เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ: มิติใหม่ของการพัฒนาชายแดนไทย-ลาว กับโอกาสที่เชียงแสนต้องเร่งคว้า
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคแม่น้ำโขงมาโดยตลอด และหนึ่งในปรากฏการณ์ที่โดดเด่นและสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมหาศาล คือการผงาดขึ้นของ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” บนฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายของไทย
นี่ไม่ใช่เพียงแค่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป แต่คือการก่อร่างสร้าง “มหานคร” แห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์และการลงทุนระดับแสนล้านบาท ซึ่งกลายเป็นจุดศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ดึงดูดสายตาจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนจีน บทความนี้จะเจาะลึกถึงพลวัตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ พร้อมชี้ให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทย โดยเฉพาะอำเภอเชียงแสน ต้องเผชิญและปรับตัวเพื่อคว้าประโยชน์สูงสุดในยุคเศรษฐกิจปี 2025
การกำเนิดของคิงส์โรมัน – มหาอำนาจฟากโขง: แผนแม่บทแห่งวิสัยทัศน์
โครงการ คิงส์โรมัน ภายใต้การบริหารของกลุ่มดอกงิ้วคำ ซึ่งนำโดยนายจ้าว เหว่ย ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 2,173 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 99 ปี นี่ไม่ใช่การลงทุนระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานระยะยาวเพื่อสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ครบวงจร ด้วยเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน ได้แก่ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวแม่น้ำโขง ศูนย์กลางโลจิสติกส์ การพัฒนาเกษตรครบวงจร การกีฬาและสันทนาการ ตลอดจนการเป็นเขตปลอดภาษี
หากเรามองจากฝั่งเชียงแสนในปัจจุบัน ภาพของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คือทิวทัศน์ของตึกระฟ้าที่เรียงรายริมฝั่งแม่น้ำโขง อาคารชุดและคอนโดมิเนียมผุดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภายในเขตเป็นไปอย่างเข้มข้นและมีมาตรฐานระดับสากล ทั้งท่าเรือที่ทันสมัย ถนนที่ขยายกว้างขวาง ป้ายรถประจำทาง ห้องน้ำสาธารณะที่สะอาดสวยงาม รวมถึงบริการแท็กซี่ที่รองรับนักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ
ในฐานะนักลงทุนและผู้ประกอบการ การศึกษาการเติบโตของ คิงส์โรมัน เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่างยิ่งในด้าน “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ภาคเหนือ” และ “โอกาสธุรกิจชายแดน” ที่มีศักยภาพสูง แม้จะอยู่นอกเขตแดนไทย แต่การพัฒนาของที่นี่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภูมิทัศน์เศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย
โครงสร้างเมกะโปรเจกต์: สิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานที่เหนือความคาดหมาย
สิ่งที่ทำให้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดดเด่นคือความสมบูรณ์แบบและครบวงจรของสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงสองทศวรรษ
ที่พักอาศัยและพาณิชยกรรม: ภายในเขตใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของโรงแรมระดับนานาชาติมากมาย บ่อนกาสิโนขนาดใหญ่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจำนวนมาก คอนโดมิเนียมและอาคารชุดสำหรับที่พักอาศัยและลงทุน อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทข้ามชาติและบริษัทท้องถิ่น ร้านค้าปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ที่คึกคัก โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะที่สวยงาม
สนามบินบ่อแก้ว: ประตูสู่ภูมิภาค: การเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการของท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้วเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ สนามบินแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของ สปป.ลาว ด้วยรันเวย์ยาว 2,700 เมตร และสามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ เช่น แอร์บัส A321 และโบอิ้ง 737-900 ด้วย “การพัฒนาโครงการเมกะโปรเจกต์” เช่นนี้ ทำให้การเดินทางเข้าสู่ คิงส์โรมัน เป็นไปอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น และตอกย้ำถึงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
ท่าเรือและเส้นทางน้ำโขง: การลงทุนก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ที่ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสารหลักแสนคนต่อปี และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ ตลอดจนท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขงที่รองรับเรือขนาด 500 ตัน สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ในการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าและการท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขงระหว่างจีน ลาว เมียนมา และไทย โครงการเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ดึงดูด “การค้าส่งออกชายแดน” และนักท่องเที่ยวระดับบน
การเกษตรและปศุสัตว์: ไม่เพียงแต่การพัฒนาเมือง แต่ยังมีการลงทุนในการเกษตรสมัยใหม่ เช่น การเตรียมพื้นที่ปลูกทุเรียนจำนวนมากเพื่อรองรับความต้องการจากตลาดจีน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจในการผสาน “การเกษตรอัจฉริยะ” เข้ากับการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ
กีฬาและสันทนาการ: สนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม พร้อมโรงแรมที่พัก ที่เปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปี 2566 และโครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ที่มุ่งสร้างบรรยากาศแบบมาเก๊า ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็น “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ที่ครบครัน ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จากทั่วทุกมุมโลก
ด้วยพลวัตเหล่านี้ จึงไม่แปลกใจที่ปัจจุบันมีพลเมืองและแรงงานทั้งภายในและต่างประเทศอาศัยอยู่ใน คิงส์โรมัน กว่า 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชาวจีนที่เข้ามาลงทุนและทำงานจำนวนมาก
พลวัตประชากรและเศรษฐกิจในเขต: มณฑลจีนแห่งใหม่ริมโขง
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้กลายเป็นเสมือน “มณฑลแห่งใหม่ของจีน” ที่ติดกับชายแดนไทยมากที่สุด เพียงแค่ข้ามแม่น้ำโขงไป นักท่องเที่ยวและนักลงทุนจะพบกับสภาพแวดล้อมที่รองรับวิถีชีวิตและธุรกิจของชาวจีนเป็นหลัก ตั้งแต่ป้ายภาษาจีน ร้านอาหาร บริการต่างๆ ไปจนถึงสกุลเงินที่ใช้ สิ่งนี้สร้างมิติที่น่าสนใจในการศึกษา “การลงทุนจีน” ในภูมิภาค
แรงงานภายในเขตมีความหลากหลายสูง โดยส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่เข้ามาลงทุนและทำงานในตำแหน่งบริหารจัดการหรือในภาคบริการบางส่วน ขณะที่แรงงานชาวเมียนมาจำนวนมากเข้ามาทำงานในภาคการก่อสร้าง ซึ่งมีโซนที่พักอาศัยเฉพาะสำหรับพวกเขา ส่วนชาวลาวส่วนใหญ่จะทำงานในสำนักงานหรืองานบริการ เช่น พนักงานต้อนรับ ไกด์ หรือพนักงานขับรถเช่า ด้วยลักษณะเช่นนี้ทำให้ คิงส์โรมัน มีระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเป็นเอกเทศ และบริหารจัดการแบบพิเศษ
การไหลเวียนของผู้คนก็เป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ที่มีผู้เดินทางเข้าออกหลากหลายสัญชาติเป็นจำนวนมากทุกวัน แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในฐานะศูนย์กลางการเดินทางและธุรกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
เชียงแสน: ทางผ่านหรือทางตัน? โจทย์ใหญ่ของ “เศรษฐกิจชายแดน” ไทย
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชายแดน สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสถานะของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ คิงส์โรมัน โดยตรง แทนที่จะได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่จากการเติบโตของเมกะโปรเจกต์มูลค่ามหาศาลแห่งนี้ ปัจจุบันเชียงแสนกลับทำหน้าที่เป็นเพียง “เมืองผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่มุ่งหน้าสู่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เท่านั้น
สาเหตุหลักมาจากธรรมชาติของ คิงส์โรมัน ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งบริการที่ครบวงจรในตัวเอง (self-contained destination) นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงทุกสิ่งที่ต้องการได้ภายในเขต ทั้งที่พัก อาหาร ความบันเทิง การช็อปปิ้ง และกิจกรรมต่างๆ ทำให้เกิด “การรั่วไหล” ของเม็ดเงินลงทุนและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากฝั่งไทยไปยังฝั่งลาว โดยไม่ได้แวะพักหรือใช้จ่ายในเชียงแสนมากนัก ยกเว้นเพียงผู้ประกอบการรถรับจ้างและเรือข้ามฟากบางส่วนที่ได้รับประโยชน์
นี่คือความท้าทายที่สำคัญของ “ธุรกิจโรงแรมเชียงแสน” และผู้ประกอบการท้องถิ่น ที่ต้องเผชิญกับคู่แข่งขนาดยักษ์ที่มีความพร้อมและดึงดูดสูงกว่า แม้จะมีนักลงทุนในท้องถิ่นพยายามปรับตัว โดยการเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขง หรือโรงแรมระดับ 2-3 ดาว เพื่ออาศัยจุดชมวิวของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในยามค่ำคืน แต่การพัฒนาโดยรวมของเชียงแสนยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องด้วยปัจจัยหลายประการ อาทิ “ที่ดินเพื่อการลงทุนเชียงแสน” มีราคาสูงลิ่ว ทำให้ยากต่อการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่
ปลดล็อกศักยภาพเชียงแสน: กลยุทธ์ที่จำเป็นสู่การเป็น “แหล่งลงทุนใหม่”
คำถามสำคัญคือ เชียงแสนจะสามารถ “พลิกบทบาท” จากเมืองผ่านให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดและได้รับประโยชน์จาก เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้อย่างไร? ในฐานะผู้มีประสบการณ์ ผมมองเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมี “ยุทธศาสตร์เชิงรุก” ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ: หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้เสนอแนวคิด “การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ” โดยรัฐบาลต้องเข้ามาลงทุนในเมกะโปรเจกต์ในพื้นที่เชียงแสน เพื่อสร้างแรงดึงดูดใหม่ๆ เช่น การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมกับ คิงส์โรมัน ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับอย่างแท้จริง รวมถึงการลงทุนใน “โซลูชั่นโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ” เพื่อยกระดับบทบาทของเชียงแสนในฐานะศูนย์กลางการค้าชายแดน
การสร้างจุดเด่นเฉพาะตัว (Unique Selling Proposition): เชียงแสนต้องไม่ใช่แค่เมืองหน้าด่าน แต่ต้องมีเอกลักษณ์ที่แข็งแกร่ง หอการค้าเสนอแนวคิดการพัฒนาให้เชียงแสนเป็น “Wellness City” หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรม ซึ่งสามารถเติมเต็มประสบการณ์ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไป เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้ เช่น นักท่องเที่ยวข้ามไปตีกอล์ฟที่ฝั่ง คิงส์โรมัน แล้วกลับมาใช้บริการสปา หรือพักผ่อนในบรรยากาศเมืองโบราณที่มีเสน่ห์ของเชียงแสน ทำให้เกิด “พันธมิตรทางธุรกิจ” และการใช้จ่ายที่หมุนเวียนในพื้นที่
การดึงดูด “การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ภาคเหนือ” ที่สอดคล้องกัน: แทนที่จะแข่งขันโดยตรง เชียงแสนควรดึงดูดการลงทุนที่ “เสริม” ซึ่งกันและกัน เช่น โรงแรมบูติกระดับพรีเมียม ร้านอาหารหรูที่เน้นวัตถุดิบท้องถิ่น กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ หรือแม้แต่การพัฒนาศูนย์การประชุมและนิทรรศการ (MICE) ขนาดเล็กที่เน้นกลุ่มเฉพาะ
การพิจารณา Entertainment Complex ในฝั่งไทย: การที่คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้ลงพื้นที่เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการทำโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ในฝั่งไทย เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ หากสามารถดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายและข้อบังคับที่เข้มงวด จะเป็น “แหล่งลงทุนใหม่” ที่สามารถดึงดูดเม็ดเงินและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่เชียงแสนโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องข้ามไปฝั่งลาว
การเชื่อมโยงกับนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC): นโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือที่ครอบคลุมเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย ถือเป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเหนือ การวางยุทธศาสตร์ให้เชียงราย โดยเฉพาะเชียงแสน เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของ NEC ที่สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับศักยภาพ
การแก้ไขปัญหาราคาที่ดิน: รัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นอาจต้องพิจารณากลไกเพื่อแก้ไขปัญหาราคาที่ดินที่สูงเกินไป เช่น การส่งเสริมการเช่าที่ดินระยะยาว การจัดตั้งเขตพัฒนาพิเศษ หรือการให้สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการพัฒนาโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เพื่อส่งเสริม “โอกาสธุรกิจชายแดน” ที่แท้จริง
ภูมิทัศน์เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่กว้างขึ้น: บทบาทของ R3A และทุนจีน
นอกจาก เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาคือเส้นทาง R3A และการเข้ามาของทุนจีนในพื้นที่ประชิดอำเภอเชียงของ ซึ่งเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงไทยกับจีน การที่ทุนจีนเข้ามายึดทำเลสำคัญในสองฝั่งของชายแดนเชียงราย สะท้อนถึงการเข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้งในภูมิภาคนี้
ความท้าทายของประเทศไทยจึงไม่ใช่แค่การปรับตัวรับมือกับ คิงส์โรมัน เท่านั้น แต่คือการวางยุทธศาสตร์ระดับชาติเพื่อเชื่อมโยง “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ” เข้ากับฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาทของจีนอย่างชาญฉลาด เพื่อให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนและสร้างประโยชน์ให้กับพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ถูกกลืนกินหรือเป็นเพียงทางผ่าน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพและทรัพยากรเพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์นี้ให้เป็นโอกาสทองได้ แต่สิ่งสำคัญคือการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่รวดเร็ว ชัดเจน และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่อย่างแข็งขัน เพื่อสร้าง “มิติใหม่ของการพัฒนาชายแดนไทย-ลาว” ให้เชียงแสนเป็นมากกว่าแค่เมืองผ่าน และกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ยั่งยืนของภูมิภาคอย่างแท้จริง
ก้าวต่อไปของเชียงแสนและประเทศไทย: การลงทุนในอนาคตที่จับต้องได้
สถานการณ์ของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และบทบาทของเชียงแสน ไม่ใช่เพียงเรื่องราวของเมกะโปรเจกต์ชายแดน แต่เป็นภาพสะท้อนของพลวัตเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบทบาทของจีนในภูมิภาคนี้ ในยุคที่การเชื่อมโยงไร้พรมแดนเช่นปี 2025 นี้ ประเทศไทยต้องไม่เพียงแค่เฝ้ามอง แต่ต้องก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมและแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม
การพัฒนาเชียงแสนให้เป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่ครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น Wellness City, ศูนย์กลางวัฒนธรรมล้านนา, หรือแม้แต่พื้นที่รองรับกิจกรรมเสริมจากการท่องเที่ยว คิงส์โรมัน ถือเป็นโอกาสมหาศาลที่ต้องคว้าไว้ให้ได้ การลงทุนในการยกระดับคุณภาพชีวิต โครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริม “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ให้กับผู้ประกอบการท้องถิ่น คือหัวใจสำคัญ
เราต้องการผู้นำที่กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล เพื่อเปลี่ยนโจทย์ท้าทายให้เป็นโอกาสในการสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว
หากท่านเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้กำหนดนโยบายที่มองเห็นศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของภูมิภาคนี้ และต้องการวางแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคเศรษฐกิจใหม่ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมกันวิเคราะห์และสร้างสรรค์โอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้ในพื้นที่เชียงแสนและระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ ผมและทีมงานพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอนาคตที่สดใสของประเทศไทยในฐานะ “พันธมิตรทางธุรกิจ” ของท่าน

