ปลดล็อกศักยภาพ: การเปิดทางให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรในไทย – โอกาสทองสำหรับเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นพัฒนาการและพลวัตของตลาดมาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นช่วงขาขึ้นที่รุ่งโรจน์ หรือช่วงที่ต้องเผชิญกับความท้าทายอันหนักหน่วง และ ณ ห้วงเวลาปัจจุบันนี้ เรากำลังยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญยิ่ง การถกเถียงเรื่องการเปิดโอกาสให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เพียงแค่ประเด็นทางกฎหมาย แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจที่ซ่อนเร้น และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยไปสู่อีกระดับที่มั่นคงและยั่งยืนยิ่งขึ้น
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้สถาปนาตนเองเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยว นักลงทุน หรือแม้กระทั่งผู้ที่ปรารถนาจะเข้ามาใช้ชีวิตหลังเกษียณ วัฒนธรรมที่เปี่ยมเสน่ห์ ค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล การบริการด้านสุขภาพระดับโลก และภูมิประเทศที่สวยงาม ล้วนเป็นแม่เหล็กดึงดูดที่ไม่เสื่อมคลาย อย่างไรก็ตาม ตลาด อสังหาริมทรัพย์ไทย กำลังเผชิญกับพายุเศรษฐกิจที่โหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ที่ทิ้งรอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจไว้ลึกซึ้ง ตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาเงินเฟ้อภายในประเทศ ที่สำคัญคือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 90% ของ GDP รวมถึงการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ทำให้การขาย บ้านจัดสรร และอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ เป็นไปอย่างยากลำบาก
ในสถานการณ์เช่นนี้ การแสวงหาช่องทางใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน การพิจารณาแก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นวาระที่สมควรได้รับการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจัง ด้วยมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ที่มองไปข้างหน้าถึงอนาคตของชาติ ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
สถานการณ์ปัจจุบันและปัญหาเชิงโครงสร้าง: วงจรที่ต้องก้าวผ่าน
เป็นที่ทราบกันดีในวงการว่า แม้กฎหมายไทยจะยังไม่อนุญาตให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร หรือที่ดินได้โดยตรง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การถือครองผ่าน “นอมินี” (Nominee) หรือการจดทะเบียนสมรสกับคนไทยนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย การดำเนินการในรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่สร้างความไม่โปร่งใส แต่ยังก่อให้เกิดความเสี่ยงมหาศาล ทั้งต่อผู้ซื้อต่างชาติเองที่อาจสูญเสียสิทธิ์ในการครอบครอง หากคู่สมรสคนไทยนำไปจำนอง ขายต่อ หรือเกิดปัญหาความสัมพันธ์ ไปจนถึงความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมที่รัฐไม่สามารถเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และไม่สามารถควบคุมการไหลเข้าออกของเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไทยมาโดยตลอด การทำให้สิ่งเหล่านี้ “ขึ้นมาบนดิน” อย่างถูกกฎหมายและมีเงื่อนไขที่ชัดเจน จึงเป็นแนวทางที่จะช่วยขจัดปัญหาการใช้นอมินี สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในสายตานานาชาติ
ภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่อย่างชลบุรี ระยอง และจังหวัดในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความต้องการที่แท้จริงจากชาวต่างชาติ ด้วยศักยภาพด้านการลงทุน อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการ บ้านจัดสรรภาคตะวันออก ของชาวต่างชาติทั้งที่เข้ามาทำงานและเกษียณอายุนั้นมีสูงมาก แต่กลับถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายเดิม
ยุทธศาสตร์พลิกฟื้นและอนาคต: ทำไมต้องเป็นตอนนี้?
การพิจารณาอนุญาตให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่เป็นการวางรากฐานเพื่ออนาคตของประเทศที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในหลายมิติ:
กระตุ้นเศรษฐกิจมหภาคอย่างเร่งด่วน: การลงทุนจากต่างชาติในภาคอสังหาริมทรัพย์จะนำมาซึ่งเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยโดยตรง ไม่ใช่แค่เพียงราคาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังรวมถึงการใช้จ่ายเพื่อการตกแต่ง ซ่อมบำรุง การว่าจ้างบริการในประเทศ ไปจนถึงการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน การซื้อสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งจะหมุนเวียนไปหล่อเลี้ยงธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง และสร้างงานให้กับคนไทยในหลากหลายสาขาอาชีพ ผลักดันให้ GDP ของประเทศผงกหัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ดึงดูด “เม็ดเงินคุณภาพ” และผู้พำนักระยะยาว: การเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านในไทย ได้อย่างถูกต้อง จะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงและมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ ทั้งนักลงทุนที่ต้องการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ (Second Home) ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Retirees) ที่ต้องการใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีคุณภาพในไทย และกลุ่ม Digital Nomads หรือผู้บริหารระดับสูงที่สามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มักจะนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาใช้จ่ายในประเทศอย่างต่อเนื่อง และอาจนำความรู้ ประสบการณ์ หรือเครือข่ายธุรกิจเข้ามาสร้างโอกาสใหม่ๆ ในไทยอีกด้วย
สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับภูมิภาค: หลายประเทศในภูมิภาคได้มีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง หากประเทศไทยยังคงติดอยู่กับข้อจำกัดเดิม เราอาจสูญเสียโอกาสสำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินและบุคลากรคุณภาพให้กับคู่แข่งได้ การสร้างความชัดเจนและโปร่งใสในการ ถือครองอสังหาริมทรัพย์ของต่างชาติ จะช่วยยกระดับความน่าสนใจและสร้างความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนทั่วโลก
แก้ปัญหาอุปทานส่วนเกินในตลาดอสังหาริมทรัพย์: ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่และแหล่งท่องเที่ยว มีโครงการ บ้านจัดสรร จำนวนมากที่ประสบปัญหาการขายช้าหรือมีอุปทานส่วนเกิน การเปิดตลาดให้ชาวต่างชาติจะช่วยระบายสต็อกเหล่านี้ ลดภาระของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่สอดรับกับความต้องการของตลาดโลกมากขึ้น
รายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้น: เมื่อการซื้อขายและการถือครองเป็นไปอย่างถูกกฎหมาย รัฐบาลจะสามารถจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ ค่าธรรมเนียม และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งจะเป็นรายได้สำคัญในการนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต่างๆ ให้กับประเทศ
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: รูปแบบและกลไกที่รอบคอบ
จากประสบการณ์และการพูดคุยกับผู้ประกอบการและผู้เชี่ยวชาญในวงการ ข้อเสนอแนะในการเปิดทางให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ควรพิจารณาจากรูปแบบที่รัดกุมและคำนึงถึงผลกระทบในทุกมิติ:
การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ: รัฐบาลควรจัดตั้งคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อศึกษาและพิจารณาประเด็นนี้อย่างรอบด้าน โดยมีตัวแทนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ (กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงการคลัง, BOI, กรมที่ดิน), ภาคเอกชน (สมาคมอสังหาริมทรัพย์, สภาหอการค้า), ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ เพื่อให้การกำหนดกฎระเบียบเป็นไปอย่างสมดุลและเป็นที่ยอมรับ
จำกัดสัดส่วนการถือครอง: แนวคิดที่เสนอโดยผู้ประกอบการหลายรายคือการเริ่มต้นด้วยการจำกัดสัดส่วนการถือครองในโครงการ บ้านจัดสรร คล้ายกับกรณีของคอนโดมิเนียมที่ให้ต่างชาติถือครองได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมดในโครงการ อาจเริ่มต้นที่สัดส่วน 5-10% ต่อโครงการ หรือ 49% ในช่วงแรก และเมื่อประเมินผลแล้วจึงพิจารณาขยายเป็น 60-70% หากได้ผลดี แนวทางนี้จะช่วยควบคุมผลกระทบต่อราคาและไม่ทำให้เกิดการครอบงำโดยต่างชาติ
กำหนดประเภทและขนาดที่ดิน: การอนุญาตควรจำกัดเฉพาะ บ้านจัดสรร ที่อยู่ในโครงการจัดสรรที่มีการควบคุมชัดเจน ไม่ควรอนุญาตให้ซื้อที่ดินเปล่า เพื่อป้องกันการเก็งกำไรที่ดินและผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม นอกจากนี้ ควรจำกัดขนาดของที่ดินที่อนุญาตให้ถือครอง เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา หรือ 1 ไร่ ตามที่เคยมีการพิจารณาในอดีต ซึ่งเพียงพอต่อการอยู่อาศัย แต่ไม่มากเกินไปจนเกิดผลกระทบ
กำหนดเงื่อนไขของผู้ซื้อ: ควรพิจารณากำหนดคุณสมบัติของผู้ซื้อต่างชาติ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการดึงดูดผู้ที่มีศักยภาพและเจตนาที่จะเข้ามาพำนักหรือลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่เพียงเพื่อการเก็งกำไรระยะสั้น เช่น อาจผูกโยงกับการลงทุนในประเทศไทยในรูปแบบอื่นๆ หรือการมีวีซ่าประเภทพิเศษ เช่น วีซ่าเกษียณอายุ หรือ Thailand Elite Visa หรืออาจมีเกณฑ์เรื่องรายได้หรือฐานะทางการเงิน
มาตรการป้องกันการเก็งกำไร: ควรมีมาตรการป้องกันการเก็งกำไร เช่น กำหนดระยะเวลาการถือครองขั้นต่ำก่อนการขายต่อ หรือการเก็บภาษีการโอนที่สูงขึ้นหากเป็นการขายต่อในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้การซื้อ บ้านจัดสรร เป็นไปเพื่อการอยู่อาศัยหรือการลงทุนระยะยาวที่แท้จริง
กระจายโอกาสทั่วประเทศ: แม้ภาคตะวันออกจะเป็นพื้นที่นำร่องที่เหมาะสม แต่ไม่ควรจำกัดโอกาสเพียงแค่ในเขต EEC หรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ควรพิจารณาขยายโอกาสไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่มีศักยภาพและได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หรือหัวหิน เพื่อเป็นการกระจายรายได้และกระตุ้น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทั่วประเทศ
การประเมินผลและปรับปรุง: ควรมีการกำหนดกรอบเวลาในการนำร่อง เช่น 3-5 ปี เพื่อประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะพิจารณาขยายขอบเขตหรือปรับปรุงเงื่อนไขต่อไป
ปลดล็อกมูลค่าทางเศรษฐกิจและผลพวง: มุมมองเชิงลึก
การที่ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะสร้างวงจรเศรษฐกิจเชิงบวกที่หลากหลาย:
เม็ดเงินสู่ธุรกิจก่อสร้างและวัสดุ: ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจก่อสร้าง การผลิตวัสดุก่อสร้าง และการว่าจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจ
การบริการที่เกี่ยวเนื่อง: ตั้งแต่ธุรกิจตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงบริการทำความสะอาด สวน และการบำรุงรักษาบ้าน ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างงานและรายได้ให้กับคนไทย
การท่องเที่ยวและบริการ: ผู้ที่มาซื้อ บ้านจัดสรร เพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง มักจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว พักผ่อน และบริการต่างๆ ในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแตกต่างจากนักท่องเที่ยวระยะสั้นทั่วไป
ภาษีและค่าธรรมเนียม: รัฐจะได้รับประโยชน์จากภาษีการโอน ภาษีโรงเรือนและที่ดิน (หรือภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาประเทศได้
ยกระดับคุณภาพชีวิต: การเข้ามาของชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง อาจนำมาซึ่งการลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวก บริการสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยในพื้นที่นั้นๆ ด้วย
ในแง่ของ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ การเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างถูกกฎหมายจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์มีเสถียรภาพ และยังเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่มีความสนใจใน การลงทุนระยะยาว ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ผู้ที่ต้องการ ซื้อวิลล่าภูเก็ต หรือ ซื้อบ้านพัทยา เพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศ หรือเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า ก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างมั่นใจและโปร่งใสยิ่งขึ้น ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการบริหารจัดการสินทรัพย์และการวางแผนเกษียณอายุ
ข้อกังวลและการสร้างความเชื่อมั่น: บทบาทของรัฐบาล
แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงกฎหมายครั้งใหญ่นี้ ย่อมมาพร้อมกับข้อกังวลจากประชาชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องความมั่นคงของชาติ การเก็งกำไรที่ดิน ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่อาจถีบตัวสูงขึ้นจนคนไทยเข้าไม่ถึง หรือการบิดเบือนวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญและมีมาตรการป้องกันอย่างรัดกุม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าข้อกังวลเหล่านี้สามารถบริหารจัดการได้ ด้วยการออกแบบ กฎหมายการลงทุน และ กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ ที่รอบคอบและชัดเจน:
ความมั่นคง: การจำกัดประเภทอสังหาริมทรัพย์ (เฉพาะ บ้านจัดสรร ที่มีโฉนด ไม่ใช่ที่ดินเปล่า) และสัดส่วนการถือครอง เป็นมาตรการพื้นฐานที่เพียงพอต่อการรักษากรรมสิทธิ์ในที่ดินของคนไทย
การเก็งกำไรและราคา: การกำหนดมาตรการป้องกันการเก็งกำไร และการติดตามราคาอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิด จะช่วยลดผลกระทบต่อราคาในตลาด และหากมีการวางแผนอย่างดี จะสามารถควบคุมให้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ เติบโตไปพร้อมกับกำลังซื้อของคนไทยได้
การมีส่วนร่วมของชุมชน: การรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ก่อนที่จะบังคับใช้กฎหมาย และการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะช่วยสร้างการยอมรับและความร่วมมือ
การสื่อสารที่โปร่งใส การให้ข้อมูลที่ครบถ้วน และการสร้างกลไกที่รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย จะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและลดข้อกังวลที่อาจเกิดขึ้น
ก้าวต่อไป: การผลักดันและการปฏิบัติ
การผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้อง เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความกล้าหาญทางนโยบายและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลจากรัฐบาล บทเรียนจากการที่รัฐบาลในอดีตเคยอนุญาตให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ทั้งหมดในโครงการ ได้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และถึงเวลาแล้วที่เราจะใช้บทเรียนนั้นมาปรับใช้กับ โครงการบ้านจัดสรร
ผู้ประกอบการ อสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรี และระยอง รวมถึงผู้ประกอบการจากส่วนกลาง ต่างแสดงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือโอกาสทองที่ประเทศไทยไม่ควรมองข้าม และยิ่งดำเนินการเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศเท่านั้น เพราะกำลังซื้อจากตลาดในประเทศกำลังเผชิญกับข้อจำกัดอย่างมาก
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไทยในยุค 2025+ กำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่ต้องการการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้น การเปิดโอกาสให้ ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร อย่างมีเงื่อนไขและโปร่งใส จะเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับเศรษฐกิจที่หลากหลายและยั่งยืน เป็นการเปลี่ยนผ่านจาก “ใต้ดิน” สู่ “บนดิน” ที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่จับต้องได้มหาศาล ทั้งในแง่ของเงินลงทุน การจ้างงาน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย
ผมเชื่อมั่นว่า หากเราดำเนินการด้วยความรอบคอบ มีวิสัยทัศน์ และทำงานร่วมกันอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ประเทศไทยจะสามารถใช้โอกาสนี้ในการพลิกโฉม อสังหาริมทรัพย์ไทย ให้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติให้ก้าวหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำของเราจะตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เพื่อปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนเร้น และสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศของเรา หากท่านเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจในทิศทางใหม่ของ อสังหาริมทรัพย์ไทย โปรดติดตามความคืบหน้าของประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้ไปด้วยกัน

