกำไร พวกเขามักจะใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหมุนเวียน แต่ที่ผ่านมา กลไกตลาดหุ้นไทยยังทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดสำหรับนักลงทุนรายย่อย และส่งเสริมให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น รวมถึงการยกระดับธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในตลาดทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ การทำให้ตลาดหุ้นเป็นของทุกคน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มบน จะช่วยกระจายความมั่งคั่งและสร้างฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เสถียรภาพการเมืองและทีมเศรษฐกิจเอกภาพ: กุญแจสู่ความต่อเนื่อง
ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการขาด “เสถียรภาพ” ของรัฐบาล เป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ การเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งที่นำไปสู่การเปลี่ยน “นโยบายเศรษฐกิจ” กะทันหัน ทำให้แผนการลงทุนระยะยาวของภาคเอกชนหยุดชะงัก และทำให้ประเทศไทยดูไม่น่าดึงดูดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีนโยบายต่อเนื่อง
ในยุค 2025 เราต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มี “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มีเอกภาพ สามารถกำหนดทิศทางและดำเนินนโยบายได้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ไม่ใช่การที่แต่ละพรรคแยกกันกำกับดูแลกระทรวงเศรษฐกิจโดยขาดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจควรมีอำนาจและวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุม สามารถบูรณาการนโยบายจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนวาระแห่งชาติได้อย่างราบรื่น ความมั่นคงทางการเมืองจะนำมาซึ่งความเชื่อมั่น และความเชื่อมั่นจะนำมาซึ่ง “การลงทุนและการเติบโต”
ปฏิรูปราชการและขจัดคอร์รัปชัน: สร้างสภาพแวดล้อมที่โปร่งใส
“ความสะดวกในการทำธุรกิจ” (Ease of Doing Business) เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติใช้ประกอบการตัดสินใจ การที่ประเทศไทยยังมีขั้นตอนราชการที่ซับซ้อน ล่าช้า และมีปัญหา “คอร์รัปชัน” แฝงอยู่ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งศักยภาพของประเทศ การต้องเผชิญกับต้นทุนแฝงในการขออนุมัติ-อนุญาตต่างๆ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการดึงดูดการลงทุน และลดทอนขีดความสามารถในการแข่งขัน
รัฐบาลใหม่ต้องให้ความสำคัญกับการ “ปฏิรูประบบราชการ” อย่างจริงจัง สร้างกลไกที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ยกตัวอย่างเช่น การจัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว” (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ซึ่งภาคเอกชนและนักลงทุนสามารถติดต่อราชการได้ครบวงจรในที่เดียว โดยไม่ต้องวิ่งรอกหลายหน่วยงาน และที่สำคัญที่สุดคือ การ “ปราบปรามการทุจริต” อย่างเด็ดขาดและต่อเนื่อง จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับธรรมาภิบาลของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
อสังหาริมทรัพย์: เผชิญความท้าทายสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ
ภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจที่สำคัญ กำลังเผชิญกับความท้าทายสูงสุดในรอบ 20 ปี ในปี 2025 เรายังคงเห็นแนวโน้มยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อที่อ่อนแอส่งผลให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงลิ่ว การกระตุ้นด้วยมาตรการลดค่าโอน-จำนองเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
การฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องเริ่มต้นจากการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ และต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อสร้างความต้องการใหม่ๆ การส่งเสริมการลงทุนใน “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการท่องเที่ยว” หรือ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ” (Wellness Real Estate) ที่รองรับชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูงทั่วโลก ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนตลาด
ยกระดับศักยภาพแรงงาน: สร้างบุคลากรแห่งอนาคต
การพัฒนา “ทรัพยากรมนุษย์” คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดสำหรับอนาคตของประเทศ ในยุค 2025 ที่โลกเข้าสู่ยุค AI และ Automation อย่างเต็มตัว ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแรงงานที่มีทักษะตรงกับความต้องการของ “อุตสาหกรรม New S-Curve” และตลาดโลก รัฐบาลควรเร่งส่งเสริมการ “Upskill และ Reskill” คนไทยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในทักษะด้านดิจิทัล เทคโนโลยีขั้นสูง วิทยาศาสตร์ข้อมูล และทักษะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสีเขียว
การสร้างระบบการศึกษาและการฝึกอบรมที่ยืดหยุ่น ทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม จะช่วยให้ประเทศไทยมี “บุคลากรแห่งอนาคต” ที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก และสามารถดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้ การมีแรงงานที่มีคุณภาพจะเป็นแม่เหล็กดึงดูด FDI และเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และโลจิสติกส์: จุดแข็งที่ต้องคว้าไว้
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในด้าน “การท่องเที่ยว” โดยเฉพาะ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” (Wellness Tourism) ซึ่งเป็นเทรนด์โลกที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยชื่อเสียงด้านการบริการของคนไทย และภูมิปัญญาด้านสุขภาพที่มีมาอย่างยาวนาน เรามีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลาง Wellness ของโลก รัฐบาลควรส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมนี้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการแพทย์และสุขภาพ ไปจนถึงการตลาดเชิงรุกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง
นอกจากนี้ ตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของไทยในฐานะ “ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค” (Regional Logistic Hub) ระหว่างเอเชียเหนือและใต้ เป็นอีกหนึ่งโอกาสทองที่เราต้องคว้าไว้ การลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง” ขนาดใหญ่ อาทิ รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน และท่าเรือน้ำลึก จะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระจายสินค้าและบริการ
ฟื้นฟูเมืองท่องเที่ยวระดับโลก: กรณีศึกษาภูเก็ต
จังหวัดภูเก็ตเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่กลับต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลัง ไม่ว่าจะเป็นปัญหารถติด ปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาน้ำประปาไม่เพียงพอ และปัญหาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว การที่นักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้าพื้นที่จำนวนมาก ยิ่งทำให้ปัญหาเหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้น
รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการ “ลงทุนในเมกะโปรเจกต์” เพื่อยกระดับภูเก็ตให้เป็นเมืองที่น่าอยู่และเป็น “เมืองท่องเที่ยวระดับโลก” อย่างแท้จริง การก่อสร้างถนน ทางด่วน รถไฟฟ้า การบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน และการจัดทำ “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว” (One Stop Service) สำหรับชาวต่างชาติและนักลงทุน จะช่วยแก้ปัญหาคอขวดเหล่านี้ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มาเยือนและผู้ประกอบการ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยภูเก็ต แต่ยังสะท้อนถึงศักยภาพการบริหารจัดการประเทศในภาพรวมอีกด้วย
บทสรุป: ถึงเวลาลงมือทำเพื่ออนาคตประเทศไทย
ปี 2025 คือปีแห่งโอกาสที่เราจะก้าวข้ามความท้าทายและสร้าง “อนาคตที่ยั่งยืน” ให้กับประเทศไทย ไม่ใช่แค่การฝันถึง แต่ต้องลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเด็ดขาด การละเลิกนโยบายประชานิยมเพื่อสร้างวินัยทางการคลัง การดึงดูด FDI ในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ การปลุกพลังตลาดทุนให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจ การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง การปฏิรูประบบราชการและขจัดคอร์รัปชัน การพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะแห่งอนาคต และการลงทุนในจุดแข็งของประเทศอย่างการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและโลจิสติกส์ คือ “หัวใจสำคัญ” ที่รัฐบาลและทุกภาคส่วนต้องร่วมกันผลักดัน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย แต่เราต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากเราสามารถร่วมกันสร้างวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและลงมือทำอย่างจริงจังในวันนี้ ประเทศไทยจะสามารถ “หลุดพ้นจากกับดัก GDP ต่ำ” และก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มั่งคั่งและยั่งยืนบนเวทีโลกได้อย่างแน่นอน
ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะกำหนดอนาคตของตัวเอง! หากคุณพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนและโอกาสทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ของไทย อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อร่วมปรึกษาหารือและสร้างสรรค์อนาคตไปด้วยกัน

