ปลดล็อกศักยภาพ: โอกาสทองของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจากการเปิดทางให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของตลาดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอันท้าทาย ปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการ ทั้งหนี้ครัวเรือนพุ่งสูง กำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การซื้อขายในตลาดชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดล่างและกลางที่พึ่งพากำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก ในสถานการณ์เช่นนี้ การแสวงหาทางออกใหม่ๆ และการปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนอยู่จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเร่งด่วน
แนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังอีกครั้ง คือการเปิดโอกาสให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีศักยภาพและเสน่ห์ดึงดูดชาวต่างชาติมาโดยตลอด การริเริ่มครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและความยั่งยืนให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในระยะยาว ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ “World’s Best Second Homes” อย่างแท้จริง
วิกฤตการณ์และความจำเป็น: ทำไมต้องเร่งเปิดทางให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร
ต้องยอมรับว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยต้องเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผลพวงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กินเวลายาวนาน ตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ นอกจากนี้ โครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลง เพราะจำนวนประชากรวัยแรงงานและวัยสร้างครอบครัวลดลง ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะยาวมีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย
ในภาพรวมของ ภาคอสังหาริมทรัพย์ การขายบ้านในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย นักพัฒนาต้องแบกรับภาระสต็อกที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งจากกำลังซื้อที่มีอยู่อย่างจำกัด การพึ่งพาตลาดภายในประเทศเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพออีกต่อไป การมองหาตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะจากต่างประเทศ จึงเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลและมีศักยภาพมหาศาล
ประเทศไทยมีจุดแข็งที่ดึงดูดชาวต่างชาติจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมที่งดงาม อาหารเลิศรส ทิวทัศน์ธรรมชาติที่หลากหลาย และที่สำคัญคือ “ค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล” เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของกลุ่มผู้เกษียณอายุ (Retirees) และผู้ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศ (Second Home) ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ในขณะที่พวกเขาสามารถบริหารจัดการเงินบำนาญหรือเงินเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดประตูให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร จึงเป็นการตอบสนองความต้องการที่มีอยู่จริง และแปลงความต้องการนั้นให้กลายเป็นเม็ดเงินลงทุนที่จะหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศ
ปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ: ผลกระทบเชิงบวกจากการที่ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร
การตัดสินใจเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ ลองจินตนาการว่าหากประเทศไทยสามารถดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้อบ้านในโครงการต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก อาทิ ตั้งเป้าที่ 100,000 ยูนิต ด้วยราคาเฉลี่ย 5-10 ล้านบาทต่อหลัง เม็ดเงินมหาศาลหลายแสนล้านบาทจะถูกฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยผงกหัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
เม็ดเงินที่เข้ามาจากการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย จะไม่จำกัดอยู่เพียงแค่การซื้อขายบ้านเท่านั้น แต่จะก่อให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ตั้งแต่ภาคการก่อสร้างที่ต้องมีการจ้างงาน แรงงาน ช่างฝีมือ และการซื้อวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก ไปจนถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า การตกแต่งภายใน บริการทำความสะอาดและดูแลบ้าน สวน และสาธารณูปโภคต่างๆ นอกจากนี้ การที่ชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยอย่างถาวรหรือกึ่งถาวร ยังหมายถึงการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล การศึกษา และการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหมุนเวียนเศรษฐกิจและสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนไทยในทุกระดับ
นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของ วิลล่าสำหรับขายในประเทศไทย หรือบ้านจัดสรร ยังเป็นการยกระดับคุณภาพของ ตลาดบ้านหรู และบ้านพักตากอากาศให้มีมาตรฐานสากลมากยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการจะถูกกระตุ้นให้พัฒนาโครงการที่มีคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มักมีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมของ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในด้านนวัตกรรม การออกแบบ และการบริการหลังการขาย
แก้ปัญหา “นอมินี” อย่างตรงจุด: สร้างความโปร่งใส เพิ่มรายได้ภาครัฐ
สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้และเป็นที่รู้กันในวงกว้างคือ ปัจจุบันชาวต่างชาติจำนวนมากได้เข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะบ้านจัดสรร ผ่านการใช้ “นอมินี” หรือตัวแทน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภรรยาคนไทย หรือตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อถือครองอสังหาริมทรัพย์ สิ่งนี้ไม่ใช่แค่การเลี่ยงกฎหมาย แต่ยังสร้างปัญหาและความเสี่ยงหลายประการ
ประการแรก ความไม่โปร่งใสของการถือครองอสังหาริมทรัพย์ผ่านนอมินี ทำให้รัฐขาดรายได้จากภาษีที่ควรจะได้รับอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หากการซื้อขายเป็นไปอย่างถูกกฎหมาย รัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีการโอน ภาษีโรงเรือนและที่ดิน รวมถึงภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างครบถ้วน ซึ่งจะนำรายได้เหล่านั้นไปพัฒนาประเทศได้
ประการที่สอง การซื้อขายผ่านนอมินีมีความเสี่ยงสูงต่อทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของเงินทุนตัวจริง มักเผชิญปัญหาเมื่อความสัมพันธ์กับนอมินีมีปัญหา เช่น การนำบ้านไปจำนอง หรือขายโดยที่เจ้าของเงินไม่ทราบ หรือไม่ยินยอม ซึ่งสร้างความเสียหายและข้อพิพาททางกฎหมายมากมาย ขณะที่คนไทยที่ตกเป็นนอมินีเองก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่เข้าใจในผลกระทบทางกฎหมายอย่างถ่องแท้
การที่รัฐบาลเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นการนำธุรกรรมที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน สร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และลดช่องโหว่ของการฉ้อโกงหรือข้อพิพาทต่างๆ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติและเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์ของประเทศในระยะยาว
กลไกและเงื่อนไขการดำเนินการ: การสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์และการควบคุม
แน่นอนว่าการเปิดให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ต้องมาพร้อมกับกลไกและเงื่อนไขที่รัดกุม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทย ผู้เชี่ยวชาญใน ภาคอสังหาริมทรัพย์ เห็นพ้องต้องกันว่า การดำเนินการควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
ข้อเสนอที่น่าสนใจคือ การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เหมาะสม โดยอาจเริ่มต้นจากโมเดลเดียวกับการถือครองคอนโดมิเนียม ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ทั้งหมดในโครงการ เพื่อป้องกันการครอบงำตลาด และยังคงรักษาสัดส่วนการเป็นเจ้าของของคนไทยไว้
เงื่อนไขอื่นๆ ที่ควรพิจารณาได้แก่:
ประเภทอสังหาริมทรัพย์: ควรจำกัดเฉพาะ บ้านจัดสรร หรือ วิลล่าสำหรับขายในประเทศไทย ที่อยู่ในโครงการจัดสรรที่ดิน เพื่อให้การควบคุมเป็นไปได้ง่าย และป้องกันการเก็งกำไรในที่ดินเปล่าซึ่งเป็นทรัพยากรที่จำกัด
ขนาดที่ดิน: กำหนดขนาดที่ดินของบ้านจัดสรรที่ชาวต่างชาติสามารถซื้อได้ เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของการถือครองที่ดินขนาดใหญ่
สัดส่วนในโครงการ: อาจเริ่มจากการจำกัดสัดส่วนการซื้อในแต่ละโครงการ เช่น ให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้เพียง 5-10% ของจำนวนบ้านทั้งหมดในโครงการในช่วงแรก เพื่อประเมินผลกระทบและปรับเพิ่มลดได้ในอนาคต
ระยะเวลาการประเมิน: กำหนดระยะเวลาดำเนินการนำร่อง 3-5 ปี เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลและประเมินผลกระทบในด้านต่างๆ ก่อนที่จะขยายผลหรือปรับปรุงกฎระเบียบต่อไป
การกระจายพื้นที่: ไม่จำกัดการซื้อขายเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น อสังหาริมทรัพย์ EEC หรือพื้นที่ท่องเที่ยวหลักเท่านั้น แต่ควรเปิดโอกาสให้กระจายไปในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อกระจายรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง
เงื่อนไขผู้ซื้อ: อาจพิจารณาเงื่อนไขเพิ่มเติมสำหรับผู้ซื้อ เช่น การแสดงหลักฐานแหล่งที่มาของรายได้ที่ชัดเจน หรือการผูกโยงกับการขอ วีซ่าระยะยาวประเทศไทย ประเภทต่างๆ เพื่อส่งเสริมการอยู่อาศัยและการใช้จ่ายจริงในประเทศ
การมี กฎหมายอสังหาฯ ที่ชัดเจนและเป็นธรรม จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวต่างชาติ และกระตุ้นให้เกิดการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน และการอยู่อาศัยในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
ภาคตะวันออก: หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน
บทบาทของภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ EEC มีความสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนข้อเสนอการอนุญาตให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีความพร้อมและศักยภาพสูงในการดึงดูดชาวต่างชาติ
จังหวัดชลบุรีและระยองเป็นแหล่งรวมของอุตสาหกรรม การค้า การท่องเที่ยว และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นสนามบินนานาชาติ ท่าเรือน้ำลึก และระบบคมนาคมที่เชื่อมโยงถึงกัน ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างพัทยา ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์ทั้งการพักผ่อน การทำงาน และการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ผู้ประกอบการ อสังหาริมทรัพย์ชลบุรี และ อสังหาริมทรัพย์ระยอง ต่างมองเห็นถึงโอกาสนี้อย่างชัดเจน มีโครงการ บ้านจัดสรรพัทยา และวิลล่าหรูจำนวนมากที่สามารถตอบสนองความต้องการของชาวต่างชาติได้ทันที หากกฎหมายเอื้ออำนวย การที่ชาวต่างชาติเข้ามาซื้อบ้านในพื้นที่เหล่านี้ จะไม่เพียงเติมเต็มช่องว่างในตลาด แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจในท้องถิ่นให้เฟื่องฟูมากยิ่งขึ้น
ประสบการณ์ในการบริหารจัดการชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่อย่างยาวนานของภาคตะวันออก ทำให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานท้องถิ่นมีความเข้าใจในความต้องการและข้อจำกัดต่างๆ เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยให้การวางแผนและดำเนินการตามนโยบายนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
บทเรียนจากอดีตและมุมมองสากล
ในอดีต รัฐบาลเคยมีนโยบายที่พยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ลงทุนในประเทศไทยเกิน 40 ล้านบาท สามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้ในเนื้อที่ไม่เกิน 1 ไร่ แต่เงื่อนไขดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การลงทุนเชิงธุรกิจมากกว่าการอยู่อาศัย ทำให้ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยโดยตรงได้อย่างเต็มที่
ในหลายประเทศทั่วโลก การอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเป็นเรื่องปกติ แต่ก็มักจะมีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น บางประเทศอนุญาตให้ซื้อได้เฉพาะคอนโดมิเนียม บางประเทศจำกัดประเภทของอสังหาริมทรัพย์ บางประเทศกำหนดมูลค่าขั้นต่ำ หรือบางประเทศผูกโยงกับการขอสถานะผู้พำนักระยะยาว หรือวีซ่าเกษียณอายุ ประสบการณ์จากต่างประเทศเหล่านี้สามารถนำมาเป็นบทเรียนและแนวทางในการร่าง กฎหมายอสังหาฯ ของไทยให้มีความรอบคอบและเหมาะสมกับบริบทของประเทศเรา
การพิจารณาถึงโมเดลความสำเร็จของประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับชาวต่างชาติ เช่น สเปน โปรตุเกส หรือมาเลเซีย (ผ่านโปรแกรม My Second Home) จะช่วยให้เราสามารถออกแบบนโยบายที่ดึงดูดใจแต่ยังคงไว้ซึ่งการควบคุมที่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมสำหรับ การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ โดยชาวต่างชาติอย่างเป็นระบบ จะเป็นหมุดหมายสำคัญที่เปลี่ยนผ่าน ตลาดอสังหาฯ ของไทยไปสู่ระดับสากล
สู่ทิศทางอนาคตที่ยั่งยืน
การเปิดโอกาสให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร อย่างถูกกฎหมายถือเป็นก้าวสำคัญที่จะปลุกชีพ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ของไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังซื้อในประเทศยังคงอ่อนแอ ข้อเสนอนี้เป็นการมองการณ์ไกลที่ไม่ได้แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนของ เศรษฐกิจไทย ในระยะยาว
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในวงการ ผมเชื่อมั่นว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการพิจารณาและผลักดันนโยบายนี้อย่างจริงจัง ด้วยความต้องการจากต่างชาติที่ยังมีอยู่สูง และความจำเป็นในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ประเทศอย่างเร่งด่วน การดำเนินการอย่างรอบคอบ มีการหารืออย่างกว้างขวาง และมีกลไกควบคุมที่ชัดเจน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน ชาวต่างชาติที่ต้องการมีบ้านในไทย และที่สำคัญที่สุดคือประเทศไทยโดยรวม
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อเปลี่ยนวิสัยทัศน์นี้ให้เป็นรูปธรรม เปิดประตูต้อนรับนักลงทุนและผู้อยู่อาศัยจากทั่วโลก ด้วยบ้านจัดสรรที่มีคุณภาพ และกฎหมายที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ และผลักดันให้ อสังหาริมทรัพย์ ของไทยก้าวขึ้นสู่เวทีโลกอย่างเต็มภาคภูมิ
สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออก หรือต้องการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไทย? ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราวันนี้ เพื่อรับคำแนะนำและโอกาสในการลงทุนที่ดีที่สุดที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณ!

