• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D0512041 อนบ านแทบตายส ดท ายไม ใช อต วเอง(ละครส น) หน งส นด BSC part2

admin79 by admin79
December 6, 2025
in Uncategorized
0
D0512041 อนบ านแทบตายส ดท ายไม ใช อต วเอง(ละครส น) หน งส นด BSC part2

พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย 2025: กลยุทธ์ก้าวพ้นกับดัก GDP ต่ำ สู่การลงทุนยั่งยืนและนวัตกรรม

ในฐานะนักบริหารธุรกิจการเงินและผู้คร่ำหวอดในวงการมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้ามองพลวัตทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศไทยอย่างใกล้ชิด และปี 2025 นี้ ถือเป็นห้วงเวลาแห่งการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศของเรา ภายใต้ภูมิทัศน์การเมืองที่กำลังจะผลัดเปลี่ยน เรายืนอยู่บนทางแยกที่ต้องเลือกว่าจะเดินหน้าด้วยความกล้าหาญเพื่อการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง หรือจะยอมติดกับดักการเติบโตต่ำที่คุกคามอนาคตของเรามานาน การปรับเปลี่ยนแนวคิดและนโยบายไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน หากเราต้องการเห็นเศรษฐกิจไทยก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ และยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในเวทีโลก

วิกฤต GDP ต่ำ: ความเร่งด่วนที่รอไม่ได้

ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ติดอยู่ในกรอบ 1-2% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำเกินไปสำหรับประเทศกำลังพัฒนาเช่นเรา การขยายตัวในระดับนี้ไม่เพียงพอที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร หรือสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่เพียงพอสำหรับคนรุ่นใหม่ เมื่อพิจารณาจาก GDP ต่อหัวที่ยังคงวนเวียนอยู่แถว 7,000 เหรียญสหรัฐฯ เราจะเห็นได้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “กับดักรายได้ปานกลาง” อย่างชัดเจน ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เราอาจถอยห่างจากประเทศเพื่อนบ้านและคู่แข่งในภูมิภาคที่กำลังเร่งเครื่องพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

การแก้ไขปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่การอัดฉีดเงินหรือกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ต้องเป็นการ “รื้อโครงสร้าง” ที่หยั่งรากลึก เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาบริหารประเทศในปี 2025 จึงต้องมีวิสัยทัศน์ที่กล้าหาญและพร้อมที่จะผลักดันการปฏิรูปอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่การประคับประคองไปวันๆ การที่เราจะกลับไปเห็นการเติบโตในระดับ 3-4% หรือมากกว่านั้นได้ จำเป็นต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมในหลายมิติ

กุญแจสำคัญ: ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) คุณภาพสูง

หนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่จะช่วยขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจได้คือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “อุตสาหกรรม S-Curve ใหม่” และ “เทคโนโลยีขั้นสูง” ที่ประเทศไทยต้องการ เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและสินค้าส่งออก การดึงดูดการลงทุนประเภทนี้จะนำมาซึ่งความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มผลิตภาพและมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทย สิ่งที่เราต้องการไม่ใช่แค่ตัวเลขคำขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่สวยหรู แต่เป็นการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง เกิดการจ้างงานที่มีคุณภาพ และสร้างห่วงโซ่มูลค่าให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ

รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุงสภาพแวดล้อมการลงทุนให้ดึงดูดและเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” ที่สอดรับกับเมกะเทรนด์โลก อาทิ “เศรษฐกิจสีเขียว” (Green Economy) “พลังงานหมุนเวียน” (Renewable Energy) “การผลิตอัจฉริยะ” (Smart Manufacturing) และ “เทคโนโลยีดิจิทัล” รวมถึงการสนับสนุน “การลงทุนยั่งยืน” (Sustainable Investment) ที่คำนึงถึงมิติ “ESG” อย่างจริงจัง เพื่อดึงดูดเงินทุนจากทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

ทิศทางการคลัง: ลดละเลิกนโยบายประชานิยม สู่ความยั่งยืนทางการคลัง

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราเห็นได้ชัดว่า “นโยบายประชานิยม” แม้จะได้รับความนิยมในทางการเมือง แต่กลับสร้างภาระทางการคลังอย่างมหาศาลและไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อเศรษฐกิจในระยะยาว นโยบายเหล่านี้มักเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้ยาแก้ปวดที่บรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุของโรค ในปี 2025 รัฐบาลต้องแสดงความกล้าหาญในการลดและเลิกนโยบายที่สิ้นเปลืองงบประมาณเหล่านี้ และหันมาให้ความสำคัญกับการ “ความยั่งยืนทางการคลัง” อย่างเคร่งครัด

การบริหารงบประมาณต้องมุ่งเน้นการลงทุนในโครงการที่มีผลตอบแทนสูงต่อเศรษฐกิจ เช่น “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่จำเป็น การวิจัยและพัฒนา (R&D) การพัฒนา “ทุนมนุษย์” และการส่งเสริม “นวัตกรรม” การจัดสรรงบประมาณต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส เพื่อให้มั่นใจว่าทุกเม็ดเงินภาษีที่จ่ายไปจะถูกนำไปใช้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ การมีวินัยทางการคลังจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต

ตลาดทุน: หัวใจสำคัญของการระดมทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“ตลาดหุ้น” และ “ตลาดทุน” เป็นมากกว่าแค่สถานที่ซื้อขายหลักทรัพย์ แต่เป็นกลไกสำคัญในการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและเป็นเครื่องยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้หลายรอบ หากได้รับการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่ควรให้ความสำคัญกับตลาดทุนมากกว่าที่ผ่านมา และปลดล็อกศักยภาพของกลไกนี้อย่างเต็มที่

เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นจะส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคในระบบเศรษฐกิจ ผู้ที่ได้รับกำไรจากการลงทุนมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายและลงทุนต่อ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมให้ประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ สามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับตลาดทุนได้มากขึ้น ผ่านการศึกษาความรู้ทางการเงินและนวัตกรรม “การเงินดิจิทัล” จะช่วยกระจายความมั่งคั่งและสร้างโอกาสในการลงทุนให้กับคนจำนวนมาก การพัฒนา “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” ที่รองรับการซื้อขายและการบริหารจัดการการลงทุนที่ทันสมัยจะยิ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดทุนไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล

ความมั่นคงทางการเมืองและทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง

เสถียรภาพทางการเมืองเป็นรากฐานสำคัญของความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ นโยบายที่เปลี่ยนไปมาตามการเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลบ่อยครั้งสร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนต่างชาติที่มองหาความต่อเนื่องและ predictable ในการดำเนินนโยบาย รัฐบาลในปี 2025 จึงต้องสร้างความมั่นคงทางการเมืองและทำให้มั่นใจว่านโยบายเศรษฐกิจหลักๆ จะมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่เริ่มต้นใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนขั้วอำนาจ

นอกจากนี้ การมี “ทีมเศรษฐกิจ” ที่เป็นเอกภาพและมีผู้นำที่สามารถกำกับดูแลและผลักดันนโยบายได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เราไม่สามารถปล่อยให้กระทรวงเศรษฐกิจต่างๆ ทำงานแบบแยกส่วน ไร้ทิศทางร่วมกันได้ การมี “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ และสามารถประสานงานกับทุกภาคส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการนำพาประเทศไทยไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างที่ต้องการ

โจทย์ใหญ่ “หนี้ครัวเรือน”: ปลดล็อกกำลังซื้อภาคประชาชน

ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่อยู่ในระดับสูงอย่างน่าเป็นห่วงเป็นเสมือนกับดักขนาดใหญ่ที่ฉุดรั้งกำลังซื้อของภาคประชาชน และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาค “อสังหาริมทรัพย์” หากเราไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจก็ยากที่จะเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ การตั้งเป้าลดหนี้ครัวเรือนลงมาที่ระดับ 80% ของ GDP เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องทำให้ได้ผลจริง ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

รัฐบาลใหม่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบและยั่งยืน อาทิ การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน การปรับโครงสร้างหนี้ การให้โอกาสในการหารายได้เพิ่ม และการสร้างกลไกที่ช่วยให้ครัวเรือนสามารถบริหารจัดการหนี้สินได้ดีขึ้น การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้ช่วยแค่ภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่ยังเป็นการ “เพิ่มกำลังซื้อ” ให้กับผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเมื่อประชาชนมีเงินเหลือมากขึ้น พวกเขาก็จะมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและลงทุนมากขึ้น

ปฏิรูปอสังหาริมทรัพย์: ฝ่าวิกฤต 20 ปี สู่โอกาสใหม่

ภาค “อสังหาริมทรัพย์” ของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่หนักหน่วงที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ ทั้งอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2025 สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบต่อเนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงถึง 50-70% ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวของตลาด

รัฐบาลต้องเข้ามามีบทบาทในการปลดล็อกปัญหาเหล่านี้อย่างเร่งด่วน นอกจากการแก้หนี้ครัวเรือนแล้ว มาตรการกระตุ้นที่ตรงจุด เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองที่ดิน ควรได้รับการพิจารณาและขยายระยะเวลาออกไป นอกจากนี้ การพิจารณาบทบาทของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในการซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) จากสถาบันการเงิน ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะช่วยลดภาระของระบบการเงินและเพิ่มสภาพคล่องในตลาด นอกจากนี้ การส่งเสริม “การก่อสร้างยั่งยืน” และ “การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์” ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในอนาคต เช่น “บ้านประหยัดพลังงาน” หรือ “โครงการผสมผสาน” (Mixed-use) จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในตลาด

ลดคอร์รัปชันและอำนวยความสะดวกการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business)

“ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ” (Ease of Doing Business) เป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญในการตัดสินใจลงทุนของนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติ ประสบการณ์จากภาคเอกชนชี้ให้เห็นว่าระบบราชการที่ซับซ้อน ล่าช้า และมี “ต้นทุนแฝง” จากการคอร์รัปชันเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การแก้ไขปัญหา “คอร์รัปชั่น” ในระบบราชการจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “ธรรมาภิบาล” แต่เป็นเรื่องของ “เศรษฐกิจ” โดยตรง

รัฐบาลปี 2025 ต้องมุ่งมั่น “การแปลงเป็นดิจิทัล” ของกระบวนการภาครัฐทั้งหมด เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และเพิ่มความโปร่งใส การจัดตั้ง “ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว” (One Stop Service) ที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่แค่การรวมหน่วยงานไว้ในที่เดียว แต่เป็นการบูรณาการข้อมูลและกระบวนการทำงาน เพื่อให้นักลงทุนสามารถติดต่อขอใบอนุญาตต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ลดโอกาสในการทุจริต และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในสายตานักลงทุนทั่วโลก

สร้างศักยภาพ “ทุนมนุษย์” รองรับเศรษฐกิจแห่งอนาคต

เศรษฐกิจไทยจะก้าวต่อไปอย่างรวดเร็วได้ ต้องอาศัยการพัฒนา “ทุนมนุษย์” ให้มีศักยภาพที่สูงขึ้น การ “Up-skill” และ “Re-skill” กำลังแรงงานไทยเพื่อรองรับ “อุตสาหกรรม S-Curve ใหม่” และ “เทคโนโลยีดิจิทัล” ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลก เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญสูงสุด การลงทุนในการศึกษา การฝึกอบรม และการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต จะช่วยให้แรงงานไทยมีทักษะที่นายจ้างต้องการ และสามารถปรับตัวเข้ากับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต

นอกจากนี้ การดึงดูดและรักษาบุคลากรผู้มีความสามารถสูงจากต่างประเทศ รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้เชี่ยวชาญชาวไทยที่ทำงานในต่างแดนกลับมาพัฒนาประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ควรพิจารณา การมี “แรงงานคุณภาพ” และ “ผู้ประกอบการที่มีนวัตกรรม” จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

การท่องเที่ยวและ Wellness: แม่เหล็กดึงดูดระดับโลก

ประเทศไทยมีจุดแข็งที่โดดเด่นในภาค “การท่องเที่ยว” และ “ธุรกิจบริการ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” (Wellness Tourism) ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก “Service Mind” ของคนไทยเป็นจุดได้เปรียบที่เราควรต่อยอด อย่างไรก็ตาม เราต้องมองไกลกว่าแค่ปริมาณนักท่องเที่ยว แต่ควรเน้นที่ “การท่องเที่ยวพรีเมียม” ที่สร้างรายได้สูงและส่งเสริมการพักอาศัยระยะยาว เช่น กลุ่มชาวต่างชาติวัยเกษียณที่มีกำลังซื้อสูง

การลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่รองรับการท่องเที่ยวคุณภาพสูงและกลุ่มผู้พักอาศัยระยะยาว รวมถึงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐานสากล เป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ การผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค” โดยใช้จุดที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของเราให้เป็นประโยชน์ ด้วยระบบคมนาคมขนส่งที่ดีเยี่ยม จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในหลายๆ มิติ

การพัฒนาภูมิภาค: บทเรียนจากภูเก็ต สู่เมืองระดับโลก

“ภูเก็ต” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีศักยภาพมหาศาลในการสร้างรายได้เข้าประเทศ แต่ในขณะเดียวกันก็กำลังเผชิญกับปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหาขยะล้นเมือง ปัญหาน้ำประปาไม่เพียงพอ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการ “พัฒนาภูมิภาค” อย่างเป็นระบบ

ข้อเสนอแนะที่สำคัญคือการผลักดัน “เมกะโปรเจกต์” ด้านโครงสร้างพื้นฐานในภูเก็ต เช่น ถนน ทางด่วน และระบบรถไฟฟ้า เพื่อจัดระเบียบเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ การจัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียวที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงสำหรับนักลงทุนและชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว จะช่วยอำนวยความสะดวก ลดปัญหาความล่าช้าจากระบบราชการ และดึงดูดการลงทุนให้เข้าสู่ “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” ได้อย่างเต็มที่ การทำให้ภูเก็ตเป็น “เมืองอัจฉริยะ” และเป็นเมืองที่น่าอยู่และน่าลงทุนอย่างแท้จริง จะเป็นต้นแบบของการพัฒนาภูมิภาคสู่ “เมืองระดับโลก” ได้

ก้าวต่อไปของประเทศไทย 2025: โอกาสในวิกฤต

ปี 2025 จึงเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทย เรายืนอยู่ท่ามกลางความท้าทายมากมาย แต่ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ หากรัฐบาลใหม่มีความกล้าหาญ วิสัยทัศน์ และความมุ่งมั่นที่จะทำการ “ปฏิรูปโครงสร้าง” อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูง การเลิกนโยบายประชานิยม การส่งเสริมตลาดทุน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การยกระดับ Ease of Doing Business และการพัฒนาทุนมนุษย์ เราจะสามารถก้าวพ้นกับดัก GDP ต่ำ และสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองและยั่งยืนให้กับประเทศไทยได้

ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาชน จะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง เปิดรับ “นวัตกรรม” และพร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกยุคใหม่ หากเราทำได้ ประเทศไทยจะกลับมาผงาดในเวทีโลกอีกครั้ง และอนาคตที่สดใสจะรออยู่ตรงหน้า

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอนาคตเศรษฐกิจไทย!

เราเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย หากคุณเป็นผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้สนใจในทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในยุค 2025 และต้องการข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม หรือคำแนะนำด้านการลงทุนที่สอดรับกับเมกะเทรนด์เหล่านี้ โปรดติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเรา เราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนวิสัยทัศน์และโอกาสทางธุรกิจของคุณ เพื่อสร้างความมั่งคั่งและยั่งยืนให้กับคุณและประเทศชาติร่วมกัน

Previous Post

D0512040 กสาวเศรษฐ กพ อค าขายไข (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post

D0512042 เศรษฐ ดเล อกผ บทอดมรดกด วยว (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Next Post
D0512042 เศรษฐ ดเล อกผ บทอดมรดกด วยว (ละครส น) หน งส นด BSC part2

D0512042 เศรษฐ ดเล อกผ บทอดมรดกด วยว (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D0512045 ากล วกว าผ เง นในบ ญช แหล ะ(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512047 ดเล อกล กเขยร านทอง(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512046 เป นคนใช ามสวยกว าค ณนาย(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512044 สอนล กให กลำบาก เม อไม เรา(ละครส น) หน งส นด BSC part2
  • D0512043 หลอกขายท เร ยนส แดง โดนหลอกกล บไม โกง (ละครส น) หน งส นด BSC part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.