พลิกมุมมองใหม่: ถอดรหัส “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน” และยุทธศาสตร์ “เชียงแสน” ในยุค 2025
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจข้ามพรมแดนและการลงทุนในภูมิภาคมานานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์หนึ่งที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดทั้งโอกาสและความท้าทาย นั่นคือการผงาดขึ้นของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ณ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว บริเวณตรงข้ามอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย การลงทุนมูลค่ามหาศาลแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการอสังหาริมทรัพย์หรือแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่เท่านั้น แต่คือหัวใจสำคัญที่กำลังพลิกโฉมภูมิทัศน์เศรษฐกิจชายแดนไทย-ลาว และเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน สามเหลี่ยมทองคำ บทความนี้จะเจาะลึกถึงวิวัฒนาการ สถานะปัจจุบัน และอนาคตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ตลอดจนวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ที่ เชียงแสน ซึ่งถูกมองเป็นเพียง “เมืองผ่าน” จะต้องปรับตัวและช่วงชิงโอกาส เพื่อไม่ให้กลายเป็นเพียงผู้ชมการเติบโตของอาณาจักรข้างบ้านที่กำลังเร่งเครื่องสู่ปี 2025
การก่อกำเนิดของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานและ การลงทุนต่างประเทศ ขนาดใหญ่ของกลุ่มดอกงิ้วคำ (Dok Ngiew Kham Group) ภายใต้การนำของเจ้าเหว่ย (Zhao Wei) นักธุรกิจชาวจีนผู้มากบารมี ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 17 ปีที่แล้ว กลุ่มทุนแห่งนี้ได้รับ สัมปทานที่ดิน ผืนใหญ่กว่า 2,173 เฮกตาร์ หรือราว 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว ด้วยระยะเวลาสัมปทานยาวนานถึง 99 ปี นี่ไม่ใช่แค่การเช่าที่ดิน แต่เป็นการสร้างอาณาจักรใหม่จากศูนย์ ณ พื้นที่ซึ่งเคยเงียบสงบริมฝั่งแม่น้ำโขง เป้าหมายที่ถูกวางไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่ม คือการเป็นศูนย์กลางด้าน การท่องเที่ยวแม่น้ำโขง โลจิสติกส์ การพัฒนาการเกษตรครบวงจร กีฬาและสันทนาการ และแน่นอนว่ารวมถึง การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นหัวใจหลัก ด้วยตัวเลข การลงทุน ที่แตะหลักแสนล้านบาท ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพมหาศาลในการพลิกโฉมพื้นที่แห่งนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็น เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากพื้นที่รกร้างสู่เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า โรงแรมหรูหรา และสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร แทบไม่ต่างอะไรกับเมืองเศรษฐกิจที่ถูกจำลองมาจากแผ่นดินใหญ่ของจีน กลายเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค สามเหลี่ยมทองคำ และเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก
เมื่อมองจากฝั่ง เชียงแสน เราจะเห็นภาพเมืองที่ก่อร่างสร้างตัวอย่างรวดเร็ว ตลอดแนวริมแม่น้ำโขงฝั่งลาวเต็มไปด้วยอาคารสูงนับสิบแห่งที่กำลังก่อสร้าง สะท้อนถึง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บทที่วางไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม ภายใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน แห่งนี้ ได้มีการพัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อรองรับพลเมืองและนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามา ปัจจุบันมีประชากรทั้งภายในและต่างประเทศอาศัยอยู่ประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย:
โครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการเมือง: คิงส์โรมัน ได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการพัฒนาถนนหนทาง ท่าเรือมาตรฐานระดับสากล ป้ายรถประจำทาง ห้องน้ำสาธารณะที่สะอาดและทันสมัย ไปจนถึงระบบขนส่งภายในด้วยรถแท็กซี่ป้ายจีน สะท้อนถึง การบริหารจัดการเมือง ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูง
อสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย: หัวใจสำคัญของการลงทุนคือโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม อาคารชุด ธุรกิจโรงแรม ระดับโลกหลากหลายแบรนด์ อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทและห้างร้าน ตลอดจนภัตตาคาร ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ที่เติมเต็มชีวิตชีวาให้กับเมือง
แหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวก: ภายในพื้นที่แห่งนี้เป็นอาณาจักรแห่งความบันเทิงและไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง มีทั้งบ่อน ธุรกิจกาสิโน คิงส์โรมัน ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติเพื่อรองรับบุตรหลานของผู้บริหารและพนักงาน วัดจีน สวนสาธารณะ และ สนามกอล์ฟหรู ทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ครบวงจร
ท่าอากาศยานนานาชาติบ่อแก้ว: ถือเป็นเมกะโปรเจกต์สำคัญที่เพิ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 สนามบินแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 1,800 ไร่ รันเวย์ยาว 2,700 เมตร ด้วยมูลค่า การลงทุน กว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ สปป.ลาว สามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ถึง Airbus A321 และ Boeing 737-900 การมีสนามบินเป็นของตนเองนี้ตอกย้ำถึงความพยายามของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ในการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและ การท่องเที่ยว ที่ครบวงจรและเป็นอิสระจากภายนอก
การลงทุนด้านการเกษตรและปศุสัตว์: ไม่เพียงแค่การพัฒนาเมืองและแหล่งบันเทิง คิงส์โรมัน ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางอาหารและการส่งออก โดยมีการเร่งถางพื้นที่ดอยเพื่อปลูกทุเรียนจำนวนมาก รองรับความต้องการของตลาดจีนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 3-4 ปีในการเก็บเกี่ยว นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับปศุสัตว์ เช่น วัวและสุกร รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ปลูกถั่วและดอกไม้ประดับ นี่คือยุทธศาสตร์ การพัฒนาการเกษตร สมัยใหม่เพื่อป้อนการบริโภคภายในเขตฯ และส่งออกสู่ตลาดภูมิภาค
ท่าเรือแห่งใหม่และการเชื่อมโยงแม่น้ำโขง: กลุ่มทุนเจ้าเหว่ยยังคงเดินหน้า ลงทุนทำกำไร อย่างต่อเนื่องด้วยการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาวที่ตั้งเป้ารองรับผู้โดยสารปีละ 450,000 คน และท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่รองรับได้ปีละ 150,000 คน นอกจากนี้ยังมีท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขงที่พร้อมลานพิธีการศุลกากร สามารถรองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือสินค้าได้ปีละ 10,000 ตัน การเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงระหว่างจีน ลาว เมียนมา และไทยในปีนี้ จะยิ่งตอกย้ำบทบาทของ คิงส์โรมัน ในฐานะศูนย์กลาง โลจิสติกส์แม่น้ำโขง และ การค้าต่างประเทศ
สนามกอล์ฟและตลาดน้ำแห่งใหม่: โครงการ สนามกอล์ฟหรู ภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมที่พักระดับโลก และโครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยบริษัท จิงเสิน จำกัด เพื่อสร้างบรรยากาศแบบมาเก๊า โดยมีทั้งโรงแรม คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ล้วนเป็นแม่เหล็กดึงดูด การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ การลงทุน จากทั่วโลก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากอาเซียนและนานาชาติ
ทว่า ในขณะที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน กำลังเปล่งประกายเจิดจรัสอยู่ฝั่งตรงข้าม คำถามสำคัญที่นักวิเคราะห์และผู้คนในพื้นที่ เชียงแสน มักตั้งขึ้นคือ ‘เชียงแสนได้รับประโยชน์อะไรจากความรุ่งเรืองนี้บ้าง?’ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมต้องยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้นซับซ้อนและท้าทาย อำเภอ เชียงแสน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกคาดหวังว่าจะเป็นประตูสู่ คิงส์โรมัน กลับกลายเป็นเพียง “เมืองผ่าน” สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการข้ามฟากไปสัมผัสอาณาจักรแห่งความบันเทิงและ การลงทุน ฝั่งลาว
รายงานของด่านตรวจคนเข้าเมืองชี้ให้เห็นว่า ตั้งแต่พฤษภาคม 2565 ถึงมิถุนายน 2566 มีผู้เดินทางเข้า-ออกถึง 85 สัญชาติ รวม 278,231 คน และมีผู้ใช้ด่านท้องถิ่นต้นผึ้งอีกราว 100-300 คนต่อวัน โดยเฉพาะช่วงวันหยุด ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการไหลเวียนของประชากรและนักท่องเที่ยวที่สูงมาก แต่กระนั้น ผลประโยชน์โดยตรงที่ เชียงแสน ได้รับกลับมีจำกัดอย่างน่าประหลาดใจ สาเหตุหลักมาจากความสมบูรณ์แบบในตัวเองของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ที่ได้รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในพื้นที่ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง สถานบันเทิง ไปจนถึงสนามกอล์ฟและสนามบิน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเข้ามาจับจ่ายใช้สอยหรือค้างแรมในฝั่ง เชียงแสน มากนัก มีเพียงผู้ประกอบการรถรับจ้างของไทยที่ให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวจีนจาก สนามบินเชียงราย มายัง เชียงแสน เพื่อข้ามไป คิงส์โรมัน และผู้ประกอบการเรือข้ามฟากบางรายเท่านั้นที่ได้รับอานิสงส์อย่างชัดเจน ภาคธุรกิจและ การท่องเที่ยวเชียงราย โดยรวมจึงเผชิญกับความท้าทายในการดึงดูดและรักษาเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวเหล่านี้ให้อยู่ในพื้นที่ของตนเอง นี่คือภาพสะท้อนของการพัฒนาที่ไม่สมดุลซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน หาก เชียงแสน ต้องการเป็นมากกว่าแค่จุดพักผ่าน
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ภาคธุรกิจและหน่วยงานในท้องถิ่นของ เชียงแสน ไม่ได้นิ่งดูดาย มีความพยายามปรับตัวและวางยุทธศาสตร์เพื่อรับมือกับการเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการท้องถิ่นบางรายได้เริ่ม ลงทุน เปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นกว่า 10 แห่ง และมี ธุรกิจโรงแรม ระดับ 2-3 ดาวเปิดใหม่ 2 แห่ง เพื่ออาศัยจุดเด่นด้านทัศนียภาพของ คิงส์โรมัน ที่จะสว่างไสวไปด้วยแสงสียามค่ำคืน สร้างบรรยากาศที่น่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเหล่านี้ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้าและมีข้อจำกัด
อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งคือราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วริมแม่น้ำโขงฝั่ง เชียงแสน ซึ่งปัจจุบันมีค่าเช่าสูงถึงราว 100,000 บาทต่อเดือนสำหรับพื้นที่หน้ากว้าง 25 เมตรและลึกถึงริมน้ำ ราคาที่ดินที่สูงลิบลิ่วเช่นนี้ทำให้ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชียงแสน และการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่จากภาคเอกชนเป็นไปได้ยากขึ้น ต้องพึ่งพา โครงการลงทุนจากรัฐบาล หรือเมกะโปรเจกต์ที่จะเข้ามาสร้างแรงกระตุ้นใหม่
หอการค้าจังหวัดเชียงรายได้นำเสนอแนวคิดและผลักดันให้รัฐบาลพิจารณา โครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ในพื้นที่ เชียงแสน เพื่อสร้าง “แม่เหล็ก” ดึงดูด การท่องเที่ยว และสร้าง โอกาสทางธุรกิจ ในฐานะเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้าม เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน แนวคิดคือการทำให้ เชียงแสน กลายเป็น “Wellness City” หรือเมืองแห่งสุขภาพที่นักท่องเที่ยวสามารถมาพักผ่อนค้างแรมได้นานขึ้น มีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น นักท่องเที่ยวอาจข้ามไปตีกอล์ฟที่ คิงส์โรมัน และกลับมาใช้บริการสปาหรือพักผ่อนในบรรยากาศสงบของ เชียงแสน
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมระหว่าง เชียงแสน กับ คิงส์โรมัน ก็เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือ สะพานอาจช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางและ โลจิสติกส์ แต่ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเดิม และที่สำคัญคือต้องไม่ละเลยมิติความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศไทยในระยะยาว การวางยุทธศาสตร์สำหรับ เชียงแสน ในอนาคตจึงต้องมองให้ไกลกว่าแค่การเป็นจุดชมวิว หรือเป็นเพียงแค่ “ทางผ่าน” แต่ต้องเป็นการสร้างอัตลักษณ์และจุดเด่นที่แข็งแกร่งเป็นของตัวเอง
เมื่อมองภาพรวมในระดับภูมิภาค การเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะ เชียงแสน เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับนโยบาย ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (Northern Economic Corridor – NEC) ของประเทศไทย ซึ่งครอบคลุม 4 จังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และ เชียงราย โดยมีเป้าหมายในการเป็นแกนขับเคลื่อน เศรษฐกิจเชียงราย และภาคเหนือทั้งหมด เพื่อดึงเม็ดเงิน การลงทุนต่างประเทศ และภายในประเทศให้เติบโต
ประเด็นท้าทายสำคัญคือจะทำอย่างไรให้การเติบโตของ คิงส์โรมัน ซึ่งเป็นฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาทที่เชื่อมโยงกับ การลงทุนจีน โดยตรง ทั้งในฝั่งตรงข้าม เชียงแสน และการที่ทุนจีนเข้ายึดทำเลประชิดอำเภอเชียงของตามแนวถนน R3A กลายเป็น โอกาสทางธุรกิจ ที่แท้จริงสำหรับภาคเหนือของไทย ไม่ใช่แค่การเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชายแดน ผมมองว่านี่คือความท้าทายเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยต้องเร่งหาคำตอบอย่างจริงจัง การบริหารจัดการเมือง และการวางผังเมืองของ เชียงแสน และจังหวัด เชียงราย จะต้องสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หากเราต้องการให้ ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การนำเข้าและส่งออกแรงงาน หรือเป็นเพียงพื้นที่รองรับผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ต้องสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและดึงดูด การลงทุนทำกำไร ที่หมุนเวียนอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือได้อย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจทิศทาง การลงทุนจีน ในภูมิภาคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
จากประสบการณ์กว่าทศวรรษในแวดวง ผมเห็นว่าการตอบสนองต่อปรากฏการณ์ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน จำเป็นต้องใช้แนวทางเชิงรุกและบูรณาการ เพื่อให้ เชียงแสน และภาคเหนือของไทยได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่การตั้งรับหรือเฝ้ามอง
การสร้างอัตลักษณ์และจุดเด่นที่ไม่ซ้ำใคร: เชียงแสน ต้องไม่แข่งกับ คิงส์โรมัน โดยตรงในเรื่องแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่หรือ ธุรกิจกาสิโน แต่ควรมุ่งเน้นไปที่จุดแข็งที่มีอยู่แล้ว เช่น ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม โบราณสถานริมแม่น้ำโขง และความเป็นเมืองสงบที่เน้น ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การพัฒนา โรงแรมเชียงแสน และที่พักที่มีเอกลักษณ์ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่าง และทำให้พวกเขายินดีที่จะพักค้างคืน
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงอย่างชาญฉลาด: แม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องสะพาน แต่การปรับปรุง ท่าเรือเชียงแสน ให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย รวมถึงการเชื่อมโยงระบบขนส่งสาธารณะเข้ากับ สนามบินเชียงราย และด่านพรมแดนอย่างเป็นระบบ จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางและทำให้ เชียงแสน เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและบริการที่สำคัญ
ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมบริการคุณภาพสูง: รัฐบาลควรมีนโยบายส่งเสริมและให้สิทธิประโยชน์สำหรับ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เชียงแสน ในรูปแบบ ธุรกิจโรงแรม ระดับพรีเมียม สปาชั้นนำ หรือสถานบริการที่ตอบโจทย์ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางมาจาก คิงส์โรมัน การมี ที่ปรึกษาการลงทุน ที่เชี่ยวชาญจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินเหล่านี้ได้
ยกระดับทักษะแรงงานท้องถิ่น: เพื่อรองรับ อุตสาหกรรมบริการเชียงแสน ที่จะเติบโตขึ้น การพัฒนาทักษะภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ตลอดจนทักษะด้านงานบริการและการโรงแรมให้กับคนท้องถิ่น จะช่วยสร้างงานที่มีคุณภาพและป้องกันปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
ความร่วมมือข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม: ไทยควรเปิดการเจรจากับ สปป.ลาว และผู้บริหาร เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน เพื่อวางแผนการพัฒนาร่วมกันอย่างยั่งยืน ทั้งในด้าน การค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิด win-win situation ที่แท้จริง
การสร้างแพลตฟอร์มสำหรับโอกาสทางธุรกิจ: จัดตั้งศูนย์ข้อมูลหรือแพลตฟอร์มที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สนใจ โอกาสทางธุรกิจ ใน เชียงแสน โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว การเกษตรแปรรูป หรือสินค้าหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เราต้องเข้าใจและใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มากที่สุด การผสานศักยภาพของไทยเข้ากับพลังขับเคลื่อนของ คิงส์โรมัน คือกุญแจสำคัญสู่ความมั่งคั่งของ เชียงแสน และภาคเหนือทั้งหมดในทศวรรษหน้า
กล่าวโดยสรุป เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ คิงส์โรมัน ได้สร้างพลวัตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่บริเวณ สามเหลี่ยมทองคำ อย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้ อาณาจักรแห่ง การลงทุนต่างประเทศ และความบันเทิงแห่งนี้คือบทสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่รวดเร็วของภูมิภาค สำหรับ เชียงแสน และประเทศไทยแล้ว นี่ไม่ใช่เวลาของการเป็นเพียงแค่ “เมืองผ่าน” หรือเฝ้ารอโอกาส แต่เป็นช่วงเวลาแห่งการ ‘พลิกมุมมอง’ และ ‘ถอดรหัส’ การเติบโตนี้ให้กลายเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง การวางยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาด การ ลงทุนทำกำไร ที่ตรงจุด และความร่วมมืออย่างรอบด้าน คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ เชียงแสน สามารถช่วงชิงบทบาทสำคัญในอนาคตอันใกล้ และทำให้ภาคเหนือของไทยก้าวหน้าอย่างยั่งยืนในยุค 2025 และต่อๆ ไป
สำหรับผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้กำหนดนโยบายที่กำลังมองหาแนวทางในการนำทางภูมิทัศน์เศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลงนี้ การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและการมีส่วนร่วมเชิงรุกถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันสำรวจโอกาสเหล่านี้ และร่วมสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองให้กับภูมิภาคชายแดนที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้ เพื่อให้ เชียงแสน กลายเป็นหมุดหมายสำคัญ ไม่ใช่แค่เมืองผ่านอีกต่อไป
