การเปิดให้ต่างชาติถือครองบ้านจัดสรรในไทย: มิติใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกและระดับประเทศ
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของตลาดมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภูมิทัศน์ของเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศได้สร้างความท้าทายที่ซับซ้อนให้กับภาคส่วนนี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังซื้อภายในประเทศอ่อนแรงจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่วและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ข้อเสนออันร้อนแรงจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออก ที่ต้องการผลักดัน การเปิดให้ต่างชาติถือครองบ้านจัดสรรในไทย อย่างถูกกฎหมาย ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแก้ไขปัญหาระยะสั้น แต่คือวิสัยทัศน์ที่อาจพลิกโฉมอนาคตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยและเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม
วิกฤตการณ์อสังหาริมทรัพย์ไทย: โจทย์ที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
นับตั้งแต่สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ในปี 2563 จนถึงปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับภาวะฟื้นตัวที่ล่าช้า สาเหตุหลักมาจากการสะสมของปัญหาเศรษฐกิจหลายด้าน ประการแรกคือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวไทยอย่างรุนแรง ทำให้การตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในชีวิต กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกยังซ้ำเติมให้ต้นทุนการดำเนินชีวิตและอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นอีก กดดันทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการ
ประการที่สองคือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างประชากร ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้จำนวนประชากรวัยทำงานลดลงและอัตราการเกิดใหม่ต่ำลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าอุปสงค์ (demand) สำหรับที่อยู่อาศัยในระยะยาวจากประชากรไทยอาจไม่เติบโตเท่าที่ควร นี่คือความท้าทายเชิงโครงสร้างที่การแก้ไขระยะสั้นเพียงอย่างเดียวไม่อาจจัดการได้ การพึ่งพากำลังซื้อภายในประเทศเพียงอย่างเดียวจึงไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืนอีกต่อไป
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ อสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดชลบุรีและระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น กลับต้องเผชิญกับภาวะตลาดที่ซบเซา การมีซัพพลายที่อยู่อาศัยจำนวนมากแต่ขาดกำลังซื้อที่เพียงพอทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระและชะลอการลงทุนใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการแสวงหาแหล่งเงินทุนและกำลังซื้อใหม่จากภายนอกประเทศ
การเปิดประตูสู่โอกาส: ข้อเสนอ “ต่างชาติถือครองบ้านจัดสรร” เพื่อการลงทุนระยะยาว
จากสถานการณ์อันท้าทายนี้ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในภาคตะวันออก ได้แก่ นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลฟแอนด์ ลีฟวิ่ง จำกัด และอดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรีและสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย รวมถึงนายวัฒนพล ผลชีวิน ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท มณีรินทร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดชลบุรี ได้ออกมาผลักดันข้อเสนอให้ภาครัฐพิจารณา การเปิดให้ต่างชาติถือครองบ้านจัดสรรในไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามาหล่อเลี้ยงภาคอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจโดยรวมอย่างเป็นรูปธรรม
ข้อเสนอนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลรองรับ หากแต่เป็นวิสัยทัศน์ที่อยู่บนพื้นฐานของแนวคิด “Thailand World Best Second Homes” ซึ่งมุ่งหวังให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการมีบ้านหลังที่สอง หรือเป็นที่พำนักหลังเกษียณ ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพของประเทศไทยที่มีเสน่ห์ดึงดูดในด้านวัฒนธรรม ค่าครองชีพที่สมเหตุสมผล การบริการด้านสุขภาพระดับโลก และการต้อนรับที่อบอุ่น
เงื่อนไขเบื้องต้นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการ ให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้แก่ การจำกัดสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่เกิน 49% ของพื้นที่โครงการทั้งหมด คล้ายคลึงกับโมเดลการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้จำกัดขนาดของที่ดินที่ต่างชาติสามารถถือครองได้ เช่น ไม่เกิน 100 ตารางวา และกำหนดกรอบระยะเวลาทดลองดำเนินการ 3-5 ปี เพื่อประเมินผลกระทบและปรับปรุงกฎระเบียบให้เหมาะสม ข้อเสนอเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างการเปิดรับการลงทุนกับการรักษาอธิปไตยของชาติเหนือทรัพยากรที่ดิน
หากพิจารณาอย่างถ่องแท้ การเปิดช่องทางนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ลองจินตนาการว่าหากมีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อบ้านในโครงการบ้านจัดสรรเพียง 100,000 ยูนิต ด้วยราคาเฉลี่ย 5-10 ล้านบาทต่อหลัง นั่นหมายถึงเงินลงทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 500,000 ล้านบาท ถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ของประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงเท่านั้น การลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์พรีเมียม โดยชาวต่างชาติยังเป็นการดึงดูดเงินทุนระยะยาวเข้าประเทศ ซึ่งแตกต่างจากการท่องเที่ยวที่เน้นการใช้จ่ายระยะสั้น
ถอดรหัส “นอมินี”: ปัญหาที่ซุกซ่อนและทางออกที่โปร่งใส
ประเด็นที่สำคัญและถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายในวงการคือปัญหา “นอมินี” หรือการใช้ชื่อบุคคลไทยหรือนิติบุคคลไทยในการถือครองอสังหาริมทรัพย์แทนชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างดาษดื่นในปัจจุบัน ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการยืนยันจากผู้ประกอบการหลายราย รวมถึงนายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้ที่เข้าไปลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ชลบุรี ก็ยอมรับว่าโครงการของตนมีชาวต่างชาติเข้ามาซื้อผ่านนอมินีเป็นจำนวนมาก
การซื้อขายในรูปแบบนอมินีนี้สร้างปัญหาหลายประการ ประการแรกคือขาดความโปร่งใส ทำให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และไม่สามารถควบคุมการถือครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประการที่สองคือสร้างความเสี่ยงให้กับทั้งชาวต่างชาติผู้ซื้อที่แท้จริง ซึ่งอาจสูญเสียสิทธิในการเป็นเจ้าของหากเกิดปัญหาทางกฎหมาย หรือหากบุคคลที่ถูกใช้ชื่อเป็นนอมินีนำทรัพย์สินไปจำนองหรือขายโดยไม่ได้รับความยินยอม รวมถึงปัญหาที่คู่สมรสชาวไทยนำบ้านไปจำนองหรือขายเมื่อชาวต่างชาติกลับไปทำงานที่ต่างประเทศ และประการสุดท้ายคือสร้างปัญหาเชิงสังคมและกฎหมายที่ซับซ้อน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลก็ต้องเข้ามาแก้ไขเมื่อเกิดข้อพิพาท
การแก้ไขกฎหมายเพื่อ ให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นการนำสิ่งที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน สร้างความชัดเจนและโปร่งใสในการทำธุรกรรม ทำให้รัฐสามารถควบคุม กำกับดูแล และจัดเก็บรายได้จากภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนใน การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติ ในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักลงทุนทั่วโลก
บทเรียนจากต่างประเทศและแนวปฏิบัติที่ยืดหยุ่นเพื่อขับเคลื่อนการลงทุน
เมื่อมองไปทั่วโลก จะพบว่าหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ต่างก็มีนโยบายที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นในการให้ชาวต่างชาติถือครองอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น ประเทศมาเลเซียที่โครงการ “Malaysia My Second Home (MM2H)” ซึ่งเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด หรือประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาบางรัฐที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านพักตากอากาศหรือบ้านเพื่อการอยู่อาศัยได้โดยมีข้อกำหนดเฉพาะ
ประเทศไทยเองก็ควรศึกษาและถอดบทเรียนจากกรณีศึกษาเหล่านี้ เพื่อนำมาออกแบบกฎหมายที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ไม่จำเป็นต้องจำกัดการซื้อ โครงการบ้านจัดสรร เฉพาะในเขต EEC เท่านั้น หากแต่ควรพิจารณาให้สามารถกระจายไปในจังหวัดที่มีศักยภาพและมีความต้องการจากต่างชาติ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ หรือจังหวัดชายทะเลอื่นๆ เพื่อเป็นการกระจายรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง ไม่ใช่เพียงแค่การทำ “แซนด์บ็อกซ์” ในพื้นที่จำกัด ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของตลาด
นอกจากการถือครองกรรมสิทธิ์โดยตรงแล้ว การพิจารณาเรื่อง “สิทธิการเช่าระยะยาว” ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น สัญญาเช่า 60 หรือ 90 ปี แทนที่จะเป็นเพียง 30 ปีตามกฎหมายปัจจุบัน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการสิทธิในการใช้ประโยชน์ระยะยาว แต่ยังไม่ต้องการภาระผูกพันในการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างเต็มตัว ซึ่งจะเป็นทางเลือกที่เพิ่มโอกาสในการ ลงทุนในไทย สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่แตกต่างกัน
ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมหภาคและจุลภาค: มากกว่าแค่การซื้อบ้าน
การเปิดให้ต่างชาติถือครองบ้านจัดสรรในไทย ไม่ได้เป็นเพียงแค่การนำเงินเข้ามาซื้อบ้านเท่านั้น หากแต่เป็นการสร้างห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในหลายมิติ:
การเติบโตทางเศรษฐกิจมหภาค: เงินลงทุนจากต่างชาติจะช่วยกระตุ้น GDP โดยตรงจากการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ การก่อสร้าง การผลิตวัสดุก่อสร้าง การตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มการจ้างงานในภาคส่วนเหล่านี้ และกระตุ้นการบริโภคในประเทศเมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI): การมีกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ นำไปสู่การดึงดูด FDI ในภาคส่วนอื่นๆ เพิ่มเติม และเสริมสร้างสถานะของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนในภูมิภาค
การกระตุ้นภาคบริการและการท่องเที่ยว: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะกลายเป็น “นักท่องเที่ยวคุณภาพ” ที่ใช้จ่ายในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการสุขภาพ การศึกษา ร้านอาหาร การท่องเที่ยวในประเทศ และบริการอื่นๆ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดี เหมาะแก่การพักผ่อนและ การวางแผนเกษียณ
การพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน: เมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในเขต บ้านจัดสรรชลบุรีสำหรับต่างชาติ หรือ บ้านจัดสรรระยองลงทุนต่างชาติ จะเกิดความต้องการในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และยังเป็นการสร้างโอกาสให้ อสังหาฯ ภูเก็ต ต่างชาติ ได้รับอานิสงส์หากมีการขยายผลต่อไป
การเพิ่มรายได้ภาษี: การทำให้ธุรกรรมโปร่งใสจะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บ ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นภาษีการโอน ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน หรือภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ต่อไป
ข้อกังวลและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
แน่นอนว่าทุกนโยบายย่อมมีทั้งข้อดีและข้อที่ต้องพึงระวัง การเปิดให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรรย่อมมีข้อกังวลบางประการที่ต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบเชิงลบให้น้อยที่สุด
การเก็งกำไรและการขึ้นราคาของที่ดิน: นี่คือข้อกังวลหลักที่หลายฝ่ายมองว่าการที่ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินจะทำให้ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นจนคนไทยไม่สามารถซื้อหาได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของคนในชาติ การแก้ไขปัญหานี้สามารถทำได้โดยการกำหนดราคาขั้นต่ำของอสังหาริมทรัพย์ที่ต่างชาติสามารถซื้อได้ เพื่อมุ่งเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการที่อยู่อาศัยระดับ อสังหาริมทรัพย์พรีเมียม ไม่ใช่การเข้ามาซื้อที่ดินราคาถูกเพื่อเก็งกำไร นอกจากนี้ยังอาจพิจารณาการเก็บภาษีที่ดินรกร้างว่างเปล่า หรือภาษีการโอนที่สูงขึ้นสำหรับการถือครองระยะสั้นเพื่อลดการเก็งกำไร
การรักษาอธิปไตยของชาติ: ความกังวลเกี่ยวกับการเสียดินแดนหรือการครอบงำของต่างชาติเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องให้ความสำคัญ การจำกัดสัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ไม่เกิน 49% หรือการกำหนดขนาดที่ดินที่ต่างชาติถือครองได้ ย่อมเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยคลายความกังวลนี้ นอกจากนี้ การกำหนดให้ ที่ปรึกษากฎหมายอสังหาฯ ชาวไทยมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำและดำเนินการทางกฎหมายให้แก่ชาวต่างชาติ จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรม
ผลกระทบทางสังคมและวัฒนธรรม: การหลั่งไหลของชาวต่างชาติในบางพื้นที่อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม การวางแผนพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น
การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ: ข้อเสนอของนายวัฒนพล ผลชีวิน ที่ให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ โดยนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาเปิดใจปรึกษาหารือกันเพื่อหาข้อกำหนดและระเบียบวิธีที่เหมาะสม ถือเป็นแนวทางที่ชาญฉลาดและรอบคอบที่สุด การรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายจะช่วยให้กฎหมายที่ออกมามีความสมบูรณ์ ยุติธรรม และได้รับการยอมรับจากสังคมในวงกว้าง
แนวทางขับเคลื่อนและบทบาทของภาครัฐสู่ยุคใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ไทย
การผลักดัน การเปิดให้ต่างชาติถือครองบ้านจัดสรรในไทย ให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและความกล้าหาญในการตัดสินใจจากภาครัฐ ดังนี้
เร่งรัดการพิจารณากฎหมาย: รัฐบาลควรจัดลำดับความสำคัญในการพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติให้เป็นวาระเร่งด่วน โดยมีกรอบเวลาที่ชัดเจน
การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน: การจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาและร่างกฎหมายที่ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ นักวิชาการด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ ตลอดจนตัวแทนภาคประชาสังคม จะช่วยให้เกิดกฎหมายที่รอบด้านและสมดุล
การสื่อสารที่ชัดเจนและสร้างความเข้าใจ: ภาครัฐและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันในการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนถึงประโยชน์และมาตรการป้องกันผลกระทบเชิงลบ เพื่อลดความกังวลและสร้างการยอมรับในวงกว้าง
การสร้างแพลตฟอร์ม “Thailand World Best Second Home”: นอกจากการแก้ไขกฎหมายแล้ว รัฐบาลควรพิจารณาสร้างแพลตฟอร์มหรือโครงการที่ครบวงจร เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชาวต่างชาติที่สนใจเข้ามาใช้ชีวิตหรือลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง วีซ่าเกษียณอายุ การลงทุน การขอใบอนุญาตต่างๆ รวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ การบริหารความมั่งคั่ง การดูแลสุขภาพ และการศึกษา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความน่าดึงดูดใจของประเทศไทยในระยะยาว
การสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่น: รัฐบาลควรมีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะใน อสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออก ให้มีความพร้อมในการรองรับความต้องการของตลาดต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด การพัฒนาคุณภาพโครงการ หรือการสร้างมาตรฐานบริการ
บทสรุป: โอกาสทองที่ต้องคว้าไว้ในปัจจุบัน
จากประสบการณ์ของผมในอุตสาหกรรมนี้ ผมเชื่ออย่างสุดใจว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการพิจารณา การเปิดให้ต่างชาติถือครองบ้านจัดสรรในไทย อย่างจริงจังและรอบคอบ ภาวะตลาดภายในประเทศที่อ่อนแรงบีบให้เราต้องมองหาทางออกใหม่ๆ และการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติในภาคอสังหาริมทรัพย์คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้รวดเร็วและยั่งยืน
การแก้ไขกฎหมายเพื่อความโปร่งใสและสร้างโอกาสในการลงทุนนี้ ไม่ได้เป็นการ “ขายชาติ” หรือ “เสียอธิปไตย” หากแต่เป็นการสร้างกลไกที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อควบคุมและบริหารจัดการเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเวียนอยู่ในประเทศอยู่แล้วแต่ไร้การควบคุม และเป็นการเปิดประตูต้อนรับนักลงทุนที่มีศักยภาพเข้ามาสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล
หากรัฐบาลสามารถดำเนินการเรื่องนี้ได้อย่างชาญฉลาด โปร่งใส และมีมาตรการป้องกันที่รัดกุม ผมเชื่อมั่นว่า การให้ต่างชาติซื้อบ้านจัดสรร จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย นำพาเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาผงกหัวขึ้นอีกครั้ง และสร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐ เปิดใจรับฟังข้อเสนออันทรงคุณค่านี้ และเร่งหารือเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อคว้าโอกาสทองนี้ไว้ให้ประเทศไทย ไม่ใช่แค่เพียงการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในทศวรรษหน้า หากท่านผู้ประกอบการหรือนักลงทุนมีข้อสงสัยเพิ่มเติม หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับนโยบายนี้ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่สดใสให้กับ อสังหาริมทรัพย์ไทย ไปด้วยกัน

