ถอดรหัสอนาคต: “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน” กับยุทธศาสตร์พลิกโฉมเชียงแสนสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนภาคพื้นมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อร่างสร้างตัวของโครงการ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” (Kings Roman) บนฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับดอกเห็ด และกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนระดับแสนล้านบาทจากจีนแผ่นดินใหญ่ สถานะของคิงส์โรมันในวันนี้มิใช่เพียงแค่โครงการ แต่คือปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่พลิกโฉมภูมิทัศน์ของภูมิภาค และมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขง
บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์เจาะลึกถึงวิสัยทัศน์ของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในคิงส์โรมัน ความคืบหน้าของการพัฒนา และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเชียงแสน พร้อมทั้งเสนอแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ว่าเชียงแสนควรปรับตัวอย่างไรเพื่อช่วงชิงโอกาสจากมหานครแห่งนี้ และก้าวพ้นจากการเป็นเพียง “เมืองผ่าน” สู่การเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่” ที่ยั่งยืนและเชื่อมโยงอย่างชาญฉลาดในปี 2025 และปีต่อๆ ไป
คิงส์โรมัน: มหานครแห่งการลงทุนจีนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีก่อน กลุ่มดอกงิ้วคำภายใต้การนำของนักลงทุนจีน “เจ้าเหว่ย” ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 2,173 เฮกตาร์ (ประมาณ 63,750 ไร่) จากรัฐบาล สปป.ลาว ด้วยสัญญาเช่าระยะยาวถึง 99 ปี นี่คือจุดเริ่มต้นของการเนรมิตพื้นที่ชนบทริมแม่น้ำโขงให้กลายเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่วันนี้ดูราวกับมณฑลหนึ่งของจีนที่มาตั้งอยู่ประชิดชายแดนไทย ความรวดเร็วและขนาดของการพัฒนาเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง ด้วยงบประมาณการลงทุนที่ทะลุหลักแสนล้านบาท คิงส์โรมันวางตัวเองเป็น “อาณาจักรเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” (Entertainment Complex) ครบวงจรระดับโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือมากกว่านั้น
วิสัยทัศน์หลักของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียม การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขง ศูนย์กลางโลจิสติกส์ การพัฒนาเกษตรครบวงจร กีฬา และสันทนาการ เพื่อรองรับกลุ่มนักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสาธารณรัฐประชาชนจีน การมองเห็นภาพจากฝั่งเชียงแสนในวันนี้ คือภาพเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าเรียงรายริมโขง ตอกย้ำความทะเยอทะยานของโครงการ
ภายในอาณาบริเวณของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างมหาศาล ทั้งท่าเรือมาตรฐานที่รองรับทั้งการท่องเที่ยวและขนส่ง การขยายถนนหนทาง ห้องน้ำสาธารณะที่สะอาด ทันสมัย และแม้กระทั่งแท็กซี่ป้ายทะเบียนจีนที่สะท้อนถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก สภาพภายในใจกลางเมืองคล้ายกับนครขนาดใหญ่ที่มีครบครัน ทั้งโรงแรมหรู บ่อนกาสิโนระดับสากล คอนโดมิเนียมและอาคารชุดสำหรับพักอาศัย อาคารสำนักงานสำหรับบริษัท ห้างร้าน ภัตตาคาร ร้านอาหาร สถานบันเทิง ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ และที่สำคัญคือ ท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว ที่เพิ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นปี 2567 นี้เอง ปัจจุบันมีพลเมืองทั้งชาวลาว ชาวจีน และชาวต่างชาติอื่นๆ อาศัยอยู่ในเขตนี้ราว 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสาหลักแห่งความมั่งคั่ง: การพัฒนาที่ขับเคลื่อนภายในเขตฯ
การพัฒนาของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจแบบครบวงจร ที่สามารถพึ่งพาตนเองและดึงดูดเม็ดเงินจากภายนอกเข้ามาอย่างมหาศาล
โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่เป็นเลิศ:
ท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว: เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ถือเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการบินครั้งสำคัญ ด้วยงบประมาณกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บนพื้นที่ราว 1,800 ไร่ มีรันเวย์ยาว 2,700 เมตร ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ สปป.ลาว สามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ถึง Airbus A321 หรือ Boeing 737-900 การมีสนามบินขนาดใหญ่เช่นนี้เป็นการยกระดับการเชื่อมโยงกับโลกภายนอกโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศจีน นักท่องเที่ยวและนักลงทุนกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง (High-Net-Worth Individuals) สามารถเดินทางมายังคิงส์โรมันได้อย่างสะดวกสบาย สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลในมิติของการเดินทางท่องเที่ยว และยังรองรับบริการเครื่องบินส่วนตัว (Private Jet Services) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของการลงทุนกาสิโนและรีสอร์ตหรู
ท่าเรือและเส้นทางแม่น้ำโขง: คิงส์โรมันกำลังเร่งลงทุนก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารถึง 450,000 คนต่อปี และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่รองรับ 150,000 คนต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น ท่าเรือน้ำลึกริมแม่น้ำโขงพร้อมลานพิธีการศุลกากร ซึ่งสามารถรองรับเรือสินค้าขนาด 500 ตัน หรือสินค้า 10,000 ตันต่อปี จะตอกย้ำสถานะการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนที่สำคัญในปี 2025 คาดการณ์ว่าจะมีการเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขง เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวและสินค้าจากจีน ลาว เมียนมา และไทยเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการลงทุนที่เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานและการค้าที่แข็งแกร่ง
อสังหาริมทรัพย์และไลฟ์สไตล์ระดับหรูหรา:
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการหลั่งไหลเข้ามาของประชากรและนักลงทุน ตึกสูงระฟ้าจำนวนมากที่เป็นทั้งคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ โรงแรมหรูหรา และอาคารสำนักงาน กำลังถูกก่อสร้างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของมหานครแห่งใหม่ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนสร้างโรงเรียนนานาชาติเพื่อให้บุตรหลานของพนักงานและผู้บริหารได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ รวมถึงโครงการโรงพยาบาลขนาด 100 เตียง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือกับกลุ่มทุนโรงพยาบาลเอกชนของไทย การลงทุนเหล่านี้เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ภายในเขตฯ
แหล่งรวมความบันเทิงและสันทนาการ:
บ่อนกาสิโนคิงส์โรมันเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะหัวใจหลักของอาณาจักรความบันเทิงนี้ แต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่ทำให้คิงส์โรมันเป็นรีสอร์ตครบวงจรอย่างแท้จริง เช่น สนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม ที่ลงทุนไปกว่า 2,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 1,500 ไร่ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคม 2566 พร้อมโรงแรมที่พักเพื่อรองรับนักกอล์ฟและนักท่องเที่ยวจากทั่วอาเซียนและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีโครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 42 ไร่ ที่ออกแบบให้มีบรรยากาศคล้ายมาเก๊า ซึ่งจะประกอบไปด้วยโรงแรม คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ เพื่อสร้างแลนด์มาร์กใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว
เกษตรกรรมสมัยใหม่และอุตสาหกรรม:
คิงส์โรมันไม่ได้มองข้ามภาคการเกษตร มีการเร่งถางดอยเพื่อเตรียมปลูกทุเรียนจำนวนมาก รองรับความต้องการของตลาดจีนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 3-4 ปี กว่าจะได้ผลผลิต นี่คือยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เพื่อป้อนการบริโภคภายใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และส่งออกไปยังตลาดจีนและลาวในอนาคต นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ปศุสัตว์สำหรับวัว สุกร และการพัฒนาพื้นที่ปลูกถั่วและไม้ดอกไม้ประดับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากภาคการผลิตเบื้องต้น
เชียงแสน: จุดบรรจบของโอกาสและความท้าทายที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์เต็มที่
ในขณะที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กำลังผงาดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่บนฝั่งลาว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ตรงข้ามกันนั้น กลับได้รับประโยชน์จากการเติบโตนี้เพียงเล็กน้อยและในวงจำกัด จากประสบการณ์ของผม เชียงแสนในวันนี้ยังคงเป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางข้ามฟากไปสัมผัสความหรูหราของคิงส์โรมันเท่านั้น ด้วยศักยภาพของคิงส์โรมันที่เป็นเมืองท่องเที่ยวแบบครบวงจร ทำให้มีลักษณะเป็น “Magnet” ดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยเฉลี่ยราว 10,000 คนต่อเดือนให้ข้ามไปใช้จ่ายที่นั่น โดยแทบไม่มีการกระจายรายได้กลับมายังเชียงแสนอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้ที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงมีเพียงผู้ประกอบการรถรับจ้างของไทยที่ให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมายังเชียงแสนเพื่อข้ามฝั่ง รวมถึงผู้ประกอบการเรือข้ามฟากบางรายเท่านั้น ภาคธุรกิจอื่นๆ ในเชียงแสนพยายามปรับตัว โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหารริมแม่น้ำโขงที่เพิ่มจำนวนขึ้นราว 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาวริมโขงอีก 2 แห่ง ซึ่งมุ่งหวังใช้จุดเด่นด้านวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนของฝั่งคิงส์โรมัน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาของเชียงแสนเป็นไปอย่างเชื่องช้า เนื่องด้วยข้อจำกัดสำคัญประการหนึ่งคือ “ราคาที่ดิน” ที่แพงมหาศาล โดยเฉพาะที่ดินริมแม่น้ำโขง ซึ่งบางแปลงมีค่าเช่าสูงถึง 100,000 บาทต่อเดือน ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนไทยเผชิญความท้าทายอย่างมาก
ยุทธศาสตร์พลิกโฉมเชียงแสน: จากประตูสู่จุดหมายปลายทาง
จากสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ เชียงแสนจำเป็นต้องทบทวนและวางยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อเปลี่ยนสถานะจาก “เมืองผ่าน” ให้กลายเป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่มีคุณค่าและดึงดูดเม็ดเงินลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ที่ครอบคลุมเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย ซึ่งเป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคเหนือทั้งหมด ผมเชื่อว่ามีแนวทางที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ดังนี้
การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ต่อโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขง:
ข้อเสนอเรื่องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่างเชียงแสนกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ในแง่หนึ่ง สะพานจะเพิ่มการเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์และการค้าชายแดนอย่างมหาศาล แต่ในอีกแง่หนึ่ง อาจทำให้เชียงแสนถูกข้ามผ่านไปได้ง่ายขึ้น หากไม่มีการเตรียมความพร้อมทางเศรษฐกิจที่เพียงพอ รัฐบาลและภาคเอกชนไทยจำเป็นต้องร่วมกันวิเคราะห์ผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และผลประโยชน์ของผู้ประกอบการท้องถิ่น เช่น ผู้ประกอบการเรือข้ามฟาก ที่อาจได้รับผลกระทบ
การผลักดัน “เมกะโปรเจกต์” ในเชียงแสน:
หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้เคยเสนอให้รัฐบาลพิจารณานำเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่มาลงทุนในเชียงแสน ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง โครงการประเภทสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่อาจมีความแตกต่างในรูปแบบหรือกลุ่มเป้าหมายจากคิงส์โรมัน หรือแม้แต่โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติขนาดใหญ่ จะเป็น Magnet สำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาพักค้างคืนและใช้จ่ายในเชียงแสนมากขึ้น
การวางตำแหน่งเชียงแสนในฐานะ “Wellness City” และศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ:
ด้วยจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม วัฒนธรรมที่งดงาม และชื่อเสียงของประเทศไทยในด้านการดูแลสุขภาพ การพัฒนาเชียงแสนให้เป็น Wellness City หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสปา จะเป็นแนวทางที่น่าสนใจ นักท่องเที่ยวที่ข้ามไปตีกอล์ฟหรือทำกิจกรรมในคิงส์โรมัน อาจกลับมาใช้บริการสปา หรือโปรแกรมดูแลสุขภาพในเชียงแสน ซึ่งเป็นการสร้างความหลากหลายและเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวในภูมิภาค นักลงทุนด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism Investment) สามารถมองเห็นโอกาสในการสร้างโรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพระดับพรีเมียมในพื้นที่นี้ได้
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่แตกต่าง:
เชียงแสนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีโบราณสถานและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาเป็นจุดเด่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากความหรูหราของคิงส์โรมัน การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การส่งเสริมงานหัตถกรรมพื้นบ้าน การท่องเที่ยวชุมชน จะช่วยสร้างอัตลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้กับเชียงแสน
การยกระดับบทบาทด้านโลจิสติกส์เสริม:
แม้คิงส์โรมันจะมีศูนย์กลางโลจิสติกส์ของตนเอง แต่เชียงแสนสามารถพัฒนาศักยภาพเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์สนับสนุน หรือจุดพักสินค้าสำหรับการกระจายสินค้าเข้าสู่ภาคเหนือของไทยและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา โดยใช้ประโยชน์จากท่าเรือเชียงแสนที่มีอยู่เดิม และการเชื่อมโยงกับโครงข่ายถนน R3A ที่เชื่อมไปถึงจีนตอนใต้
การพัฒนาทุนมนุษย์และระบบการศึกษา:
เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเกิดขึ้น การลงทุนในการพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นให้มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาด เช่น ด้านภาษา การบริการ การท่องเที่ยว และเทคโนโลยี จะเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การสร้างโรงเรียนนานาชาติที่มีคุณภาพในเชียงแสน อาจดึงดูดกลุ่มครอบครัวนักลงทุนหรือผู้บริหารที่ต้องการทำงานในคิงส์โรมัน แต่ต้องการให้บุตรหลานได้รับการศึกษาในระบบของไทยหรือตามมาตรฐานสากล
การเดินหน้าภายใต้ความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ
การพัฒนาของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ไม่สามารถแยกออกจากบริบทที่ใหญ่ขึ้นของอิทธิพลจีนในภูมิภาคนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้นโยบาย Belt and Road Initiative (BRI) ที่มุ่งเชื่อมโยงเศรษฐกิจจีนกับโลก การกำกับดูแลและบริหารจัดการข้ามพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคง สังคม และสิ่งแวดล้อม รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ในขณะเดียวกันก็ต้องแสวงหาความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
สำหรับเชียงแสนและภาคเหนือของไทย การเชื่อมโยงกับฐานเศรษฐกิจจีนขนาดแสนล้านบาทของคิงส์โรมัน และด้านถนน R3A ที่ทุนจีนก็เข้ามายึดทำเลประชิดอำเภอเชียงของเช่นกัน ถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายอย่างยิ่ง การปรับตัวและวางยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่จับต้องได้นอกพรมแดน และสร้างการลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
สรุปและก้าวต่อไปสำหรับเชียงแสน
การผงาดขึ้นของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือคิงส์โรมัน เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งมีศักยภาพที่จะเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการลงทุนและการท่องเที่ยวที่สำคัญของเอเชีย การมองข้ามการเติบโตอันมหาศาลนี้คงเป็นไปไม่ได้ แต่การรับมืออย่างชาญฉลาดต่างหากคือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ
เชียงแสนมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ซึ่งหากได้รับการพัฒนาอย่างถูกจุด ด้วยการลงทุนที่เหมาะสม และการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เพื่อสร้างจุดเด่นที่แตกต่างและเติมเต็มซึ่งกันและกันกับคิงส์โรมัน ก็จะสามารถพลิกโฉมจาก “เมืองผ่าน” ให้กลายเป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่ดึงดูดนักลงทุน ผู้ประกอบการ และนักท่องเที่ยวได้ในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นในฐานะ Wellness City, ศูนย์กลางวัฒนธรรม, หรือแม้กระทั่งโลจิสติกส์เกตเวย์แห่งใหม่ สิ่งสำคัญคือการมองการณ์ไกล การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน และความกล้าที่จะคิดนอกกรอบ
ถึงเวลาแล้วที่เชียงแสนจะต้องก้าวข้ามจากเงาของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ สู่การเป็นดาวเด่นดวงใหม่ของเศรษฐกิจภาคเหนือ หากท่านเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้กำหนดนโยบายที่กำลังมองหาโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภูมิภาคนี้ ผมขอเชิญชวนให้ท่านมาร่วมกันศึกษา วางแผน และลงมือทำ เพื่อปลดล็อกศักยภาพอันมหาศาลของเชียงแสนให้เปล่งประกายอย่างเต็มที่ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของไทยและภูมิภาคนี้ร่วมกัน

