ถอดรหัสอนาคต: เจาะลึกตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2569 ในสมดุลใหม่แห่งความท้าทายและโอกาส
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นภูมิทัศน์ของตลาดแห่งนี้พลิกผันไปมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ปี 2569 หรือปีมังกรไฟนี้ กำลังจะนำพาทุกท่านเข้าสู่บททดสอบที่แตกต่างออกไป นั่นคือ “ปีแห่งการประคับประคองบนสมดุลใหม่” ซึ่งผู้ประกอบการ นักลงทุน และแม้แต่ผู้บริโภคทั่วไป จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับคลื่นลมที่ยังคงพัดแรง และมองหาช่องทางแห่งโอกาสที่ซ่อนอยู่ในความไม่แน่นอน
สถานการณ์ของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2569 ไม่ได้เพียงสะท้อนภาพเศรษฐกิจมหภาคเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกเงาที่ส่องให้เห็นถึงพลวัตทางสังคมและการปรับตัวของผู้คน เรากำลังก้าวพ้นจุดต่ำสุดของวิกฤตหลายมิติ แต่การฟื้นตัวนั้นยังคงเปรียบเสมือนม้าที่เพิ่งลุกขึ้นยืนหลังเข้าเฝือก ไม่ใช่การกระโดดโลดเต้นอย่างที่เคยเป็นมา คำว่า “สมดุลใหม่” จึงเป็นหัวใจสำคัญ เพราะตลาดจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว
ภูมิทัศน์เศรษฐกิจไทย 2569: เบื้องหลังการขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ
ก่อนที่เราจะเจาะลึกไปที่อสังหาริมทรัพย์ เราต้องทำความเข้าใจเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อน นั่นคือ เศรษฐกิจไทย 2569 ที่ยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายทั้งภายในและภายนอก ประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะที่ต้อง “ประคับประคอง” ไม่ให้สะดุดล้ม โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินไว้เพียง 1.5-1.8% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพและไม่เพียงพอที่จะสร้างกำลังซื้อที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน
ปัจจัยภายนอก เช่น ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ ยังคงเป็นเมฆหมอกที่ปกคลุมบรรยากาศการลงทุน การส่งออกยังคงเผชิญแรงกดดัน แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนช่องว่างทั้งหมดได้ สำหรับ ปัจจัยภายใน ประเด็นหลักที่ฉุดรั้งคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ กำลังซื้อ ของประชาชนโดยรวมอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่แน่นอน การล่าช้าของงบประมาณภาครัฐ และความจำเป็นในการผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ให้เกิดผลจริง ยังเป็นสิ่งที่ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งแก้ไขเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการลงทุนจากภาคเอกชน การมีรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจนและมีนโยบายเศรษฐกิจที่เด็ดขาด ย่อมเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญต่อ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2569 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความท้าทายหลักที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญ
ในปี 2569 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทุกขนาดจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้ายหลายประการ ซึ่งนายอธิป พีชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ได้เน้นย้ำถึงคุณสมบัติ “อึด-ทน” ที่จำเป็นสำหรับปีนี้ ผมขอขยายความประเด็นเหล่านี้ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น:
กำลังซื้อที่อ่อนแอและเลือกมากขึ้น: อย่างที่กล่าวไปแล้ว กำลังซื้อ ของผู้บริโภคถูกบั่นทอนด้วยภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และความกังวลต่อรายได้ในอนาคต ผู้ซื้อจึงมีความรอบคอบมากขึ้นในการตัดสินใจ ยิ่งไปกว่านั้น สินค้าคงค้างในตลาดก็ยังมีอยู่พอสมควร ทำให้อัตราการดูดซับ (Absorption Rate) ยังต่ำเพียงประมาณ 2% ต่อเดือน ผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ “กำลังซื้อจริง” มากกว่าความคาดหวังลมๆ แล้งๆ โดยอาจต้องพิจารณาปรับขนาดโครงการ ลดราคาต่อหน่วย และออกแบบที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับโครงสร้างครอบครัวและกำลังผ่อนชำระในระยะยาว
ความเข้มงวดของสถาบันการเงิน: นี่คือ คอขวดสำคัญของระบบ ในปัจจุบัน อัตราการปฏิเสธ สินเชื่อที่อยู่อาศัย ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 40% แม้จะมีความต้องการซื้อจริงแต่ก็ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ซื้อและผู้ประกอบการ ธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ต้องลงทุนก่อสร้างทั้งอาคารพร้อมกัน ทำให้การพึ่งพา Project Finance เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แตกต่างจากบ้านจัดสรรที่สามารถพัฒนาเป็นเฟสได้ การที่ธนาคารพาณิชย์จะกลับมาแข่งขันในตลาดสินเชื่อมากขึ้นอย่างที่นายอิสระ บุญยัง คาดการณ์ไว้ อาจต้องใช้เวลาและต้องมาพร้อมกับสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนกว่านี้
แหล่งเงินทุนทางเลือกที่ซับซ้อนขึ้น: นอกจากสินเชื่อจากธนาคาร การระดมทุนผ่านหุ้นกู้ก็เป็นอีกช่องทางที่ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ขนาดใหญ่ใช้ แต่ในปี 2569 นี้ นักลงทุนจะระมัดระวังมากขึ้น ใครที่คิดจะออกหุ้นกู้จะต้องมีเครดิตและความน่าเชื่อถือที่แข็งแกร่งจริงๆ ไม่เช่นนั้นอาจไม่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างที่คาดหวัง ซึ่งนายอธิปได้เปรียบเทียบว่าบางครั้งออก 3,000 ล้านบาท อาจได้แค่ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น นี่คือความท้าทายที่บริษัทเล็กต้องระวังอย่างมาก เพราะหากบริษัทใหญ่สะดุด บริษัทเล็กก็ย่อมได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่
พลวัตของอุปทานและอุปสงค์: การแข่งขันที่เบาบางลง?
นายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์อีกท่านของสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร มองว่าในปี 2568 นั้นถือเป็นปีที่ซัพพลายที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเปิดตัวต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี โดยมีโครงการรวมเพียงกว่า 40,000 หน่วย การโอนกรรมสิทธิ์ก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ปี 2568 เป็น “ฐานต่ำ” หากมองในแง่บวก การที่ อุปทานอสังหาริมทรัพย์ ใหม่ลดลงอย่างมาก ย่อมส่งผลให้การแข่งขันในปี 2569 ไม่รุนแรงเท่าปีก่อนหน้า ถือเป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการเพื่อรักษาสมดุลของตลาด
แม้ว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2569 อาจขยายตัวได้ 5-10% จากฐานที่ต่ำ แต่ก็ยังคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดถึงกำลังซื้อที่แท้จริงในแต่ละเซ็กเมนต์ นายอิสระยังประเมินว่าโครงการทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 1.5 ล้านบาทในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะค่อยๆ หายไป เนื่องจาก ราคาที่ดิน ที่สูงขึ้น ทำให้ คอนโดมิเนียม ในย่านชานเมืองเข้ามาทดแทน เช่นเดียวกับตลาด อสังหาฯ ภูมิภาค ที่การฟื้นตัวจะแตกต่างกันไปตามศักยภาพของแต่ละจังหวัด อาทิ อสังหาฯ เชียงใหม่ ที่พึ่งพิงการท่องเที่ยว หรือ อสังหาฯ ภูเก็ต ที่ตลาดต่างชาติยังคงแข็งแกร่งกว่า
สำหรับ อสังหาฯ กรุงเทพฯ และ อสังหาฯ ปริมณฑล โดยเฉพาะ โครงการบ้านใหม่ ที่เน้นความคุ้มค่าและเข้าถึงง่าย จะยังคงได้รับความสนใจ แต่ก็ต้องแข่งขันกับสต็อกคงค้างและ ตลาดบ้านมือสอง ที่ผู้ขายจำนวนมากจำเป็นต้องระบายทรัพย์สินออกไปเพื่อลดภาระหนี้ การพัฒนา คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ยังคงเป็นจุดแข็งในทำเลที่มีศักยภาพ แต่ก็ต้องพิจารณาเรื่องราคาและขนาดห้องที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ
กลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการ: Upskill สู่ความยั่งยืน
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ได้ให้นิยามปี 2569 ว่าเป็นปีที่ เศรษฐกิจฟื้นช้า อสังหาริมทรัพย์ประคองตัวสร้างฐานให้มั่นคง ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง และขอเน้นย้ำถึงแนวทางการปรับตัวที่สำคัญสำหรับ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์:
บริหารสภาพคล่องอย่างเข้มงวด: “เงินสดคือพระราชา” ในภาวะที่ตลาดผันผวน การบริหารกระแสเงินสดและสภาพคล่องอย่างมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ชะลอการลงทุนที่ไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเกินตัว
Upskill สู่ Sustainable Development in Action: ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยกระดับศักยภาพองค์กร สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน การพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ Low Carbon Living หรือการอยู่อาศัยที่ลดการปล่อยคาร์บอน ไม่ใช่แค่เทรนด์แต่เป็นความจำเป็นที่สอดคล้องกับความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภคยุคใหม่ และยังเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการในระยะยาวได้อีกด้วย เช่น การใช้พลังงานทางเลือก, วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, หรือการออกแบบที่ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน
ออกแบบให้สอดรับกำลังซื้อจริงและโครงสร้างครอบครัว: การทำวิจัยตลาดเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคเป็นสิ่งจำเป็น การออกแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ Multi-generational living, Work-from-home space, หรือ Smart Home Technology จะเป็นปัจจัยที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับโครงการ
แสวงหาโอกาสในตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market): แม้ตลาดโดยรวมจะชะลอตัว แต่ยังมีโอกาสในตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น อสังหาริมทรัพย์พรีเมียม ที่มีกำลังซื้อสูง หรือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ในทำเลศักยภาพที่ให้ ลงทุนอสังหาฯ ผลตอบแทนสูง เช่น คอนโดให้เช่าที่ใกล้สถานศึกษาหรือแหล่งงาน, อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในพื้นที่ที่การท่องเที่ยวฟื้นตัว หรือที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่สอดคล้องกับโครงข่ายคมนาคมที่กำลังก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ ราคาที่ดิน มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
บทบาทภาครัฐ: พยุงตลาด มากกว่ากระตุ้นระยะสั้น
นายสุนทร สถาพร ยังเสนอแนะว่าภาครัฐควรสนับสนุนมาตรการที่ช่วยลดภาระผู้ซื้อและต้นทุนผู้ประกอบการอย่างตรงจุด ซึ่งนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย ก็ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ มาตรการภาครัฐ ในการเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่ช่วยพยุง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2569 โดยมีข้อเสนอแนะที่น่าสนใจดังนี้:
ต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง: มาตรการนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดภาระของผู้ซื้อและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้จริง การต่ออายุมาตรการจะช่วยให้ตลาดมีแรงพยุงต่อเนื่อง
ผ่อนคลายเกณฑ์ LTV (Loan to Value): การพิจารณาผ่อนคลายเกณฑ์ LTV อย่างเหมาะสม จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึง สินเชื่อที่อยู่อาศัย ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรก หรือกลุ่มที่ต้องการซื้อเพื่อการลงทุน
สนับสนุนสินเชื่อบ้านหลังแรกและกลไกเสริมด้านสินเชื่อ:
Mortgage Guarantee: การมีกลไกค้ำประกันสินเชื่อจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินในการปล่อยกู้ และเพิ่มโอกาสให้ผู้ซื้อที่มีความสามารถในการผ่อนชำระแต่ขาดเงินดาวน์เข้าถึงสินเชื่อได้
Consolidated Debt: การช่วยลดภาระหนี้เดิมและเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระให้ผู้ซื้อ จะช่วยให้คนจำนวนมากกลับมามีกำลังซื้อและกู้สินเชื่อใหม่ได้
Risk-Based Interest: การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้กู้ แทนที่จะใช้อัตราตายตัว จะช่วยให้ผู้กู้ที่มีความเสี่ยงต่ำได้รับดอกเบี้ยที่ถูกลง และกระตุ้นให้สถาบันการเงินแข่งขันกันมากขึ้น
นอกจากนี้ ภาครัฐควรเร่งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมทั้งระบบ แก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบอย่างยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการปราบปรามการคอร์รัปชัน รวมถึงหลีกเลี่ยงนโยบายประชานิยมที่อาจสร้างภาระระยะยาว นายประเสริฐย้ำว่า หากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญ ล้มลง อาจฉุดอีกหลายธุรกิจล้มตามไปด้วย
มิติใหม่ของตลาด: โอกาสที่ซ่อนอยู่ในความท้าทาย
แม้ภาพรวมของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย 2569 จะดูท้าทาย แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่ายังมีโอกาสสำหรับผู้ที่มองเห็นและปรับตัวได้:
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ชาญฉลาด: การวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ อย่างรอบด้าน และการปรึกษา ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีประสบการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถเลือก ลงทุนอสังหาฯ ผลตอบแทนสูง ได้ ไม่ว่าจะเป็นการ ลงทุนคอนโดให้เช่า ในทำเลศักยภาพที่ใกล้แหล่งงานหรือระบบขนส่งสาธารณะ เช่น คอนโดใกล้รถไฟฟ้า หรือการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่กำลังฟื้นตัว
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นคุณค่าและนวัตกรรม: ผู้ประกอบการที่สามารถสร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่ม มีคุณภาพที่ดี และผสานเทคโนโลยี Smart Home, Smart Living เข้าไป จะยังคงได้รับความสนใจ การ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในยุคนี้ไม่ใช่แค่การสร้างตึก แต่เป็นการสร้างประสบการณ์และคุณค่า
การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อย่างมืออาชีพ: สำหรับนักลงทุน การมีระบบ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่ดี จะช่วยเพิ่มมูลค่าและผลตอบแทนให้กับสินทรัพย์ในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษา การหาผู้เช่า หรือการบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การมองหาที่ดินเพื่อการพัฒนาในอนาคต: แม้ว่า ราคาที่ดิน จะสูงขึ้น แต่การศึกษาผังเมืองและแนวโน้มการขยายตัวของเมือง จะช่วยให้สามารถเลือก ที่ดินเพื่อการพัฒนา โครงการในอนาคตได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีโครงข่ายคมนาคมรองรับ
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้สรุปภาพรวมปี 2569 ไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่ดีทั้งปี” แต่ก็เชื่อมั่นในศักยภาพของ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะช่วยกันพยุงตลาดให้ขับเคลื่อนไปได้ แม้จะยากลำบากก็ตาม สะท้อนให้เห็นถึงความ “อึดและทน” ที่ผ่านพ้นสมรภูมิปี 2568 มาได้อย่างโชกโชน
สรุปและก้าวต่อไป
ปี 2569 จะเป็นปีที่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ดำเนินไปอย่างระมัดระวังบน “สมดุลใหม่” ที่ไม่ได้หมายถึงการหดตัวอย่างรุนแรง แต่เป็นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากฐานที่ต่ำ โดยมีปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค ปัญหาหนี้ครัวเรือน และความเข้มงวดของสถาบันการเงินเป็นตัวกำหนดทิศทางหลัก
สำหรับผู้ประกอบการ การบริหารสภาพคล่อง การพัฒนาสินค้าให้สอดรับกับกำลังซื้อจริง การยกระดับองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และการมองหาโอกาสในตลาดเฉพาะกลุ่ม จะเป็น กลยุทธ์อสังหาริมทรัพย์ สำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ ในขณะที่ภาครัฐจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการพยุงตลาดผ่าน มาตรการภาครัฐ ที่ตรงจุดและยั่งยืน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอย้ำว่านี่ไม่ใช่เวลาของการตื่นตระหนก แต่เป็นเวลาของการใช้ “ประสบการณ์ ความรู้ และความเข้าใจเชิงลึก” เพื่อ วิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ อย่างละเอียด การทำ DUE DILIGENCE อย่างเข้มข้น และการตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผลและรอบคอบ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักพัฒนา ผู้ลงทุน หรือผู้ซื้อบ้าน การทำความเข้าใจภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนนี้คือกุญแจสู่การอยู่รอดและความสำเร็จ
หากท่านกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือต้องการคำปรึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือ การประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ ในสภาวะตลาดปัจจุบัน อย่าลังเลที่จะติดต่อ ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ มืออาชีพ เพื่อวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของท่าน เตรียมพร้อมรับมือกับ “ม้าเพิ่งลุกเดิน” ตัวนี้ด้วยความเข้าใจและการเตรียมพร้อมอย่างรอบด้าน เพื่อก้าวเข้าสู่ปีแห่งโอกาสที่ซ่อนอยู่ในความท้าทายนี้ไปด้วยกัน

