พลิกโฉม “คิงส์โรมัน” อาณาจักรหมื่นล้าน: โอกาสและความท้าทายของเชียงแสนบนเวทีเศรษฐกิจชายแดนยุคใหม่
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ชายแดนมากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งที่กำลังก่อร่างสร้างตัวอยู่ ณ ดินแดนสามเหลี่ยมทองคำฝั่ง สปป.ลาว ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นั่นคือ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” (Kings Roman) โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ภายใต้การนำของกลุ่มดอกงิ้วคำ โดยนักลงทุนชาวจีน “เจ้าเหว่ย” ได้พลิกโฉมเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ให้กลายเป็นมหานครแห่งความบันเทิงและการลงทุนที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด บทความนี้จะเจาะลึกถึงพัฒนาการของ คิงส์โรมัน วิเคราะห์ยุทธศาสตร์การลงทุน และสำรวจผลกระทบ ตลอดจนโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทย โดยเฉพาะอำเภอเชียงแสน ต้องเผชิญและปรับตัวเพื่อคว้าประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้
คิงส์โรมัน: การผงาดขึ้นของอาณาจักรใหม่ริมแม่น้ำโขง
ย้อนกลับไปเมื่อ 17 ปีก่อน กลุ่มดอกงิ้วคำของเจ้าเหว่ย ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 2,173 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 99 ปี ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นที่จะสร้าง คิงส์โรมัน ให้เป็นศูนย์กลางความบันเทิงครบวงจรระดับโลก การลงทุนมหาศาลหลักแสนล้านบาทได้หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ไม่ใช่แค่เพียงการเนรมิตคาสิโน แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ ประกอบด้วยการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์, การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขง, ศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาค, การพัฒนาเกษตรครบวงจร, รวมถึงกีฬาและสันทนาการระดับมาตรฐานสากล สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแผนยุทธศาสตร์การค้าที่กว้างไกลและซับซ้อนของผู้พัฒนา ที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่อย่างยั่งยืน
จากการสำรวจภาคสนาม เราจะเห็นภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอันน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือมาตรฐานที่รองรับทั้งการขนส่งและท่องเที่ยว การขยายเครือข่ายถนนหนทาง การสร้างระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย รวมถึงการปรากฏตัวของรถแท็กซี่ป้ายทะเบียนจีนที่บ่งบอกถึงกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างชัดเจน หากมองจากฝั่งเชียงแสน ตึกสูงระฟ้าและโครงการคอนโดมิเนียมกว่า 10 แห่งที่กำลังก่อสร้างริมแม่น้ำโขง คือภาพสะท้อนของการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งของ คิงส์โรมัน ซึ่งกำลังกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนต่างชาติและพลเมืองจากหลากหลายเชื้อชาติให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ปัจจุบันมีประชากรกว่า 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขีดความสามารถที่เหนือกว่า: สนามบินและท่าเรือยุทธศาสตร์
ปัจจัยสำคัญที่ตอกย้ำความทะเยอทะยานของ คิงส์โรมัน คือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ “ท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว” ซึ่งได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 สนามบินแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางถึง 1,800 ไร่ พร้อมรันเวย์ยาว 2,700 เมตร ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของ สปป.ลาว และสามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ถึง 200 ที่นั่ง เช่น Airbus A321 หรือ Boeing 737-900 การมีสนามบินเป็นของตัวเองทำให้ คิงส์โรมัน ไม่ต้องพึ่งพาระบบขนส่งของไทยทั้งหมด และสามารถดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวระดับนานาชาติให้เดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งนี้ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว
นอกจากนี้ การลงทุนในโครงการท่าเรือใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งการเคลื่อนไหวที่สำคัญ เพื่อเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์และการท่องเที่ยวทางน้ำ กลุ่มทุนเจ้าเหว่ยกำลังก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งคาดว่าจะรองรับผู้โดยสารได้ถึง 450,000 คนต่อปี และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่รองรับได้ 150,000 คนต่อปี ที่สำคัญคือ “ท่าเรือน้ำลึกริมแม่น้ำโขง” ที่มาพร้อมลานพิธีการศุลกากร สามารถรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือขนส่งสินค้าได้ 10,000 ตันต่อปี และมีแผนจะเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงเชื่อมโยงจีน ลาว เมียนมา และไทย โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการค้าชายแดน แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายการขนส่งที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาว การบริหารจัดการความเสี่ยงการลงทุนที่ชาญฉลาดเหล่านี้บ่งชี้ถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้ คิงส์โรมัน เป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวที่พึ่งพาตนเองได้
การผนวกเกษตรกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน
คิงส์โรมัน ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความบันเทิงและโลจิสติกส์ แต่ยังขยายขอบเขตสู่การพัฒนาเกษตรกรรมสมัยใหม่ ก่อนถึงสนามบินบ่อแก้ว มีการปรับพื้นที่ภูเขาหลายลูกเพื่อเตรียมปลูกทุเรียน ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่มีความต้องการสูงในตลาดจีน สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรครบวงจร เพื่อป้อนผลผลิตสู่การบริโภคภายในเขตเศรษฐกิจ และส่งออกไปยังตลาดจีนและลาว นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในพื้นที่ปศุสัตว์ ทั้งวัวและสุกร รวมถึงการปลูกถั่วและไม้ดอกไม้ประดับ นี่คือการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรภายในอาณาจักรของตนเอง ลดการพึ่งพาจากภายนอก และสร้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน นอกจากคอนโดมิเนียมและโรงแรมระดับห้าดาวแล้ว ยังมีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง เช่น สนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 พร้อมโรงแรมและที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวระดับบนจากอาเซียนและทั่วโลก อีกหนึ่งโปรเจกต์ที่น่าสนใจคือ “ตลาดน้ำ” มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 42 ไร่ ซึ่งดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัท จิงเสิน จำกัด โดยมีแนวคิดที่จะสร้างบรรยากาศแบบมาเก๊า ผสมผสานโรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ และสถานบันเทิงต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมอนุรักษ์กลิ่นอายประเพณีวัฒนธรรม นี่จะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนภายใน คิงส์โรมัน อย่างมหาศาล
เชียงแสน: เมื่อ “ทางผ่าน” ไม่ได้หมายถึง “โอกาส” เสมอไป
ในขณะที่ คิงส์โรมัน เติบโตอย่างก้าวกระโดด อำเภอเชียงแสน ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้าม กลับกำลังเผชิญกับภาวะที่เรียกว่า “ทางผ่าน” จากข้อมูลของหอการค้าจังหวัดเชียงราย โดยรองประธานหอการค้าฯ ฝ่ายการค้าชายแดน อำเภอเชียงแสน คุณจิระศักดิ์ นวปฏิภาณ ชี้ให้เห็นว่า ทุกวันนี้เชียงแสนแทบไม่ได้รับประโยชน์หรืออานิสงส์ใดๆ โดยตรงจากความรุ่งเรืองของ คิงส์โรมัน เลย นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปยัง คิงส์โรมัน เฉลี่ยเดือนละ 10,000 คน ส่วนใหญ่ใช้เชียงแสนเป็นเพียงจุดแวะพักเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง เนื่องจากใน คิงส์โรมัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงแรม คาสิโน ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิงต่างๆ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้บริการในเชียงแสนมากนัก
ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับประโยชน์โดยตรงมีเพียงส่วนน้อย เช่น ธุรกิจรถรับจ้างที่ให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมายังเชียงแสนเพื่อข้ามฝั่ง และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเท่านั้น นี่คือความท้าทายที่สำคัญของแผนพัฒนาเศรษฐกิจในระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) ที่ต้องการเชื่อมโยงเชียงรายกับฐานเศรษฐกิจจีนขนาดใหญ่ แต่ในทางปฏิบัติ เม็ดเงินลงทุนและกำลังซื้อส่วนใหญ่กลับไหลเวียนอยู่ในฝั่ง คิงส์โรมัน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นของเชียงแสนจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งหาคำตอบ
แม้ว่าภาคธุรกิจในเชียงแสนจะพยายามปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง เช่น มีการลงทุนเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นกว่า 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาว 2 แห่ง เพื่ออาศัยจุดชมวิวแสงสียามค่ำคืนของ คิงส์โรมัน แต่ต้นทุนที่ดินริมแม่น้ำโขงในเชียงแสนก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ตกราว 100,000 บาทต่อเดือนสำหรับพื้นที่กว้าง 25 เมตร ลึกถึงริมน้ำโขง ทำให้การลงทุนของเอกชนรายย่อยเป็นไปได้ยากและล่าช้า
ยุทธศาสตร์เชิงรุก: พลิกวิกฤตเป็นโอกาสสำหรับเชียงแสนและประเทศไทย
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่าประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดเชียงรายและอำเภอเชียงแสน ไม่ควรรอรับผลกระทบ แต่ควรพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสผ่านการวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงและได้รับประโยชน์จากอาณาจักร คิงส์โรมัน ได้อย่างเป็นรูปธรรม
เมกะโปรเจกต์จากภาครัฐ: หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้เสนอแนวคิดให้รัฐบาลพิจารณาการลงทุนเมกะโปรเจกต์ในเชียงแสน เช่น โครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Integrated Entertainment Complex) ที่ถูกกฎหมายและมีมาตรฐานระดับโลก หากพิจารณาถึงศักยภาพและรายได้จากภาษีที่อาจเกิดขึ้น นี่คือโอกาสสำคัญในการสร้างแม่เหล็กดึงดูดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้นในฝั่งไทย ซึ่งจะช่วยกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างแท้จริง และส่งเสริมการแข่งขันที่สมดุลกับ คิงส์โรมัน แทนที่จะเป็นการเสียเปรียบไปตลอด
การสร้างเชียงแสนให้เป็น “เวลเนส ซิตี้” (Wellness City): แทนที่จะแข่งขันโดยตรงกับ คิงส์โรมัน ในด้านการพนันและความบันเทิง ประเทศไทยควรมุ่งเน้นจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเวลเนส (Health and Wellness Tourism) เชียงแสนสามารถเป็นศูนย์กลางการให้บริการสปา ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม หรือแหล่งพักผ่อนเชิงธรรมชาติ ที่นักท่องเที่ยวสามารถข้ามไปตีกอล์ฟที่ฝั่ง คิงส์โรมัน แล้วกลับมาใช้บริการสปา หรือพักผ่อนในบรรยากาศที่แตกต่างและสงบกว่าในเชียงแสน การสร้างความหลากหลายของกิจกรรมจะช่วยยืดระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยว และเพิ่มการใช้จ่ายในพื้นที่
การพัฒนาโครงข่ายคมนาคม: ข้อเสนอเรื่องการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่างเชียงแสนกับ คิงส์โรมัน นั้น ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่เพียงแต่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงประเด็นความมั่นคง และผลกระทบต่อผู้ประกอบการเรือข้ามฟากในท้องถิ่น หากมีการก่อสร้าง รัฐบาลต้องมีแผนชดเชยและส่งเสริมอาชีพใหม่ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงมาตรการป้องกันปัญหาด้านความมั่นคงและอาชญากรรมข้ามชาติ
การส่งเสริมการค้าชายแดนและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น: รัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมให้สินค้าและบริการของไทยสามารถเข้าไปสร้างมูลค่าเพิ่มใน คิงส์โรมัน ได้มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูป หัตถกรรม และบริการท่องเที่ยว การสร้างกลไกที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดนอย่างเป็นธรรม จะช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการ SMEs ของไทยสามารถเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ใน คิงส์โรมัน และตลาดจีนได้โดยตรง
การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์: เชียงแสนควรเตรียมพร้อมด้านบุคลากรเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งในด้านการบริการ การท่องเที่ยว และการค้าชายแดน ควรมีการฝึกอบรมทักษะภาษาจีนและภาษาอังกฤษ รวมถึงทักษะเฉพาะทางในอุตสาหกรรมการบริการ เพื่อสร้างโอกาสในการจ้างงานให้กับคนในท้องถิ่น และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย
สรุปและก้าวต่อไป
คิงส์โรมัน ไม่ใช่แค่เพียงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษธรรมดา แต่เป็นอาณาจักรแห่งการลงทุนที่กำลังสร้างนิยามใหม่ของศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดนในภูมิภาค หากประเทศไทย โดยเฉพาะเชียงแสน ยังคงเป็นเพียง “ทางผ่าน” โดยไม่มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและเชิงรุก เราอาจพลาดโอกาสทองในการเชื่อมโยงกับฐานเศรษฐกิจจีนขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาทที่อยู่ตรงข้ามได้
ในฐานะผู้ประกอบการและนักลงทุน ผมเชื่อมั่นว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ภาครัฐและเอกชนของไทยจะต้องร่วมกันถอดบทเรียน วางแผน และลงมือทำอย่างจริงจัง เพื่อสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ พัฒนา คิงส์โรมัน และเชียงแสนให้เป็นสองฟากฝั่งของโอกาส ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างยั่งยืน ไม่ใช่การแข่งขันที่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบโดยสมบูรณ์ หากท่านสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสทางธุรกิจที่ยังคงมีอยู่ หรือต้องการปรึกษาการวางแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในพื้นที่ชายแดน โปรดติดต่อเราเพื่อสำรวจศักยภาพและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันในภูมิทัศน์เศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้

