วิกฤตเป็นโอกาส: พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค พลิกเกมอสังหาฯ สู่หมื่นล้านและรายได้ยั่งยืนปี 2569-2571
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานับทศวรรษ ผมคงต้องยอมรับว่าปี 2568-2569 เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งที่เราเคยประสบมา ไม่ใช่แค่จากปัจจัยเศรษฐกิจผันผวนเพียงอย่างเดียว แต่ยังพ่วงมาด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมักจะเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศ
ทศวรรษแห่งความท้าทายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย: บทเรียนและการปรับตัว
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ณ ปลายปี 2568 และต่อเนื่องไปถึงปี 2569 เผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ทั้งในมิติของอุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เรากำลังเห็นอัตราการเปิดตัวโครงการใหม่ที่หดตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ข้อมูลเชิงลึกจากผู้เล่นในตลาดบ่งชี้ว่าในปี 2568 จำนวนโครงการเปิดใหม่อาจอยู่ที่เพียง 30,000 หน่วย ขณะที่ความต้องการซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 46,000 หน่วย ตัวเลขนี้สะท้อนถึงช่องว่างที่น่ากังวลและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งตลาดได้อย่างรุนแรงหนีไม่พ้นสองเสาหลักคือ “เศรษฐกิจ” และ “การเมือง” ในมิติเศรษฐกิจนั้น เราเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงสร้างแรงกดดัน ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และที่สำคัญคือภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นครั้งแรกหรือต้องการขยับขยาย จึงจำเป็นต้อง “ชะลอการตัดสินใจซื้อ” ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เพราะไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินของตนเองและแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต
ส่วนเรื่อง “การเมือง” นั้นเป็นอีกตัวแปรที่เพิ่มความซับซ้อน ปัญหาการเปลี่ยนผ่านผู้นำ นโยบายที่ขาดความชัดเจนต่อเนื่อง และความผันผวนทางการเมืองที่ดำเนินมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้กัดเซาะ “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” และ “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างรวดเร็ว การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรหรือเพื่อปล่อยเช่าจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็หยุดชะงักลงอย่างเห็นได้ชัด การขาดรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ทำให้วิสัยทัศน์ระยะยาวของประเทศคลุมเครือ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางมรสุมที่พัดกระหน่ำนี้ ย่อมมีผู้เล่นที่มองเห็น “โอกาสในวิกฤต” และเตรียมพร้อมปรับกระบวนทัพเพื่อรับมือกับความท้าทาย ผมมองว่านี่คือช่วงเวลาที่ผู้นำในอุตสาหกรรมอย่าง “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” กำลังพิสูจน์ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนาน ด้วยการประกาศกลยุทธ์เชิงรุกสำหรับปี 2569 และเป้าหมายระยะกลางถึงปี 2571 ที่น่าสนใจ
Property Perfect’s Bold Vision for 2026: เป้าหมาย 1.1 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางสมรภูมิที่ท้าทาย
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศเป้ายอดขายในปี 2569 ไว้ที่ 11,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นยอดขายจากโครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เอง 9,000 ล้านบาท และจากโครงการคอนโดมิเนียมของ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออีก 2,000 ล้านบาท ตัวเลขนี้ดูทะเยอทะยานอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากภาวะตลาดที่ยังคง “หดตัว” แต่ในฐานะผู้ที่เข้าใจโมเดลธุรกิจของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ผมเชื่อว่าพวกเขามีแผนการที่รอบคอบและอาศัย “ประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ผนวกกับ “การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data-Driven)” ที่แม่นยำ
การใช้กลยุทธ์ Data-Driven ในยุคปัจจุบันไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค น่าจะใช้ข้อมูล Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างละเอียด การทำ Segmentation ตลาดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น การทำ Predictive Modeling เพื่อคาดการณ์ความต้องการในอนาคต และการปรับผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ Pain Points ของลูกค้าได้อย่างตรงจุดที่สุด สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถพัฒนากลยุทธ์การขายและการตลาดที่แม่นยำ ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยังมีกำลังซื้อหรือมีความต้องการที่แตกต่างกัน
Strategic Pillar 1: Reimagining Products & Enhancing Quality: นวัตกรรมที่อยู่อาศัยและการยกระดับคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์ชีวิตปี 2025-2026
หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายคือ “ผลิตภัณฑ์” และ “คุณภาพ” ที่แตกต่างและเหนือกว่า พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เข้าใจดีว่าในภาวะที่ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจ ทุกการลงทุนในที่อยู่อาศัยต้องคุ้มค่าและตอบโจทย์วิถีชีวิตในอนาคตได้อย่างแท้จริง
นวัตกรรมการออกแบบบ้านใหม่ในทุกเซกเมนต์: บริษัทมีแผนเปิดตัวแบบบ้านรุ่นใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ซึ่งไม่ใช่แค่การปรับโฉมภายนอก แต่เป็นการ “ปรับฟังก์ชันภายในให้มีขนาดใหญ่ขึ้น” และ “มีความยืดหยุ่น” รองรับการใช้งานที่หลากหลายในยุคปัจจุบันและอนาคต
พื้นที่อเนกประสงค์ (Multi-functional Spaces): ตอบโจทย์การทำงานที่บ้าน (Work From Home) ที่กลายเป็นวิถีใหม่ ด้วยห้องทำงานส่วนตัวที่เงียบสงบ หรือมุม Co-working ในบ้านที่สามารถปรับเปลี่ยนได้
การออกแบบเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Wellness & Sustainable Design): เน้นการใช้แสงธรรมชาติ ระบบระบายอากาศที่ดี การเลือกใช้วัสดุประหยัดพลังงาน และการเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน สิ่งเหล่านี้สอดรับกับเทรนด์ “อสังหาฯ ยั่งยืน” และความใส่ใจในสุขภาพของผู้อยู่อาศัย
Smart Home Technology: การผสานเทคโนโลยี “Smart Home Thailand” เข้าไปในบ้าน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน เช่น ระบบควบคุมแสงสว่าง อุณหภูมิ กล้องวงจรปิด และระบบล็อกอัจฉริยะ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เพิ่มมูลค่าและดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี
การรองรับสังคมสูงวัย (Aging Society): การออกแบบห้องนอนชั้นล่าง ทางลาด ห้องน้ำที่เข้าถึงง่าย หรือการเตรียมโครงสร้างสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือในอนาคต เป็นสิ่งที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในสังคมไทย
ความร่วมมือกับสถาปนิกทั้งภายในและภายนอก: การระดมสมองจากหลากหลายมุมมอง ช่วยให้ได้แบบบ้านที่มีความสดใหม่ ทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนของผู้บริโภคได้อย่างรอบด้าน
การควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างอย่างเข้มข้น: ในอุตสาหกรรมที่ความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มุ่งมั่นที่จะยกระดับ “คุณภาพก่อสร้างอสังหา” ด้วยการพัฒนากระบวนการตรวจสอบให้มี “มาตรฐานการก่อสร้าง” ที่สูงขึ้น ซึ่งรวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการติดตามงาน การตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม และการเน้นรายละเอียดตั้งแต่โครงสร้างไปจนถึงงานตกแต่ง การส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพไร้ที่ติ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและลดปัญหาหลังการขายในระยะยาว
Strategic Pillar 2: The Evolution of Community Living: จากสโมสร สู่ “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์ครบวงจร” (Health & Lifestyle Club)
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ฉลาดและตอบโจทย์เทรนด์โลกคือการปรับปรุงสโมสร 25 แห่งในโครงการ ให้กลายเป็น “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์” ที่ครบวงจร นี่ไม่ใช่แค่การมีฟิตเนสหรือสระว่ายน้ำทั่วไปอีกต่อไป แต่เป็นการสร้าง “Wellness Residence” หรือ “ที่อยู่อาศัยเพื่อสุขภาพ” อย่างแท้จริง
ทำไมต้องเป็น Health & Lifestyle Club: หลังจากสถานการณ์โรคระบาด ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพกายและใจมากขึ้น การมีพื้นที่ส่วนกลางที่ส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยยุคใหม่
บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยกระดับ:
โซนสุขภาพเชิงป้องกัน: ห้องโยคะ ห้องสปา ห้องทำสมาธิ หรือแม้แต่ Healthy Cafe ที่เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
พื้นที่ทำงานร่วมกัน (Co-working Spaces): ตอบรับเทรนด์ Hybrid Work ที่ผู้คนยังคงต้องการพื้นที่ทำงานนอกบ้านแต่ไม่ต้องเดินทางไกล
กิจกรรมส่งเสริมชุมชน: คลาสออกกำลังกาย กิจกรรมเวิร์คช็อป หรือพื้นที่จัดกิจกรรมสำหรับทุกวัย เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์และเสริมสร้างความผูกพันในหมู่ลูกบ้าน
การบริการสำหรับผู้สูงอายุและเด็ก: อาจรวมถึงการมีเจ้าหน้าที่ดูแลบางส่วน พื้นที่สำหรับเด็กเล็กที่มีพัฒนาการส่งเสริมการเรียนรู้ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้สูงอายุ
การสร้างมูลค่าเพิ่ม: การมี Health & Lifestyle Club ไม่เพียงแต่ยกระดับคุณภาพชีวิตของสมาชิกโครงการเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอสังหาริมทรัพย์ ทำให้โครงการมีความแตกต่างและน่าสนใจกว่าคู่แข่ง เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดัน “ยอดขาย” ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
Strategic Pillar 3: Building Resilience with Recurring Income: กลยุทธ์กระจายความเสี่ยง สร้างรายได้ประจำ 30% ภายในปี 2571
วิกฤตเศรษฐกิจสอนให้เราเห็นถึงความสำคัญของการ “กระจายความเสี่ยง” และการมี “รายได้ประจำ” เพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้วางแผนเชิงกลยุทธ์ในการสร้างฐานรากที่แข็งแกร่ง ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับ และ “ลงทุนธุรกิจ” ที่สามารถสร้างกระแส “รายได้ประจำ” (Recurring Income) โดยมีเป้าหมายที่ ambitious คือการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำให้ไม่น้อยกว่า 30% ภายในปี 2571 โดยไม่พึ่งพิงรายได้จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแต่เพียงอย่างเดียว
เหตุผลที่ต้องมี Recurring Income: รายได้จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมักมีความผันผวนสูงตามภาวะเศรษฐกิจและตลาด การมีรายได้ประจำที่สม่ำเสมอจะช่วยสร้างกันชนทางการเงินให้กับบริษัท ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้แม้ในสภาวะตลาดที่ชะลอตัว และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาธุรกิจเดียว
โอกาสในการสร้างรายได้ประจำ:
ธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality): แกรนด์ แอสเสทฯ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงแรมอยู่แล้ว นี่คือฐานรากสำคัญในการสร้างรายได้ประจำ
พื้นที่ค้าปลีกและสำนักงานให้เช่า: การพัฒนาพื้นที่ค้าปลีกขนาดเล็กภายในโครงการ หรืออาคารสำนักงานให้เช่าในทำเลศักยภาพ (ซึ่งเป็น High CPC keyword: “ลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน”, “ผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์”)
ธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์: การเติบโตของ E-commerce ทำให้ความต้องการคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คืออีกหนึ่งโอกาสที่น่าจับตา
การบริหารจัดการสินทรัพย์ (Asset Management): การนำความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์มาให้บริการบริหารจัดการโครงการหรือสินทรัพย์ของผู้อื่น
การลงทุนในบริษัทร่วมทุน (Joint Venture): การร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเฉพาะทาง เพื่อขยายพอร์ตการลงทุนและเพิ่มช่องทาง “รายได้ passive income อสังหา”
ความสำคัญของเป้าหมาย 30%: การมีรายได้ประจำในสัดส่วนที่สูงถึง 30% จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ สร้างความมั่นคงทางการเงิน และเป็นกลไกสำคัญต่อการเติบโตอย่าง “ยั่งยืน” ของบริษัทในระยะยาว ซึ่งนักลงทุนสถาบันต่างมองหาธุรกิจที่มีแหล่งรายได้ที่หลากหลายและมั่นคง
Beyond 2026: Factors for Long-term Sustainability and Growth: ก้าวต่อไปของอสังหาริมทรัพย์ไทย: ความยั่งยืนและโอกาสใหม่
เมื่อมองไกลออกไป พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ยังคงต้องจับตาปัจจัยสำคัญที่จะกำหนด “อนาคตอสังหาริมทรัพย์” ไทย
บทบาทของรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งปี 2569: หากได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มี “ทีมเศรษฐกิจ” ที่เข้มแข็ง และนโยบายที่ชัดเจนต่อเนื่อง จะเป็นกลไกสำคัญในการเรียก “ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” และนักลงทุนกลับคืนมา นโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การกระตุ้นกำลังซื้อ และการอำนวยความสะดวกสำหรับ “ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ” จะเป็นตัวแปรสำคัญ
ESG (Environmental, Social, Governance): แนวคิดเรื่องความยั่งยืนกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ “Green Building Thailand” และการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การดูแลสังคมรอบข้าง และการมีธรรมาภิบาลที่ดี ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแบรนด์ที่จะอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว
PropTech และ Digital Transformation: การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขาย การตลาด การบริหารจัดการโครงการ และการก่อสร้าง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ซึ่งเป็น “นวัตกรรมที่อยู่อาศัย” ที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์: สังคมสูงวัย ครอบครัวขนาดเล็กลง และจำนวนครัวเรือนคนเดียวที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อประเภท ขนาด และฟังก์ชันของที่อยู่อาศัยในอนาคต ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันกับ “แนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ 2569” และในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
สรุปบทเรียนและคำเชิญชวน
วิกฤตการณ์ที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยกำลังเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นบททดสอบที่สำคัญ แต่ในทุกความท้าทายย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยกลยุทธ์ที่รอบด้าน ทั้งการยกระดับผลิตภัณฑ์และคุณภาพ การสร้างสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบองค์รวมผ่าน Health & Lifestyle Club และการเสริมสร้างความมั่นคงด้วยการสร้างรายได้ประจำ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าการปรับตัวอย่างชาญฉลาดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เป็นหนทางรอดขององค์กรในสภาวะตลาดที่ผันผวน แต่ยังเป็นพิมพ์เขียวสู่การเติบโตอย่าง “ยั่งยืน” และ “ความมั่งคั่งอสังหาริมทรัพย์” ในอนาคต การไม่หยุดนิ่งในการเรียนรู้ พัฒนา และกล้าที่จะแตกต่าง คือหัวใจสำคัญของการยืนหยัดในอุตสาหกรรมนี้
หากท่านกำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ พร้อมนวัตกรรมเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่า หรือสนใจกลยุทธ์การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มั่นคงในระยะยาวจากบริษัทที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ผมขอแนะนำให้ท่านศึกษาโครงการและแผนงานของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค อย่างใกล้ชิด เพราะพวกเขาไม่ใช่แค่ผู้สร้างบ้าน แต่คือผู้สร้างอนาคตของการอยู่อาศัยในประเทศไทย
