พลิกโฉม “เชียงแสน” จุดยุทธศาสตร์สู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน: บทวิเคราะห์เชิงลึกโอกาสและความท้าทายจาก “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” ในปี 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ระดับภูมิภาคมากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าจับตาดูการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจบริเวณสามเหลี่ยมทองคำอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผงาดขึ้นของ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” ณ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ที่ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่มิอาจมองข้ามได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการมหาศาลนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมและความท้าทายใหม่ ๆ ให้กับ “เชียงแสน” เมืองหน้าด่านของไทยที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม บทความนี้จะเจาะลึกถึงพลวัตของการพัฒนานี้ วิเคราะห์ผลกระทบ และเสนอแนะกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อให้เชียงแสนและประเทศไทยสามารถคว้าโอกาสและรับมือกับความท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพในทศวรรษหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 เป็นต้นไป
กำเนิดและการผงาดของ “คิงส์โรมัน”: อาณาจักรแห่งการลงทุนไร้ขีดจำกัด
เรื่องราวของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อน เมื่อกลุ่มดอกงิ้วคำ ภายใต้การนำของนักลงทุนชาวจีนผู้มากวิสัยทัศน์ “เจ้าเหว่ย” ได้รับสัมปทานพื้นที่กว่า 2,173 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลาถึง 99 ปี นี่ไม่ใช่เพียงการลงทุนทั่วไป แต่เป็นการวางรากฐานเพื่อสร้าง “มณฑลแห่งใหม่” ของจีนที่ตั้งอยู่ประชิดชายแดนไทย เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนต่างชาติมหาศาล และเป็นศูนย์กลางเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ครบวงจรระดับโลก ด้วยมูลค่าการลงทุนที่สูงถึงแสนล้านบาท การพัฒนาโครงการนี้นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในบริบทของการลงทุนข้ามชาติและอิทธิพลของจีนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
วิสัยทัศน์ของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำมีความครอบคลุมและทะเยอทะยานอย่างยิ่ง โดยมุ่งเน้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขง ศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงภูมิภาค การพัฒนาด้านเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจร การกีฬาและสันทนาการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ จากการสำรวจล่าสุด พื้นที่ใจกลางเมืองได้รับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือมาตรฐานที่สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ การขยายเครือข่ายถนนที่ทันสมัย การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะที่สะอาดและมีคุณภาพ รวมถึงการจัดบริการแท็กซี่ป้ายจีนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก หากมองจากฝั่งเชียงแสน เราจะเห็นภาพเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า โรงแรมหรู บ่อนกาสิโนระดับโลก คอนโดมิเนียมและอาคารชุดพักอาศัยนับสิบแห่งที่กำลังก่อสร้าง อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทข้ามชาติ ภัตตาคารหรู ร้านอาหารหลากหลายสัญชาติ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ที่จำลองกลิ่นอายวัฒนธรรมจีน โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ ไปจนถึงสนามบินนานาชาติบ่อแก้วที่เพิ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ ถือเป็นการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ครบวงจรและมีเอกลักษณ์ ปัจจุบันมีพลเมืองทั้งชาวลาว ชาวจีน และชาวต่างชาติอื่น ๆ พำนักรวมกันกว่า 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงศักยภาพการดึงดูดบุคลากรและนักลงทุนอย่างมหาศาล
แกะรอยระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจของ “คิงส์โรมัน”: ความสมบูรณ์แบบที่สร้างกำแพง
ความสำเร็จของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำไม่ได้จำกัดอยู่แค่การก่อสร้างอาคาร แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบและพึ่งพาตนเองได้ในทุกมิติ ยกตัวอย่างเช่น ท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ด้วยพื้นที่กว่า 1,800 ไร่ รันเวย์ยาว 2,700 เมตร และมูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของ สปป.ลาว สามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจีนแผ่นดินใหญ่
นอกจากโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมแล้ว การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และบริการก็เป็นหัวใจสำคัญ กลุ่มทุนเจ้าเหว่ยกำลังทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากในการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งตั้งเป้ารองรับผู้โดยสารได้ปีละ 450,000 คน และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่สามารถรองรับได้ถึง 150,000 คนต่อปี ที่สำคัญคือการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขงพร้อมลานพิธีการศุลกากร ซึ่งจะรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือสินค้าได้ปีละ 10,000 ตัน การเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงระหว่างจีน ลาว เมียนมา และไทยในปีนี้ จะยิ่งเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและการท่องเที่ยวทางน้ำให้เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
การลงทุนในภาคส่วนอื่น ๆ ก็มิได้ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมและที่พักสุดหรูที่เปิดให้บริการแล้วเมื่อปลายปี 2566 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์จากอาเซียนและทั่วโลก อีกโครงการที่น่าจับตาคือตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ ซึ่งก่อสร้างโดยบริษัท จิงเสิน จำกัด โดยมีแนวคิดที่จะสร้างบรรยากาศแบบมาเก๊า ผสมผสานโรงแรม ตลาดน้ำ คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่าง ๆ ในรูปแบบที่อนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม คาดว่าจะเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้หลั่งไหลข้ามมาจากฝั่งไทย
สิ่งที่น่าสนใจและเป็นเอกลักษณ์ของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำคือการบริหารจัดการที่เน้นการพึ่งพาตนเองและสร้างระบบปิดที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ชาวจีนและชาวเมียนมาเป็นกลุ่มประชากรหลักที่เข้ามาทำงานและใช้ชีวิตในเขตนี้ โดยมีโซนที่พักอาศัยเฉพาะสำหรับแรงงานต่างชาติ ขณะที่ชาวลาวส่วนใหญ่จะทำงานในตำแหน่งบริการหรืองานสำนักงาน สะท้อนให้เห็นถึงการวางแผนด้านทรัพยากรบุคคลและการจัดการชุมชนที่ค่อนข้างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในภาคเกษตรสมัยใหม่ก็เป็นยุทธศาสตร์สำคัญ มีการเร่งถางดอยเพื่อปลูกทุเรียนรองรับตลาดจีนที่มีความต้องการสูง รวมถึงพื้นที่ปศุสัตว์และพืชไร่อื่น ๆ เพื่อป้อนการบริโภคภายในเขตเศรษฐกิจ และส่งออกสู่ตลาดจีนและลาวในอนาคต ทำให้เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำสามารถสร้างห่วงโซ่อุปทานของตนเองได้อย่างครบวงจร ลดการพึ่งพาจากภายนอก ซึ่งเป็นทั้งจุดแข็งและจุดท้าทายสำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย
เชียงแสน: เมืองทางผ่านที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง?
ในทางตรงกันข้าม “เชียงแสน” จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ดูเหมือนจะได้รับผลประโยชน์หรืออานิสงส์จากการพัฒนาอันยิ่งใหญ่นี้เพียงน้อยนิด ผมได้พูดคุยกับผู้ประกอบการและนักวิชาการในพื้นที่หลายท่าน ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า เชียงแสนในปัจจุบันเป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางไปคิงส์โรมันเท่านั้น เนื่องจากเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำมีความครบวงจรในทุกด้าน ทั้งที่พัก อาหาร สถานบันเทิง แหล่งช้อปปิ้ง ทำให้เป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทยโดยตรง โดยสถิติชี้ว่ามีนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำเฉลี่ยเดือนละประมาณ 10,000 คน
ผลประโยชน์ที่เชียงแสนได้รับนั้นจำกัดอยู่เพียงผู้ประกอบการรถรับจ้างไทยที่ให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมายังเชียงแสนเพื่อข้ามฝั่ง และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเท่านั้น ภาคธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต หรือร้านอาหารในเชียงแสนยังไม่ได้รับอานิสงส์เท่าที่ควร แม้ว่าจะมีนักลงทุนท้องถิ่นบางรายพยายามปรับตัวด้วยการเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้น หรือลงทุนในโรงแรมระดับ 2-3 ดาว เพื่ออาศัยจุดชมวิวแสงสียามค่ำคืนของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แต่ก็ยังไม่สามารถดึงนักท่องเที่ยวให้พักค้างคืนหรือใช้จ่ายในเชียงแสนได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ปัญหาหลักประการหนึ่งคือราคาที่ดินริมแม่น้ำโขงฝั่งเชียงแสนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้การลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ทำได้ยากและไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจหากไม่มีมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐ
กลยุทธ์เชิงรุกสำหรับ “เชียงแสน” และประเทศไทย: พลิกวิกฤตเป็นโอกาส
จากประสบการณ์ในอุตสาหกรรม ผมมองว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญที่ประเทศไทย โดยเฉพาะเชียงแสน จะต้องปรับกระบวนทัศน์และวางกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อพลิกสถานะจาก “เมืองทางผ่าน” ให้กลายเป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่มีคุณค่าและสามารถเชื่อมโยงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำได้อย่างสมดุล ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนา “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ” (Northern Economic Corridor: NEC) ที่ครอบคลุมเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย โดยมีเป้าหมายในการดึงเม็ดเงินลงทุนจากทั้งภายในและต่างประเทศ
การนิยามบทบาทใหม่ของเชียงแสน: สู่ “Wellness City” และศูนย์กลางวัฒนธรรม
แทนที่จะแข่งขันโดยตรงกับคิงส์โรมัน เชียงแสนควรสร้างจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เช่น การเป็น “Wellness City” หรือเมืองแห่งสุขภาพที่ครบวงจร ที่นักท่องเที่ยวสามารถข้ามมาใช้บริการสปา นวดแผนไทย หรือบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปตีกอล์ฟหรือพักผ่อนที่คิงส์โรมัน อาจเลือกพักค้างคืนหรือใช้จ่ายเงินในเชียงแสนหากมีบริการที่ตอบโจทย์ นอกจากนี้ การส่งเสริมเชียงแสนในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของอาณาจักรล้านนา โดยเฉพาะโบราณสถานต่าง ๆ จะช่วยสร้างความแตกต่างและคุณค่าที่คิงส์โรมันไม่มี การลงทุนในธุรกิจโรงแรมรีสอร์ทที่เน้นการพักผ่อนเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจชายแดนที่น่าสนใจ
เมกะโปรเจกต์จากภาครัฐ: สร้างแรงดึงดูดใหม่
ภาคเอกชนในเชียงแสนไม่สามารถลงทุนโครงการขนาดใหญ่ได้ด้วยตนเองเนื่องจากข้อจำกัดด้านที่ดินและเงินทุน รัฐบาลจึงต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลักดัน “โครงการลงทุนขนาดใหญ่” ที่จะสร้างแรงดึงดูดใหม่ให้กับพื้นที่ เช่น การพิจารณาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่างเชียงแสนกับ สปป.ลาว (แม้จะต้องพิจารณาผลกระทบต่อผู้ประกอบการเรือข้ามฟากและความมั่นคงอย่างรอบด้าน) ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวข้ามแดนอย่างมหาศาล อีกทั้งการผลักดันโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่ได้รับการควบคุมอย่างถูกกฎหมายในพื้นที่ที่เหมาะสม ก็อาจเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในเชียงแสนได้
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเชื่อมโยงเครือข่าย
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในเชียงแสนให้มีมาตรฐานทัดเทียมกับคิงส์โรมันเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การปรับปรุงภูมิทัศน์เมืองให้สวยงาม การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ การพัฒนาถนนหนทาง และการยกระดับบริการขนส่งสาธารณะ นอกจากนี้ การเชื่อมโยงโครงข่ายโลจิสติกส์กับ NEC และโครงข่ายการค้าชายแดนอื่น ๆ จะช่วยให้เชียงแสนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคได้อย่างแท้จริง การส่งเสริมการพัฒนาท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดเล็กหรือจุดพักสินค้าเพื่อรองรับการค้าข้ามแดนจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเชียงแสน การประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่อย่างเป็นธรรมและมีแผนแม่บทการใช้ที่ดินที่ชัดเจน จะช่วยดึงดูดการลงทุนอสังหาฯ เชียงรายในระยะยาว
การส่งเสริมการลงทุนต่างชาติและการร่วมทุน
รัฐบาลไทยควรมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนต่างชาติและร่วมทุนกับนักลงทุนจีนหรือนักลงทุนจากประเทศอื่น ๆ ที่สนใจเข้ามาพัฒนาในเชียงแสน โดยอาจพิจารณามาตรการจูงใจพิเศษสำหรับธุรกิจโรงแรมรีสอร์ท ธุรกิจบริการสุขภาพ หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่สำคัญคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการ
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเศรษฐกิจท้องถิ่น
การเตรียมความพร้อมของบุคลากรท้องถิ่น ทั้งด้านภาษา ทักษะการบริการ และความรู้ด้านเทคโนโลยี เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและบริการในอนาคต รัฐควรสนับสนุนการฝึกอบรมอาชีพและส่งเสริมการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยเน้นสินค้าเกษตรอินทรีย์ หัตถกรรมท้องถิ่น หรือผลิตภัณฑ์โอท็อปที่มีเอกลักษณ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้กับชุมชน
ภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์และโอกาสในอนาคต
อิทธิพลของจีนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative (BRI) ที่มุ่งเชื่อมโยงจีนกับทั่วโลก ในส่วนของเชียงรายเอง ก็ยังมีอิทธิพลทุนจีนในพื้นที่ประชิดอำเภอเชียงของผ่านถนน R3A การบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจแบบพิเศษของคิงส์โรมัน ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าประเทศไทยจะสามารถเชื่อมโยงและได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนมหาศาลนี้ได้อย่างไร? หากเชียงแสนสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างชาญฉลาด โดยไม่พึ่งพาเพียงการเป็นทางผ่าน แต่สร้างบทบาทที่เกื้อหนุนและเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ เช่น การเป็นแหล่งวัตถุดิบทางการเกษตรคุณภาพสูงสำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือเป็นฐานบริการโลจิสติกส์ที่สำคัญสำหรับสินค้าส่งออก เป็นต้น
อนาคตของเชียงแสนและภาคเหนือของไทยขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและการลงมือทำอย่างจริงจังของภาครัฐและเอกชน การบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจในลักษณะ “เขตปลอดภาษี” หรือการสร้าง “กลยุทธ์การลงทุน” ที่ดึงดูดจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง การสร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับความมั่นคงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม คือหัวใจสำคัญของการเติบโตที่ยั่งยืน
บทสรุปและก้าวต่อไป
การผงาดของเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำเป็นทั้งสัญญาณเตือนและโอกาสอันมหาศาลสำหรับเชียงแสนและประเทศไทย หากเรายังคงปล่อยให้เชียงแสนเป็นเพียงทางผ่าน เราก็จะพลาดโอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่เศรษฐกิจระดับแสนล้านบาทที่เกิดขึ้นตรงหน้า การปรับตัวเชิงรุก การวางแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน คือกุญแจสำคัญที่จะพลิกโฉมเชียงแสนให้กลายเป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจอาเซียน” ที่เชื่อมโยงกับภูมิภาคได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่เมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า และสามารถสร้างผลประโยชน์ที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทยในระยะยาวได้
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องฉกฉวยโอกาสจากพลวัตทางเศรษฐกิจนี้ และร่วมกันกำหนดอนาคตที่สดใสของเชียงแสนและภูมิภาค หากท่านเป็นนักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน เราขอเชิญชวนให้ท่านศึกษาศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของเชียงแสนและโอกาสทางธุรกิจชายแดนนี้อย่างลึกซึ้ง และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ไปพร้อมกับเรา

