พลิกโฉม “เชียงแสน”: ถอดรหัสยุทธศาสตร์ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ และอนาคตที่ไทยต้องไม่เป็นแค่ทางผ่าน
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงเศรษฐกิจชายแดนและโลจิสติกส์มานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำมาอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเรา ณ วันนี้ คือปรากฏการณ์ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ นั่นคือการผงาดขึ้นของ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” หรือที่รู้จักกันในนาม “คิงส์โรมัน” (Kings Roman) บนดินแดนเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย คิงส์โรมันมิใช่เพียงแค่โครงการพัฒนาทั่วไป แต่คือ “มณฑลย่อยของจีน” ที่เชื่อมติดกับชายแดนไทยผ่านแม่น้ำโขง ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้อย่างมหาศาล และนี่คือบทวิเคราะห์เชิงลึกจากประสบการณ์ตรงของผม ที่จะฉายภาพทั้งโอกาสและความท้าทายที่ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอเชียงแสน กำลังเผชิญอยู่
คิงส์โรมัน: อาณาจักรแห่งการลงทุนและความทะเยอทะยาน
ย้อนกลับไปกว่า 17 ปี กลุ่มดอกงิ้วคำภายใต้การนำของ “เจ้าเหว่ย” มหาเศรษฐีชาวจีน ได้รับสัมปทานพื้นที่ราว 2,173 เฮกตาร์ หรือกว่า 102 ตารางกิโลเมตร หรือ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลา 99 ปี นี่คือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการสร้างศูนย์กลางความเจริญระดับโลก โครงการนี้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ด้วยเม็ดเงินลงทุนที่คาดการณ์ไว้แตะหลักแสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความสามารถในการระดมทุนที่น่าทึ่ง หากคุณกำลังมองหาโอกาสลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การศึกษาโมเดลของ คิงส์โรมัน คือกรณีศึกษาที่สำคัญ
หัวใจสำคัญของโครงการ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ นี้ คือการเป็นอาณาจักรเอนเตอร์เทนเมนต์ครบวงจร ที่ผสานมิติทางเศรษฐกิจหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขง การเป็นฮับด้านโลจิสติกส์ การพัฒนาด้านเกษตรครบวงจร การกีฬาและสันทนาการ ตลอดจนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับการอยู่อาศัยและการพาณิชย์ จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษ ผมเห็นว่าการวางยุทธศาสตร์แบบครบวงจรเช่นนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ คิงส์โรมัน สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและการหลั่งไหลของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว
ภาพความเจริญที่ปรากฏ: การก่อร่างสร้างเมือง
หากมองจากฝั่งอำเภอเชียงแสน ภาพของเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าเรียงรายตลอดแนวริมแม่น้ำโขงในฝั่งลาว เป็นสิ่งยืนยันถึงการเร่งรัดพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน ภายในเขตใจกลางเมืองของ คิงส์โรมัน นั้นประกอบไปด้วยโรงแรมหรู บ่อนกาสิโนระดับโลก คอนโดมิเนียมและอาคารชุดเพื่อการอยู่อาศัยที่ทันสมัย อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทข้ามชาติ ภัตตาคารและร้านอาหารหลากหลายสัญชาติ สถานบันเทิงยามค่ำคืน ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ที่ดึงดูดนักช็อป ไชน่าทาวน์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา โรงเรียนนานาชาติที่รองรับบุตรหลานของผู้บริหารและพนักงาน วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ และแม้กระทั่งสนามบินนานาชาติบ่อแก้ว ทั้งหมดนี้ถูกบริหารจัดการแบบพิเศษ เปรียบเสมือนรัฐอิสระทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต โดยปัจจุบันมีพลเมืองทั้งชาวลาว จีน เมียนมา และชาติอื่นๆ อาศัยอยู่รวมกันประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อรองรับ “มณฑลจีนย่อมๆ”
สิ่งที่ทำให้ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดดเด่น คือการลงทุนอย่างมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน
สนามบินนานาชาติบ่อแก้ว: เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ด้วยพื้นที่ราว 1,800 ไร่ รันเวย์ยาว 2,700 เมตร และมูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของ สปป.ลาว สามารถรองรับเครื่องบินขนาดไม่เกิน 200 ที่นั่ง เช่น แอร์บัส A321 หรือโบอิ้ง 737-900 ได้อย่างสบาย สนามบินแห่งนี้ไม่ได้อยู่ภายในเขตเศรษฐกิจโดยตรง แต่เป็นประตูหลักที่เชื่อมโลกภายนอก โดยเฉพาะจากจีนตอนใต้ เข้าสู่ คิงส์โรมัน ซึ่งเป็นการลงทุนภาคเหนือที่สำคัญอย่างยิ่ง
ท่าเรือแห่งใหม่: กลุ่มทุนจ้าวเหว่ยกำลังเร่งก่อสร้างท่าเรือหลายแห่ง ได้แก่ ท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารปีละ 450,000 คน, ท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่รองรับผู้โดยสารได้ปีละ 150,000 คน และที่สำคัญคือท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขง พร้อมลานพิธีการศุลกากร ที่สามารถรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือรองรับสินค้าได้ปีละ 10,000 ตัน การพัฒนาโลจิสติกส์อาเซียนทางน้ำนี้จะเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงเชื่อมโยงระหว่างจีน ลาว เมียนมา และไทย ซึ่งจะส่งเสริมการค้าเสรีชายแดนและบริการโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การเกษตรสมัยใหม่: นอกจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งแล้ว คิงส์โรมัน ยังมีแผนยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนในการถางดอยหลายลูกเพื่อเตรียมปลูกทุเรียน รองรับความต้องการของตลาดจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือการมองการณ์ไกลที่จะสร้างความมั่นคงทางอาหารและรายได้ให้กับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดยจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี กว่าต้นทุเรียนจะเติบโตเต็มที่ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่สำหรับปศุสัตว์ เช่น วัวและสุกร รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ปลูกถั่วและดอกไม้ประดับ เพื่อป้อนการบริโภคภายในพื้นที่และส่งออกไปยังตลาดจีนและลาว การลงทุนในภาคเกษตรนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องการสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และลดการพึ่งพารายได้จากการพนันเพียงอย่างเดียว
สนามกอล์ฟและแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ: การเปิดสนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมที่พัก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่แสดงให้เห็นถึงการมุ่งเป้าสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับนานาชาติ การลงทุนในธุรกิจบันเทิงครบวงจรและสันทนาการเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ดึงดูดนักท่องเที่ยวในอาเซียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่แสวงหาประสบการณ์หรูหรา
ตลาดน้ำและวัฒนธรรม: โครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ ที่ก่อสร้างโดยบริษัท จิงเสิน จำกัด โดยมีเป้าหมายสร้างบรรยากาศแบบมาเก๊า ซึ่งภายในจะมีทั้งโรงแรม ตลาดน้ำ คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ในรูปแบบที่อนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรม สิ่งนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลข้ามมาจากฝั่งไทย
เชียงแสน: จากเมืองหน้าด่าน สู่ “แค่ทางผ่าน” หรือไม่?
ในขณะที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กำลังเปล่งประกายด้วยแสงสีและความเจริญ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ อำเภอเชียงแสน ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้าม กำลังได้รับประโยชน์อะไรบ้าง? จากการสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดและข้อมูลจากแหล่งข่าวต่างๆ ผมต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน เชียงแสนแทบไม่ได้รับอานิสงส์ทางเศรษฐกิจโดยตรงจาก คิงส์โรมัน มากนัก
ข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 – มิถุนายน 2566 มีคนเข้า-ออกถึง 85 สัญชาติ รวม 278,231 คน และมีการเดินผ่านด่านท้องถิ่นต้นผึ้งวันละ 100-200 คน และเพิ่มเป็น 200-300 คนในวันหยุด แต่น่าเสียดายที่นักท่องเที่ยวเหล่านี้ โดยเฉพาะชาวไทย มักจะใช้เชียงแสนเป็นเพียงทางผ่านเพื่อเดินทางต่อไปยัง คิงส์โรมัน โดยมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปยัง เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เฉลี่ยเดือนละประมาณ 10,000 คน
คุณจิระศักดิ์ นวปฏิภาณ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อำเภอเชียงแสน ได้ให้ข้อมูลที่สะท้อนความจริงอย่างตรงไปตรงมาว่า “เชียงแสนเป็นแค่ทางผ่าน” เนื่องจาก คิงส์โรมัน เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทุกอย่างครบวงจรและบริหารจัดการแบบ One Stop Service ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปใช้จ่ายภายในเขตทั้งหมด ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจึงมีเพียงกลุ่มรถรับจ้างที่ให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมายังเชียงแสนเพื่อข้ามไป คิงส์โรมัน และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเท่านั้น
แม้จะมีผู้ประกอบการท้องถิ่นพยายามปรับตัว โดยการลงทุนเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นกว่า 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาว 2 แห่ง เพื่ออาศัยจุดชมวิวฝั่งตรงข้ามของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่มีแสงสียามค่ำคืน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถดึงเม็ดเงินให้นักท่องเที่ยวค้างคืนหรือใช้จ่ายในเชียงแสนได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ นอกจากนี้ ราคาเช่าที่ดินริมแม่น้ำโขงฝั่งอำเภอเชียงแสนที่พุ่งสูงถึง 100,000 บาทต่อเดือน (สำหรับพื้นที่กว้าง 25 เมตร ลึกถึงริมน้ำ) ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการพัฒนาในท้องถิ่น
พลิกวิกฤตเป็นโอกาส: ยุทธศาสตร์สำหรับเชียงแสนในยุค 2025
ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศ ผมมองว่านี่คือความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวง แต่ก็เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับประเทศไทย หากเรามีการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและทันท่วงที
เปลี่ยนบทบาทจาก “ทางผ่าน” สู่ “จุดแวะพักและจุดหมายปลายทาง”:
ยกระดับเชียงแสนสู่ Wellness City: สร้างเอกลักษณ์ให้เชียงแสนเป็นศูนย์กลางสุขภาพและสปาชั้นนำ นักท่องเที่ยวที่ไปตีกอล์ฟหรือเที่ยวสถานบันเทิงที่ คิงส์โรมัน อาจต้องการกลับมาพักผ่อน ทำสปา หรือรับบริการด้านสุขภาพที่เชียงแสน ซึ่งมีจุดเด่นด้านการแพทย์แผนไทยและบรรยากาศที่เงียบสงบกว่า
เน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิต: เชียงแสนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีวัดเก่าแก่ และวิถีชีวิตริมโขงที่เป็นเอกลักษณ์ เราควรส่งเสริมกิจกรรมที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ เช่น การล่องเรือชมวิถีชีวิตริมโขง การเยี่ยมชมแหล่งโบราณคดี การเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น การพัฒนาสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ เพื่อให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจค้างคืนและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ผลักดันเมกะโปรเจกต์จากภาครัฐ:
โครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ในฝั่งไทย: หากรัฐบาลมีความชัดเจนในนโยบายนี้ การลงทุนขนาดใหญ่เช่นเดียวกับ คิงส์โรมัน ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน จะเป็น “Magnet” ที่ดึงดูดการท่องเที่ยวและเม็ดเงินลงทุนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่งที่หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้เคยเสนอไป การสร้างโรงแรมหรูเชียงราย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน จะช่วยสร้างสมดุลและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กระจายการใช้จ่าย
การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคม: ข้อเสนอเรื่องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมกับอำเภอเชียงแสน เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งในแง่ของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และผลกระทบต่อผู้ประกอบการเรือข้ามฟาก หากสร้างขึ้นจริง ต้องมีมาตรการรองรับและชดเชยอย่างเหมาะสม รวมถึงการใช้ประโยชน์จากท่าเรือเชียงแสนที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
การพัฒนาศักยภาพแรงงานและบุคลากรท้องถิ่น:
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ มีความต้องการแรงงานหลากหลาย ทั้งจากจีน เมียนมา และลาว เชียงแสนควรเตรียมพร้อมในการพัฒนาทักษะแรงงานในพื้นที่ เพื่อรองรับงานในอุตสาหกรรมบริการ การท่องเที่ยว และภาคส่วนอื่นๆ ที่จะเติบโตขึ้นจากการเชื่อมโยงกับ คิงส์โรมัน
ใช้ประโยชน์จากระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC):
ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ ซึ่งครอบคลุมเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย ควรเป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศและภายในประเทศให้เติบโตอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชียงราย ซึ่งมีจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีน ทั้งจาก คิงส์โรมัน และถนน R3A ที่เชื่อมโยงกับเชียงของ การวางแผนยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดจะช่วยให้การลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่ภาคเหนืออย่างยั่งยืน
ความร่วมมือและการเจรจาระหว่างประเทศ:
การหารือกับกลุ่มทุนจีนและรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อหาแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามพรมแดนที่เอื้อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เช่น การจัดแพ็กเกจท่องเที่ยวที่รวมทั้ง คิงส์โรมัน และเชียงแสน เข้าด้วยกัน หรือการสร้างกลไกให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้า คิงส์โรมัน มีโอกาสแวะเยี่ยมเยียนและใช้จ่ายในเชียงแสนมากขึ้น
อนาคตที่ต้องจับตา: ความท้าทายและโอกาส
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ โดย คิงส์โรมัน ได้กลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีพลวัตสูงในภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง การบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจพิเศษในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงดูดการลงทุนจีนและสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสมดุลของการพัฒนาระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเรื่องของการกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ในยุค 2025 และปีต่อๆ ไป เราจะได้เห็นถึงการบูรณาการของ คิงส์โรมัน เข้ากับระเบียงเศรษฐกิจที่กว้างขึ้นของจีนและอาเซียน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น เกษตรอัจฉริยะ และการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัล จะเป็นตัวกำหนดทิศทางในอนาคต ประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและอำเภอเชียงแสน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของตนเองให้ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่เฝ้ามอง แต่ต้องก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมและการลงมือทำอย่างจริงจัง
บทสรุปของเรื่องราวนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่าเชียงแสนจะเป็น “ทางผ่าน” ตลอดไปหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถมองเห็นโอกาสในความท้าทายนี้ได้อย่างไร และจะเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้เฝ้ารอ” ให้เป็น “ผู้ร่วมสร้าง” ได้อย่างไร การลงทุนในภาคเหนือ การพัฒนาธุรกิจเชียงแสน และการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเชียงแสนที่แตกต่างและมีคุณค่า จะเป็นกุญแจสำคัญ
ถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ!
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมขอย้ำว่าอนาคตของเชียงแสนและภาคเหนือของไทยไม่ได้ถูกกำหนดโดย “คิงส์โรมัน” เพียงฝ่ายเดียว แต่ถูกกำหนดโดยวิสัยทัศน์ การวางแผน และการลงมือทำของพวกเราเอง หากท่านคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้มีส่วนกำหนดนโยบายที่มองเห็นโอกาสในภูมิภาคนี้ ผมขอเชิญชวนให้ท่านร่วมกันศึกษาและพิจารณาถึงแนวทางการลงทุนและการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้เชียงแสนไม่เป็นเพียงแค่ทางผ่าน แต่เป็นจุดหมายปลายทางที่สร้างมูลค่าและเติบโตเคียงคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนให้แข็งแกร่งและยั่งยืนไปพร้อมกัน!

