ถอดรหัสเมกะโปรเจกต์: เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน กับยุทธศาสตร์พลิกโฉมเชียงแสนสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดน 2025
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ชายแดนที่มีศักยภาพสูงอย่างสามเหลี่ยมทองคำ วันนี้เราจะเจาะลึกถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงโครงการพัฒนาธรรมดา แต่คือมหาอาณาจักรแห่งการลงทุนที่กำลังสร้างนิยามใหม่ให้กับภูมิทัศน์เศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อเมืองเพื่อนบ้านอย่างเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
ความเคลื่อนไหวใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน แห่งนี้ได้นำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทาย ซึ่งผมจะนำเสนอภาพเชิงลึกจากการวิเคราะห์ข้อมูลและประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรม โดยมองไปข้างหน้าถึงปี 2025 และปีต่อๆ ไป เพื่อทำความเข้าใจถึงพลวัตที่ซับซ้อนและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
จากเมืองต้นผึ้งสู่มหานครแห่งโอกาส: กำเนิดคิงส์โรมัน
ย้อนกลับไปกว่า 17 ปีที่ผ่านมา พื้นที่อันเงียบสงบริมฝั่งแม่น้ำโขง ณ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ได้กลายมาเป็นผืนผ้าใบขนาดใหญ่สำหรับการสร้างสรรค์สิ่งที่หลายคนเรียกว่า “ลาสเวกัสแห่งเอเชีย” หรือบางครั้งก็ถูกขนานนามว่าเป็น “มณฑลแห่งใหม่ของจีน” กลุ่มดอกงิ้วคำ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจีนรายใหญ่ภายใต้การนำของ “เจ้าเหว่ย” ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 2,173 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลาถึง 99 ปี นี่ไม่ใช่แค่การลงทุนระยะสั้น แต่คือวิสัยทัศน์ระยะยาวที่ต้องการปักหมุดในภูมิภาคนี้อย่างมั่นคง
เป้าหมายหลักของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ชัดเจนและทะเยอทะยานอย่างยิ่ง นั่นคือการเป็นศูนย์กลางด้านอสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขง ศูนย์กลางโลจิสติกส์ครบวงจร การพัฒนาเกษตรสมัยใหม่ ตลอดจนการกีฬาและสันทนาการแบบครบวงจร มูลค่าการลงทุนที่สูงแตะหลักแสนล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นในศักยภาพของพื้นที่และทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ขยายอิทธิพลมายังเพื่อนบ้าน
มหานครแห่งความมั่งคั่ง: ถอดรหัสการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการระดับโลก
จากการสำรวจและติดตามอย่างใกล้ชิด โครงสร้างพื้นฐานภายใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แทบไม่น่าเชื่อว่าจากพื้นที่ที่เคยเงียบสงบจะกลายเป็นเมืองที่มีตึกสูงระฟ้าเรียงรายริมแม่น้ำโขงราวกับเมืองใหญ่ ตัวเลขประชากรในปัจจุบันพุ่งสูงถึงประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยหลากหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาเป็นผู้ประกอบการและบุคลากรหลัก
ภายในเขตเมืองมีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก ทั้งโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว บ่อนกาสิโนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน คอนโดมิเนียมและอาคารชุดพักอาศัยจำนวนมาก อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทข้ามชาติ ภัตตาคารหรูหรา ร้านอาหารหลากหลายสัญชาติ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ตลาดปลอดภาษีดอนซาว (Don Sao Duty-Free Market) ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ และที่สำคัญคือสนามบินนานาชาติ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาเมืองอัจฉริยะแบบครบวงจร
ในแง่ของโอกาสธุรกิจชายแดน การพัฒนาของคิงส์โรมันได้สร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักลงทุนกลุ่มเป้าหมาย นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ถึงมิถุนายน 2566 มีผู้เดินทางเข้า-ออกถึง 85 สัญชาติ รวม 278,231 คน สะท้อนถึงการเป็นจุดเชื่อมโยงการเดินทางที่สำคัญในภูมิภาค ด้วยการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจแบบพิเศษ ทำให้การลงทุนต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและดึงดูดเม็ดเงินมหาศาล
ขยายปีกสู่ท้องฟ้า: บทบาทของสนามบินนานาชาติบ่อแก้ว
หนึ่งในก้าวสำคัญที่ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน คือการเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการของสนามบินนานาชาติบ่อแก้ว เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 สนามบินแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 1,800 ไร่ ด้วยรันเวย์ยาว 2,700 เมตร ซึ่งรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้สูงสุดถึง 200 ที่นั่ง เช่น Airbus A321, Boeing 737-900 และ ATR-72 มูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของ สปป.ลาว
การมีสนามบินระดับนานาชาติถือเป็นการยกระดับศูนย์กลางโลจิสติกส์ระหว่างประเทศอย่างแท้จริง ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจากจีนและทั่วโลกให้สามารถเข้าถึง เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของบริการสุขภาพและการแพทย์ระดับพรีเมียม และธุรกิจโรงแรมหรูและคาสิโนภายในโครงการ
นอกเหนือจากบทบาทด้านการบิน สนามบินแห่งนี้ยังเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรที่น่าสนใจ บริเวณใกล้เคียงมีการปรับพื้นที่ดอยจำนวนมากเพื่อปลูกทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีความต้องการสูงในตลาดจีน สะท้อนถึงการวางแผนเชิงรุกเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารภายในเขตเศรษฐกิจ และส่งออกไปยังจีนและลาวในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนด้านปศุสัตว์และพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ เพื่อรองรับการบริโภคที่เพิ่มขึ้นภายในเมือง
เปิดเส้นทางน้ำ: ท่าเรือและโอกาสโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน
กลุ่มทุนเจ้าเหว่ยไม่ได้หยุดอยู่แค่ทางบกและทางอากาศ แต่ยังทุ่มเทกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางน้ำอย่างจริงจัง ท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 450,000 คนต่อปี และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่สามารถรองรับได้อีก 150,000 คนต่อปี ที่สำคัญคือท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมลานพิธีการศุลกากร ซึ่งสามารถรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือรองรับสินค้าได้ 10,000 ตันต่อปี
การพัฒนาท่าเรือเหล่านี้จะช่วยส่งเสริม เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ครบวงจรอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขง ซึ่งจะเชื่อมโยงจีน ลาว เมียนมา และไทยเข้าด้วยกัน ถือเป็นเมกะโปรเจกต์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาลให้กับห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยวและขนส่งสินค้าในภูมิภาค การบริหารความเสี่ยงการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการวางแผนภาษีระหว่างประเทศ และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์อย่างแม่นยำ
ไลฟ์สไตล์เหนือระดับ: กอล์ฟ, ตลาดน้ำ และการศึกษา
นอกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่แล้ว เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ยังให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศที่ครบครันสำหรับชีวิตประจำวันและการพักผ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มนักลงทุนและผู้บริหารระดับสูง หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นคือ สนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมที่พักหรูหราที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียมจากอาเซียนและต่างประเทศ
อีกหนึ่งไฮไลท์คือ โครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จิงเสิน จำกัด โดยมีเป้าหมายที่จะจำลองบรรยากาศแบบมาเก๊า ผสมผสานโรงแรม ตลาดน้ำ คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน พร้อมอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โครงการนี้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากฝั่งไทยให้ข้ามมาสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่
นอกจากนี้ การลงทุนในโรงเรียนนานาชาติแบบเรียนฟรีสำหรับบุตรหลานของพนักงานและผู้ที่เข้ามาทำงานในคาสิโนคิงส์โรมัน ก็สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนในระยะยาวเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนและดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพ การพัฒนาเหล่านี้บ่งชี้ถึงวิสัยทัศน์ที่จะสร้างเมืองที่ครบวงจร ไม่ใช่แค่เพียงแหล่งบันเทิง แต่เป็นแหล่งอยู่อาศัยและการทำงานที่มีคุณภาพสูง
เชียงแสน: เมืองผ่าน หรือ เมืองปักหมุด?
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ย่อมนำมาซึ่งคำถามใหญ่สำหรับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกันแค่แม่น้ำโขงกั้น ในฐานะรองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อำเภอเชียงแสน คุณจิระศักดิ์ นวปฏิภาณ ได้สะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า ปัจจุบันเชียงแสนยังคงเป็นเพียง “เมืองผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางไปคิงส์โรมัน
ปัญหาหลักคือ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ได้พัฒนาตัวเองจนเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทุกอย่างครบวงจร ซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยเฉลี่ยถึง 10,000 คนต่อเดือน ให้มุ่งตรงไปยังฝั่งลาวโดยตรง ทำให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เชียงแสนได้รับนั้นมีจำกัด ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงส่วนใหญ่คือผู้ประกอบการรถรับจ้างไทยที่ให้บริการรับ-ส่งนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมายังเชียงแสนเพื่อข้ามฝั่ง และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจของเชียงแสนเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย มีความพยายามปรับตัวเพื่อรับการพัฒนาของคิงส์โรมัน เช่น การลงทุนเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นราว 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาวอีก 2 แห่ง เพื่ออาศัยจุดชมวิวแสงสีของคิงส์โรมันยามค่ำคืน แต่ด้วยต้นทุนค่าเช่าที่ดินริมแม่น้ำโขงฝั่งเชียงแสนที่พุ่งสูงถึง 100,000 บาทต่อเดือนสำหรับแปลงขนาด 25 เมตรกว้างถึงริมน้ำ ทำให้การพัฒนาเชิงพาณิชย์เป็นไปอย่างจำกัดและต้องใช้ทุนสูง
ยุทธศาสตร์พลิกโฉมเชียงแสนสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดน 2025+
เพื่อไม่ให้เชียงแสนเป็นเพียงเงาของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน แต่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดนที่มีศักยภาพและเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและกล้าหาญ โดยมีแนวทางดังนี้:
เมกะโปรเจกต์จากภาครัฐ: หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาการลงทุนในเมกะโปรเจกต์เชิงรุกในพื้นที่เชียงแสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่อาจจะมาในรูปแบบที่แตกต่างจากคิงส์โรมัน หรือการสร้าง Wellness City ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้พักค้างแรมและใช้จ่ายในเชียงแสนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น นักท่องเที่ยวอาจข้ามไปตีกอล์ฟที่คิงส์โรมัน แล้วกลับมาใช้บริการสปาหรือบริการสุขภาพและการแพทย์ระดับพรีเมียมที่เชียงแสน นี่คือการสร้างจุดดึงดูดที่เป็นเอกลักษณ์และเติมเต็มซึ่งกันและกัน
การเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน: ประเด็นการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่างเชียงแสนกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้จะเอื้อประโยชน์ด้านการเดินทาง แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเรือข้ามฟาก และต้องคำนึงถึงมิติความมั่นคงของประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนที่ได้มาตรฐาน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้เชียงแสน
ใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC): เชียงรายเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดแกนหลักของระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ การวางยุทธศาสตร์ให้เชียงแสนเชื่อมโยงกับฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน ทั้งจากฝั่งคิงส์โรมัน และถนน R3A ที่ทุนจีนก็เข้าปักหมุดเช่นกัน จะช่วยดึงดูดโอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกและแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาโครงการ ให้หมุนเวียนและสร้างประโยชน์ให้กับภาคเหนืออย่างเป็นรูปธรรม
สร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ: นอกเหนือจากการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน เชียงแสนควรส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่นที่มีศักยภาพ เช่น เกษตรแปรรูปที่ใช้เทคโนโลยีการท่องเที่ยวเชิงนวัตกรรมเข้ามาผสมผสาน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีมูลค่าสูงขึ้น หรือการสร้างศูนย์กลางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่โดดเด่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์เชิงลึก
นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ: รัฐบาลไทยต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่เชียงแสน ลดอุปสรรคด้านกฎระเบียบ และให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการไทย รวมถึงการวางแผนระยะยาวเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และการดูแลผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม การบริหารความเสี่ยงการลงทุน และการวางแผนภาษีระหว่างประเทศ จะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
โอกาสและความท้าทายในอนาคต
การเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน เปรียบเสมือนใบมีดสองคม มันนำมาซึ่งโอกาสมหาศาลในการเพิ่มการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การสร้างงาน และการยกระดับการท่องเที่ยวระดับพรีเมียม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายในการบริหารจัดการผลกระทบ ทั้งด้านสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ
สำหรับเชียงแสน นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ต้องตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ตนเองเป็นเพียง “เมืองผ่าน” ต่อไป หรือจะใช้โอกาสจากพลังขับเคลื่อนของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน พลิกโฉมตนเองให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชายแดนที่มีชีวิตชีวาและยั่งยืน ด้วยการวางแผนเชิงรุก การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างเอกลักษณ์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
อนาคตของเชียงแสนขึ้นอยู่กับความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น ในการกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศอย่างชาญฉลาด และสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้กับทุกคน หากเราสามารถถอดรหัสและใช้ประโยชน์จากพลวัตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชียงแสนก็พร้อมที่จะก้าวข้ามบทบาท “เมืองผ่าน” สู่การเป็น “เมืองปักหมุด” ที่สำคัญแห่งอนาคต
ผมเชื่อมั่นว่าศักยภาพของเชียงแสนนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นเพียงทางผ่าน หากคุณคือนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้กำหนดนโยบายที่เล็งเห็นโอกาสในการเติบโตในภูมิภาคนี้ เราขอเชิญชวนให้คุณร่วมกันศึกษา สำรวจ และสร้างสรรค์ยุทธศาสตร์ใหม่ๆ เพื่อปลดล็อกศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของเชียงแสน สู่การเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในแผนภาพเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในอีก 10 ปีข้างหน้า ติดต่อเราเพื่อปรึกษาโอกาสและแนวทางการลงทุนที่เหมาะสมกับวิสัยทัศน์ของคุณวันนี้

