เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน: พลิกโฉม “เชียงแสน” ในมิติใหม่แห่งโอกาสและความท้าทาย
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ชายแดนมากว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการผงาดขึ้นของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ หรือที่รู้จักกันในนาม คิงส์โรมัน บนฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอ เชียงแสน จังหวัดเชียงรายอย่างไม่หยุดยั้ง การพัฒนาอันรวดเร็วและมหึมานี้มิใช่เพียงปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจในพื้นที่เฉพาะเท่านั้น หากแต่เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนที่เต็มไปด้วยมิติอันซับซ้อน ทั้งโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน รวมถึงความท้าทายเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทย โดยเฉพาะอำเภอ เชียงแสน ต้องเร่งปรับตัวและวางกลยุทธ์เพื่อคว้าประโยชน์สูงสุด
คิงส์โรมัน ในวันนี้ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงพื้นที่สัมปทานเพื่อธุรกิจบันเทิง กลายเป็น “มณฑลแห่งใหม่ของจีน” ที่ติดกับพรมแดนไทยอย่างแท้จริง สะท้อนวิสัยทัศน์ของกลุ่มดอกงิ้วคำภายใต้การนำของ “เจ้าเหว่ย” ที่ได้พลิกฟื้นผืนดินกว่า 63,750 ไร่ ให้กลายเป็นอาณาจักรเอ็นเตอร์เทนเมนต์และศูนย์กลางการลงทุนครบวงจรระดับโลกด้วยเม็ดเงินมหาศาลกว่าแสนล้านบาท การเปลี่ยนแปลงนี้กำลังส่งแรงกระเพื่อมไปยังทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจชายแดนไทย-ลาว และเป็นบทเรียนสำคัญในการทำความเข้าใจพลวัตของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในภูมิภาค
กำเนิดอาณาจักร คิงส์โรมัน: จากวิสัยทัศน์สู่ความเป็นจริง
ย้อนกลับไปกว่า 17 ปี กลุ่มทุนจีนได้เข้ามาบุกเบิกพื้นที่นี้ภายใต้สัญญาสัมปทาน 99 ปีจากรัฐบาล สปป.ลาว ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และที่อยู่อาศัย การเป็นฮับด้านการท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขง ศูนย์กลางโลจิสติกส์ยุคใหม่ การพัฒนาเกษตรกรรมครบวงจร รวมถึงกีฬาและสันทนาการระดับมาตรฐาน ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับการผลักดันอย่างจริงจัง จนทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นมหานครแห่งใหม่ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
จากการสำรวจล่าสุด ภาพของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ไม่ได้เป็นเพียงผืนป่าที่ถูกพัฒนาเป็นบางส่วนอีกต่อไป แต่คือเมืองที่เต็มไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานอันทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือมาตรฐานสากลที่กำลังขยายขีดความสามารถ ถนนหนทางที่กว้างขวาง ป้ายรถโดยสารสาธารณะที่จัดระเบียบ ห้องน้ำสาธารณะที่สะอาดและสวยงาม ไปจนถึงบริการแท็กซี่ป้ายจีนที่พร้อมอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก หากมองจากฝั่งอำเภอ เชียงแสน จะเห็นตึกสูงระฟ้าเรียงรายริมแม่น้ำโขง ตลอดจนอาคารชุดและคอนโดมิเนียมอีกนับสิบโครงการที่กำลังก่อสร้าง สะท้อนถึงการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ชายแดนอย่างมีนัยสำคัญ
ภายในใจกลางเมืองของ คิงส์โรมัน เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและธุรกิจบริการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูหรา บ่อนกาสิโนระดับโลก คอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย อาคารสำนักงาน บริษัทห้างร้าน ภัตตาคารนานาชาติ ร้านอาหารรสเลิศ สถานบันเทิงครบวงจร ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ ไปจนถึงสนามบินนานาชาติบ่อแก้วที่เพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เป็นเมืองที่มีการบริหารจัดการแบบพิเศษ ดึงดูดประชากรทั้งภายในและต่างประเทศเข้ามาอาศัยและทำงานร่วมกันกว่า 60,000 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือตัวอย่างของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ศักยภาพของโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว: ปีกแห่งการเติบโต
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและคมนาคม สนามบินนานาชาติบ่อแก้ว ซึ่งเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ด้วยพื้นที่กว่า 1,800 ไร่ และรันเวย์ยาว 2,700 เมตร รองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ถึง Airbus A321 หรือ Boeing 737-900 ทำให้เป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับสามของ สปป.ลาว ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สนามบินแห่งนี้ไม่ได้มีไว้รองรับแค่ประชากรในเขตเศรษฐกิจฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีนและภูมิภาคอื่น ๆ ให้หลั่งไหลเข้ามา
อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงสนามบินยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ซึ่งบ่งชี้ถึงลักษณะเฉพาะของการบริหารจัดการพื้นที่นี้ ในขณะที่ชาวลาวส่วนใหญ่มักมีบทบาทเป็นไกด์นำเที่ยวหรือผู้ให้บริการบางส่วนเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพิงแรงงานและบุคลากรจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนและเมียนมา ซึ่งชาวเมียนมาส่วนใหญ่เข้ามาทำงานในภาคการก่อสร้าง ส่วนชาวจีนดำรงตำแหน่งสำคัญและเป็นกำลังซื้อหลักภายในเขต
นอกจากสนามบินแล้ว การลงทุนในท่าเรือก็เป็นอีกหนึ่งเมกะโปรเจกต์ที่น่าจับตา กลุ่มทุนจ้าวเหว่ยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งตั้งเป้ารองรับผู้โดยสารสูงถึง 450,000 คนต่อปี และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่รองรับได้ 150,000 คนต่อปี ที่สำคัญคือท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขงที่สามารถรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือสินค้าได้ 10,000 ตันต่อปี ภายในปี 2568 นี้ คาดว่าจะมีการเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงเชื่อมโยงระหว่างจีน ลาว เมียนมา และไทย ซึ่งจะส่งเสริมการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและเปิดโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในภูมิภาคนี้อย่างมหาศาล
ขยายขอบเขตสู่เกษตรกรรมและไลฟ์สไตล์: นอกเหนือจากความบันเทิง
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ไม่ได้จำกัดการลงทุนอยู่แค่ภาคบริการและความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ภาคเกษตรกรรมสมัยใหม่และไลฟ์สไตล์ที่ตอบสนองความต้องการของประชากรและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งถางป่าบนภูเขาหลายลูกเพื่อเตรียมปลูกทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีดีมานด์สูงมากในตลาดจีน สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและการส่งออกในระยะยาว คาดว่าภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ต้นทุเรียนเหล่านี้จะเริ่มให้ผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาด คิงส์โรมัน และหากเหลือก็จะส่งออกไปยังตลาดจีนและลาว นี่คือการลงทุนที่มุ่งเน้นผลตอบแทนสูง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาพื้นที่ปศุสัตว์ ทั้งวัวและสุกร ตลอดจนการปลูกถั่วและดอกไม้ประดับ ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ครบวงจร เพื่อรองรับการบริโภคภายในเขตและเสริมสร้างศักยภาพด้านการส่งออกในอนาคต
ด้านไลฟ์สไตล์ คิงส์โรมัน ได้เปิดสนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในอาเซียนและต่างประเทศ ซึ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคม 2566 นอกจากนี้ ยังมีโครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ โดยบริษัท จิงเสิน จำกัด ซึ่งตั้งเป้าจะจำลองบรรยากาศแบบมาเก๊า โดยภายในจะมีโรงแรม ตลาดน้ำ คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่าง ๆ ในรูปแบบที่อนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ข้ามมาจากฝั่งไทย นี่คือตัวอย่างของ การพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ที่สร้างแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนและนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
เชียงแสน: เมืองผ่านที่ต้องพลิกเกม
ในขณะที่ คิงส์โรมัน เติบโตอย่างก้าวกระโดด อำเภอ เชียงแสน ซึ่งเป็นเมืองคู่แฝดทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ กลับต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง จากการประเมินของนักธุรกิจในท้องถิ่น เชียงแสน ในปัจจุบันแทบไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากความรุ่งเรืองของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เลย ตรงกันข้าม เชียงแสน กลับกลายเป็นเพียง “ทางผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางไปสัมผัสความหรูหราและครบวงจรของ คิงส์โรมัน โดยมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปยัง เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เฉลี่ยเดือนละประมาณ 10,000 คน
คุณจิระศักดิ์ นวปฏิภาณ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อำเภอ เชียงแสน ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญว่า ด้วยความครบวงจรของ คิงส์โรมัน ทั้งโรงแรม บ่อนกาสิโน ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิง ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะใช้จ่ายและพักค้างคืนอยู่ภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ไม่ได้ข้ามกลับมาพักค้างหรือใช้จ่ายใน เชียงแสน มากนัก ทำให้ธุรกิจโรงแรมเชียงแสน ร้านอาหารเชียงแสน และธุรกิจบริการอื่น ๆ ในท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์จำกัด มีเพียงผู้ประกอบการรถรับจ้างจากสนามบินเชียงรายที่รับส่งนักท่องเที่ยวจีนมายัง เชียงแสน เพื่อข้ามไป คิงส์โรมัน และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากบางส่วนเท่านั้นที่ได้รับอานิสงส์
ภาคธุรกิจใน เชียงแสน พยายามปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยมีการลงทุนเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นกว่า 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาวเปิดใหม่ 2 แห่ง เพื่ออาศัยจุดชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่เต็มไปด้วยแสงสี อย่างไรก็ตาม การพัฒนาใน เชียงแสน เป็นไปอย่างเชื่องช้าเมื่อเทียบกับฝั่งตรงข้าม ปัญหาสำคัญคือราคาที่ดินริมแม่น้ำโขงฝั่ง เชียงแสน ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาล โดยมีค่าเช่าสูงถึง 100,000 บาทต่อเดือนสำหรับพื้นที่กว้าง 25 เมตร ลึกถึงริมน้ำ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชายแดนและธุรกิจอื่น ๆ ของผู้ประกอบการท้องถิ่น
โอกาสและความท้าทายในการวางยุทธศาสตร์สำหรับ เชียงแสน
คำถามสำคัญคือ “จะทำอย่างไรให้ เชียงแสน ไม่ใช่แค่เมืองผ่าน แต่เป็นจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนได้ด้วยตัวเอง?” หอการค้าจังหวัดเชียงรายมองเห็นถึงความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเข้ามามีบทบาทในการผลักดันเมกะโปรเจกต์ลงสู่พื้นที่ เชียงแสน เพื่อสร้าง “แม่เหล็ก” ดึงดูดการท่องเที่ยวและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในฐานะเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้ามกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือการพิจารณาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่าง เชียงแสน กับ คิงส์โรมัน แม้จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ฝั่ง คิงส์โรมัน มากขึ้น แต่หากมีการวางแผนที่ดี สะพานนี้อาจเป็นโอกาสในการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ที่สำคัญสำหรับไทย อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการเรือข้ามฟากและประเด็นด้านความมั่นคงอย่างรอบด้าน
แนวคิดในการพัฒนา เชียงแสน ให้เป็น Wellness City หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง นักท่องเที่ยวที่ข้ามไปเล่นกอล์ฟที่ คิงส์โรมัน อาจจะกลับมาพักผ่อนทำสปาที่ เชียงแสน ซึ่งจะช่วยยืดระยะเวลาการพำนักและเพิ่มการใช้จ่าย การสร้างกิจกรรมที่หลากหลายและโดดเด่น เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การแพทย์ทางเลือก หรือประสบการณ์ท้องถิ่นที่หาไม่ได้จาก คิงส์โรมัน จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่ เชียงแสน มากขึ้น และสร้างศักยภาพการลงทุนที่ยั่งยืน
ภายใต้นโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ที่ครอบคลุม 4 จังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย ถือเป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ การที่ปลายทางของระเบียงเศรษฐกิจของเชียงรายเชื่อมโยงกับฐานเศรษฐกิจจีนขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาท ทั้งใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ตรงข้าม เชียงแสน และด้านถนน R3A ที่ทุนจีนได้เข้ายึดทำเลใกล้เคียงอำเภอเชียงของเช่นกัน จึงเป็นความท้าทายและโอกาสในการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศไทย
การสร้างความเชื่อมโยงให้เกิดการลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการนำเสนอโอกาสการลงทุนไทย-ลาว ที่ชัดเจน และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทยเองให้มีศักยภาพในการแข่งขัน เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ เชียงแสน จำเป็นต้องมีแผนแม่บทการพัฒนาเมืองที่ชัดเจน เพื่อดึงดูดโครงการอสังหาริมทรัพย์หรู การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบโจทย์ และธุรกิจบริการที่โดดเด่น เพื่อให้ไม่เพียงแค่เป็นทางผ่าน แต่เป็นจุดหมายที่นักลงทุนและนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญ
มองไปข้างหน้า: การเติบโตเศรษฐกิจภูมิภาคที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ
การเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และ คิงส์โรมัน เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนพลวัตของเศรษฐกิจชายแดนในภูมิภาคนี้ไปอีกนาน การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดนไทย-ลาว มีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี คิงส์โรมัน เป็นศูนย์กลาง นี่คือโอกาสทองสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง หรือสร้างความร่วมมือทางธุรกิจกับฝั่งลาวและจีน
แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเครื่องเตือนใจให้ประเทศไทย โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเชียงราย ต้องเร่งกำหนดกลยุทธ์การค้าชายแดนและการพัฒนาเมืองอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถช่วงชิงโอกาสและจัดการกับความท้าทายที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าอนาคตของ เชียงแสน และการเชื่อมโยงกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ยังมีศักยภาพอีกมากที่จะถูกพัฒนาให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญคือการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น และการส่งเสริมภาคเอกชนให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและธุรกิจที่โดดเด่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนให้เข้ามาในพื้นที่
โอกาสการลงทุน และ ศักยภาพการลงทุน ในภูมิภาคนี้ยังคงเปิดกว้าง แต่การจะคว้ามันมาได้นั้น ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การตัดสินใจที่เด็ดขาด และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ เชียงแสน ก้าวพ้นจากการเป็นเพียงเมืองผ่าน และเติบโตเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและท่องเที่ยวที่ยั่งยืนเคียงคู่กับความเจริญของ คิงส์โรมัน อย่างแท้จริง
หากท่านคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้ที่สนใจในพลวัตของเศรษฐกิจชายแดน และกำลังมองหาโอกาสในการร่วมสร้างอนาคตที่สดใสให้กับภูมิภาคนี้ การทำความเข้าใจเชิงลึกและวางแผนอย่างมืออาชีพคือหัวใจสำคัญ ผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมหารือและสำรวจโอกาสใหม่ๆ เพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปพร้อมกัน

