ปลดล็อกศักยภาพ: เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำและโอกาสทองของเชียงแสนในยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนภูมิภาคมากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์พลวัตอันน่าทึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจบริเวณชายแดนไทย-ลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถือกำเนิดและการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” ณ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เพียงแค่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ แต่คือปราการด่านหน้าของการลงทุนต่างประเทศที่พลิกโฉมภูมิทัศน์เศรษฐกิจชายแดน และเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับประเทศไทยในการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับอนาคตที่กำลังมาถึง
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มิใช่เพียงเมืองใหม่ที่ผุดขึ้นกลางป่า หากแต่คือการแสดงให้เห็นถึงอำนาจทุนและการมองการณ์ไกลเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถสร้างอาณาจักรแห่งความบันเทิงและธุรกิจบริการแบบครบวงจรระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าการลงทุนหลักแสนล้านบาทภายใต้สัมปทาน 99 ปี จากรัฐบาล สปป.ลาว กลุ่มดอกงิ้วคำของ “เจ้าเหว่ย” ได้เนรมิตพื้นที่กว่า 63,750 ไร่ ให้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่โดดเด่น เปรียบเสมือน “มณฑลเล็กๆ” ของจีนที่ติดกับพรมแดนไทยเพียงแค่แม่น้ำโขงกั้น จากมุมมองของนักกลยุทธ์ด้านการพัฒนา การเกิดขึ้นของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนระยะยาวในหลากหลายมิติ
แกะรอยยุทธศาสตร์การลงทุนแสนล้าน: หัวใจสำคัญของคิงส์โรมัน
วิสัยทัศน์ของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ นั้นชัดเจนและครอบคลุมหลายภาคส่วน ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อ 17 ปีก่อน เป้าหมายหลักคือการเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์กลางโลจิสติกส์การค้าข้ามแม่น้ำโขง การพัฒนาภาคเกษตรสมัยใหม่ การกีฬาและสันทนาการครบวงจร และแน่นอนว่ารวมถึงการเป็นหมุดหมายด้านการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบเพื่อดึงดูดทั้งนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจอันมหาศาล
จากการสำรวจภาคสนาม เราจะเห็นภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือมาตรฐานสากลที่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ ท่าเรือท่องเที่ยวที่เตรียมพร้อมรองรับผู้โดยสารจำนวนมหาศาล การขยายเครือข่ายถนนที่เชื่อมโยงภายใน และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะที่ทันสมัย เช่น ป้ายรถประจำทาง ห้องน้ำสาธารณะสะอาดสะอ้าน ไปจนถึงบริการแท็กซี่ที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ การลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และเป็นตัวอย่างของการลงทุนที่มีวิสัยทัศน์
ใจกลางของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คือภาพของเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ประกอบด้วยอาคารสูงระฟ้า โรงแรมหรู บ่อนกาสิโนระดับโลก คอนโดมิเนียมและอาคารชุดสำหรับพักอาศัยและสำนักงาน บริษัทห้างร้าน ภัตตาคารนานาชาติ ร้านอาหาร สถานบันเทิง ตลาดปลอดภาษี ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ และที่สำคัญที่สุดคือท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ดึงดูดประชากรภายในและต่างประเทศกว่า 60,000 คนให้เข้ามาอยู่อาศัยและทำงาน แต่ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากจีนและทั่วโลกให้หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การจัดการแบบพิเศษในพื้นที่ทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างคล่องตัวและรวดเร็ว นับเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง
ท่าอากาศยานบ่อแก้ว: ประตูสู่สามเหลี่ยมทองคำและการเชื่อมโยงภูมิภาค
การเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ยกระดับขีดความสามารถของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในการรองรับนักท่องเที่ยวและการเชื่อมโยงทางอากาศ ท่าอากาศยานแห่งนี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ สปป.ลาว ด้วยรันเวย์ยาว 2,700 เมตร สามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ ซึ่งบ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นในการเป็นฮับการบินในอนุภูมิภาค สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความสะดวกสบาย แต่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างการเข้าถึงสำหรับนักลงทุนและนักท่องเที่ยวระดับสูงที่ต้องการความรวดเร็วและเป็นส่วนตัว
การพัฒนาภาคเกษตรกรรมโดยรอบท่าอากาศยาน เช่น การลงทุนในการปลูกทุเรียนจำนวนมากเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดจีนที่เพิ่มขึ้น ก็แสดงให้เห็นถึงการบูรณาการทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนภายใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดยมีเป้าหมายทั้งเพื่อป้อนการบริโภคในพื้นที่ และเพื่อการส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่ในจีนและ สปป.ลาว นี่คือตัวอย่างของการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างชาญฉลาด นอกจากการเกษตรแล้ว ยังมีการพัฒนาปศุสัตว์และการปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ สะท้อนถึงการมองเห็นศักยภาพในการผลิตอาหารเพื่อรองรับประชากรที่เพิ่มขึ้น
การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน: ท่าเรือและการท่องเที่ยวระดับโลก
กลุ่มทุนเจ้าเหว่ยยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารปีละหลายแสนคน รวมถึงท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ และท่าเรือน้ำลึกริมแม่น้ำโขงที่รองรับเรือขนาด 500 ตัน สิ่งเหล่านี้จะปลดล็อกศักยภาพด้านโลจิสติกส์ และการค้าชายแดนอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โครงการเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงจีน-ลาว-เมียนมา-ไทย จะเป็นตัวเร่งสำคัญในการดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ สร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้ การเปิดสนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม พร้อมโรงแรมและที่พักหรูหรา ถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในฐานะปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียมและนักธุรกิจ การลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวพรีเมียมเช่นนี้ มีผลตอบแทนการลงทุนที่สูง และดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง สร้างรายได้เข้าสู่พื้นที่อย่างมหาศาล
โครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ที่บริษัท จิงเสิน จำกัด กำลังพัฒนา ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการเมกะโปรเจกต์ที่น่าจับตา ด้วยแนวคิดที่ต้องการจำลองบรรยากาศแบบมาเก๊า ผสมผสานกับการอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น โครงการนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และเป็นศูนย์กลางความบันเทิงและไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่และตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ
เชียงแสน: จุดยืนที่ท้าทายในกระแสการพัฒนา
ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงอย่าง เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กลับต้องเผชิญกับคำถามถึงบทบาทและผลประโยชน์ที่จะได้รับ จากมุมมองของนักกลยุทธ์ธุรกิจ การที่เชียงแสนกลายเป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวไทยที่ต้องการเดินทางไปคิงส์โรมัน สะท้อนถึงการขาดการเชื่อมโยงเชิงเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม การที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยได้เฉลี่ยเดือนละ 10,000 คน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาล แต่รายได้กลับไม่ตกถึงผู้ประกอบการท้องถิ่นในเชียงแสนมากนัก
จิระศักดิ์ นวปฏิภาณ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน ได้เน้นย้ำถึงความท้าทายนี้ แม้จะมีธุรกิจบริการรถรับส่งนักท่องเที่ยวและเรือข้ามฟากที่ได้รับผลประโยชน์อยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเชียงแสนยังคงต้องปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อไม่ให้เป็นเพียงเมืองผ่าน ภาคธุรกิจในเชียงแสนพยายามปรับตัว เช่น การลงทุนเปิดร้านอาหารและโรงแรมริมแม่น้ำโขงเพื่ออาศัยจุดชมวิวแสงสีของคิงส์โรมันในยามค่ำคืน แต่ด้วยราคาค่าเช่าที่ดินที่สูงลิบลิ่ว การลงทุนของภาคเอกชนจึงเป็นไปได้ยากและต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐ
ก้าวข้ามความท้าทาย: กลยุทธ์เชิงรุกสำหรับเชียงแสนและระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ
การที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กำลังเร่งดึงทุนจากมณฑลต่างๆ ของจีนมาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการอื่นๆ ทั้งภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง สนามกอล์ฟ โรงเรียนนานาชาติ และแม้กระทั่งโรงพยาบาลขนาด 100 เตียงที่กำลังเจรจาร่วมทุนกับโรงพยาบาลเอกชนของไทย แสดงให้เห็นถึงการลงทุนระยะยาวและแนวโน้มการขยายตัวที่ไม่มีที่สิ้นสุด หากประเทศไทยโดยเฉพาะอำเภอเชียงแสนต้องการได้รับประโยชน์จากกระแสการลงทุนนี้ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์การลงทุนที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ประเด็นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่างเชียงแสนกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็นข้อเสนอที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในแง่ของผลประโยชน์ ความมั่นคง และผลกระทบต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น การจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างแท้จริง ต้องไม่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ฝั่งคิงส์โรมันแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องสร้างความได้เปรียบให้กับเชียงแสนด้วย
สิ่งที่ภาคธุรกิจและหอการค้าจังหวัดเชียงรายเสนอคือ การผลักดันให้รัฐบาลนำเมกะโปรเจกต์ลงสู่พื้นที่เชียงแสน เพื่อสร้าง “แม่เหล็กดึงดูด” การท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ การพัฒนาเชียงแสนให้เป็น “Wellness City” หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่นักท่องเที่ยวสามารถข้ามไปตีกอล์ฟที่คิงส์โรมันแล้วกลับมาใช้บริการสปาและพักค้างคืนที่เชียงแสน จะเป็นการสร้างความหลากหลายของกิจกรรม และดึงเม็ดเงินให้หมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น นี่คือตัวอย่างของการสร้างมูลค่าเพิ่มและการใช้กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาดเพื่อเจาะตลาดเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง
ภายใต้นโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) ซึ่งครอบคลุมเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย การเชื่อมโยงเศรษฐกิจของเชียงรายเข้ากับฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน ทั้งจาก เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และจากเส้นทาง R3A ที่ทุนจีนได้เข้ามาลงทุนเช่นกัน ถือเป็นความท้าทายและโอกาสอันยิ่งใหญ่ การปรับตัวและวางยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ระเบียงเศรษฐกิจนี้ก่อให้เกิดผลประโยชน์นอกพรมแดนอย่างแท้จริง และส่งเสริมการลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นรูปธรรม
มองไปข้างหน้า: โอกาสและบทเรียนสำหรับประเทศไทย
จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในการวิเคราะห์พลวัตเศรษฐกิจชายแดน ผมมองว่าการเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็นภาพสะท้อนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ไร้พรมแดนมากขึ้น และเป็นการตอกย้ำความสำคัญของ “ทำเลทอง” เชิงยุทธศาสตร์ การลงทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามาในพื้นที่ สปป.ลาว ได้สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับภูมิภาคในหลายมิติ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ที่จะต้องปรับตัวและกำหนดกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
การที่จะทำให้เชียงแสนและจังหวัดเชียงรายได้รับประโยชน์สูงสุดจากปรากฏการณ์ “คิงส์โรมัน” นั้น จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐในการกำหนดนโยบายและผังเมืองเชิงรุก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน และการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ภาคเอกชนในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวและนักลงทุนกลุ่มเป้าหมาย และภาคประชาชนในการเข้าใจถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและคว้าโอกาส
การมองข้ามการพัฒนาของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ไม่ใช่ทางเลือกที่ชาญฉลาด แต่การเข้าไปทำความเข้าใจ เรียนรู้ และวางแผนรับมืออย่างมีวิสัยทัศน์ต่างหากที่จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในอนาคต ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นมากกว่าแค่ “ทางผ่าน” หากเราสามารถสร้างสรรค์ระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและน่าดึงดูดใจได้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การค้าชายแดนอัจฉริยะ หรือการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาค เราจะต้องไม่พลาดโอกาสในการสร้างความร่วมมือและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาสร้างสรรค์มูลค่าในประเทศไทยเช่นกัน
การขับเคลื่อนไปข้างหน้า: แผนงานที่ต้องทำในวันนี้
เพื่อปลดล็อกศักยภาพของเชียงแสนและประเทศไทยในบริบทของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ผมขอเสนอแนวทางสำคัญดังนี้:
ยกระดับการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน: นอกจากสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ควรพิจารณาการพัฒนาเส้นทางคมนาคมขนส่งอื่นๆ ที่เชื่อมโยงเชียงแสนกับภูมิภาคและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าและการท่องเที่ยว
สร้างจุดเด่นทางการท่องเที่ยวใหม่: พัฒนาเชียงแสนให้เป็น “Wellness Hub” หรือ “Cultural Heritage Destination” ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่น ไม่ซ้ำกับสิ่งที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มี โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ
ส่งเสริมธุรกิจบริการที่มีมูลค่าสูง: สนับสนุนการลงทุนในโรงแรมหรู สปา ร้านอาหารระดับพรีเมียม และกิจกรรมนันทนาการที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มบน ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินให้หมุนเวียนในพื้นที่
พัฒนาศักยภาพแรงงาน: ฝึกอบรมและพัฒนาทักษะแรงงานท้องถิ่นให้มีความพร้อมสำหรับอุตสาหกรรมบริการและการท่องเที่ยวระดับสากล รวมถึงทักษะด้านภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาจีน
วางแผนผังเมืองและบริหารจัดการที่ดินอย่างมีวิสัยทัศน์: ควบคุมราคาที่ดินไม่ให้สูงเกินไป และจัดสรรพื้นที่สำหรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดการกระจุกตัวของธุรกิจประเภทเดียว
ส่งเสริมการค้าชายแดนและโลจิสติกส์อัจฉริยะ: ใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่ตั้งของเชียงแสนในการเป็นประตูการค้าและโลจิสติกส์ โดยการลงทุนในเทคโนโลยีศุลกากรและระบบการค้าที่ทันสมัย
อนาคตของเชียงแสนและบทบาทของประเทศไทยในภูมิภาคนี้จะถูกกำหนดโดยการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่เราทำในวันนี้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ได้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ย้อนกลับ การที่เราจะสามารถเปลี่ยน “เมืองผ่าน” ให้เป็น “เมืองที่ได้รับประโยชน์” ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ ความกล้าหาญ และความร่วมมือของเราทุกคน
หากคุณเป็นนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในการสร้างสรรค์มูลค่าในภูมิภาค หรือเป็นผู้บริหารที่ต้องการวางกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับพลวัตเหล่านี้ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและให้คำปรึกษาเชิงลึก เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและรุ่งเรืองให้กับประเทศไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก โปรดติดต่อเราเพื่อหารือถึงโอกาสและความท้าทายในการลงทุนและการพัฒนาในยุคเศรษฐกิจไร้พรมแดนนี้

