ถอดรหัส ‘คิงส์โรมัน’ สามเหลี่ยมทองคำ: มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่กับการพลิกโฉม ‘เชียงแสน’ ในทศวรรษหน้า
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์กว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าจับตาและวิเคราะห์พลวัตของภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อร่างสร้างตัวของโครงการ “เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ” หรือที่รู้จักกันในนาม ‘คิงส์โรมัน’ บนแผ่นดินเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงข้ามกับอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายของไทยอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้ นี่ไม่ใช่เพียงแค่โครงการพัฒนาทั่วไป แต่คือการก่อกำเนิดของมหานครใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยทุนจีนมหาศาล ซึ่งกำลังจะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจชายแดนและโครงสร้างการลงทุนในภูมิภาคนี้ไปอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ: การกำเนิดของอาณาจักรใหม่
กว่า 17 ปีที่ผ่านมา กลุ่มดอกงิ้วคำภายใต้การนำของ ‘เจ้าเหว่ย’ นักลงทุนรายใหญ่จากจีน ได้รับสัมปทานพื้นที่กว้างใหญ่ราว 2,173 เฮกตาร์ หรือประมาณ 63,750 ไร่ จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นระยะเวลาถึง 99 ปี นี่ไม่ใช่แค่การได้มาซึ่งที่ดิน แต่เป็นการวางรากฐานสำหรับวิสัยทัศน์ที่ทะเยอทะยานที่จะสร้าง “อาณาจักรเอนเตอร์เทนเมนต์และศูนย์กลางเศรษฐกิจครบวงจรระดับโลก” ซึ่งจะกลายเป็นมณฑลทางเศรษฐกิจของจีนที่แนบชิดกับพรมแดนไทยมากที่สุด เพียงแค่ข้ามแม่น้ำโขงเท่านั้น ด้วยเม็ดเงินลงทุนหลักแสนล้านบาท การพัฒนาใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ จึงดำเนินไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เปลี่ยนผืนดินที่เคยเงียบสงบให้กลายเป็นภาพของเมืองแห่งตึกระฟ้าที่กำลังผุดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง
เป้าหมายของคิงส์โรมันนั้นชัดเจนและครอบคลุมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยและการพาณิชย์ การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวทางแม่น้ำโขงที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศในอนุภูมิภาค การยกระดับสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค การพัฒนาด้านเกษตรครบวงจรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไปจนถึงการเป็นหมุดหมายสำหรับกีฬาและสันทนาการที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวและผู้พักอาศัยระดับนานาชาติ โครงการทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงแผนการลงทุนที่คิดมาอย่างถี่ถ้วนและครอบคลุม เพื่อสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาตนเองได้ และดึงดูดทุนและบุคลากรจากทั่วโลก
มหานครแห่งความมั่งคั่ง: โครงสร้างพื้นฐานและการเติบโต
หากมองจากฝั่งอำเภอเชียงแสน จะเห็นภาพของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่เต็มไปด้วยอาคารสูงระฟ้าเรียงรายตลอดแนวริมฝั่งแม่น้ำโขง รวมถึงโครงการอาคารชุดและคอนโดมิเนียมอีกนับสิบแห่งที่กำลังเร่งก่อสร้าง การลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่พักอาศัยที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด รองรับการขยายตัวของประชากรและนักลงทุน
ภายในเขตใจกลางเมืองคิงส์โรมันนั้นครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูหรา บ่อนกาสิโนระดับพรีเมียม อาคารชุดและคอนโดมิเนียมสำหรับที่อยู่อาศัยที่ทันสมัย อาคารสำนักงานสำหรับบริษัทและธุรกิจหลากหลายประเภท ภัตตาคารและร้านอาหารนานาชาติ แหล่งสถานบันเทิง ตลาดปลอดภาษี (ดอนซาว) ไชน่าทาวน์ โรงเรียนนานาชาติ วัดจีน สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ และที่สำคัญที่สุดคือ สนามบินนานาชาติบ่อแก้ว การจัดการของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ นั้นเป็นแบบพิเศษ มีพลเมืองทั้งภายในและต่างประเทศอาศัยอยู่ร่วมกันประมาณ 60,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการเป็นเมืองที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
จากข้อมูลของด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) พบว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ถึงมิถุนายน 2566 มีผู้คนจาก 85 สัญชาติเข้า-ออกถึง 278,231 คน และในแต่ละวันมีผู้เดินทางผ่านด่านท้องถิ่นต้นผึ้งหลักร้อยคน ซึ่งในช่วงวันหยุดตัวเลขก็พุ่งสูงขึ้นเป็น 200-300 คนต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงพลวัตของการเคลื่อนย้ายผู้คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เข้มข้นในพื้นที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ
สนามบินบ่อแก้ว: ประตูสู่การเชื่อมโยงภูมิภาค
หนึ่งในเมกะโปรเจกต์สำคัญที่ยืนยันถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของคิงส์โรมันคือการเปิดดำเนินการสนามบินนานาชาติบ่อแก้วอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 แม้สนามบินจะอยู่นอกเขตเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นส่วนสำคัญในการรองรับการเติบโต สนามบินแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 1,800 ไร่ รันเวย์ยาว 2,700 เมตร ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นสนามบินขนาดใหญ่อันดับ 3 ของ สปป.ลาว มีมาตรฐานสามารถรองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ถึง 200 ที่นั่ง เช่น แอร์บัส A321, โบอิ้ง 737-900 และ ATR-72 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างมหาศาล
ก่อนถึงบริเวณสนามบิน ยังมีการเร่งถางดอยหลายลูกเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับโครงการปลูกทุเรียนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในการส่งเสริมด้านเกษตรสมัยใหม่ เพื่อป้อนตลาดคนจีนที่มีความต้องการสูง และหากมีผลผลิตเหลือก็จะส่งต่อไปยังตลาดจีนและลาวในวงกว้าง นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่สำหรับการปศุสัตว์ ทั้งวัวและสุกร รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ปลูกถั่วและไม้ดอกไม้ประดับ โครงการเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การบริโภคในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเล็งเห็นถึงศักยภาพการส่งออกและการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคเกษตรอีกด้วย
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่หยุดยั้ง: ท่าเรือ, สนามกอล์ฟ และตลาดน้ำ
กลุ่มทุนเจ้าเหว่ยยังคงเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อไป อาทิ โครงการก่อสร้างท่าเรือแห่งใหม่ รวมถึงท่าเรือท่องเที่ยวเกาะดอนซาว ซึ่งมีเป้าหมายรองรับผู้โดยสารถึง 450,000 คนต่อปี นอกจากนี้ ยังมีท่าเรือขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศที่สามารถรองรับได้ 150,000 คนต่อปี และท่าเรือน้ำลึกริมฝั่งแม่น้ำโขงพร้อมลานพิธีการศุลกากร ที่รองรับเรือขนาด 500 ตัน หรือสินค้าได้ 10,000 ตันต่อปี ภายในปีนี้คาดว่าจะมีการเปิดเส้นทางเดินเรือสำราญในแม่น้ำโขง เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างจีน ลาว เมียนมา และไทย ซึ่งจะส่งเสริมบริการโลจิสติกส์และการค้าชายแดนให้คึกคักยิ่งขึ้น
ในด้านการสันทนาการ ได้มีการลงทุนเปิดสนามกอล์ฟภูกิ่วลม 36 หลุม มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 1,500 ไร่ พร้อมโรงแรมและที่พัก ซึ่งเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งในอาเซียนและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนและนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงกอล์ฟระดับโลก
นอกจากนี้ ยังมีโครงการตลาดน้ำมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 42 ไร่ ก่อสร้างโดยบริษัท จิงเสิน จำกัด ซึ่งตั้งใจจำลองบรรยากาศแบบมาเก๊า โดยภายในจะมีทั้งโรงแรม ตลาดน้ำ คาเฟ่ ร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่างๆ ที่ผสมผสานรูปแบบอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรม คาดว่าโครงการนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางหรือแลนด์มาร์กใหม่ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลข้ามมาจากฝั่งไทยได้อย่างมหาศาล
ความเห็นจากไกด์นำเที่ยวชาวลาวในเมืองต้นผึ้งอย่างคุณเก้า ชี้ให้เห็นว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ยังคงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่เมืองชั้นในกำลังมีการลงทุนสร้างโรงเรียนนานาชาติแบบเรียนฟรีเพื่อรองรับบุตรหลานของผู้ที่ทำงานในกาสิโนคิงส์โรมัน รวมถึงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมและอาคารชุดอีกหลายแห่งเพื่อรองรับประชากรที่จะเข้ามาทำงานเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน
ในด้านขององค์ประกอบประชากร ชาวเมียนมาจำนวนมากใน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ส่วนใหญ่เป็นแรงงานก่อสร้างที่มีโซนที่พักอาศัยเฉพาะ ขณะที่ชาวลาวส่วนใหญ่จะทำงานในสำนักงานหรืองานบริการ เช่น พนักงานต้อนรับในโรงแรม ไกด์นำเที่ยว หรือพนักงานขับรถเช่า และ รปภ. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดสรรบทบาทและที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างชัดเจน
เชียงแสน: เมืองผ่านที่ต้องพลิกโฉม?
ในทางตรงกันข้าม อำเภอเชียงแสนของไทย ซึ่งเป็นเมืองชายแดนที่อยู่ตรงข้ามกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ กลับยังไม่ได้รับประโยชน์หรืออานิสงส์จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของคิงส์โรมันเท่าที่ควร คุณจิระศักดิ์ นวปฏิภาณ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อำเภอเชียงแสน ได้เปิดเผยว่าปัจจุบันเชียงแสนเป็นเพียง “ทางผ่าน” ของนักท่องเที่ยวคนไทยที่ต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวที่คิงส์โรมันเท่านั้น
ด้วยความที่ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ถูกออกแบบให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทุกอย่างครบวงจร จึงกลายเป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทยเข้าไปได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปยังคิงส์โรมันเฉลี่ยราว 10,000 คนต่อเดือน ซึ่งถือเป็นโอกาสที่เชียงแสนพลาดไปอย่างน่าเสียดาย ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงมีเพียงผู้ประกอบธุรกิจรถรับจ้างที่ให้บริการรับส่งนักท่องเที่ยวจีนจากสนามบินเชียงรายมายังเชียงแสนเพื่อข้ามไปยังคิงส์โรมัน รวมถึงผู้ประกอบการเรือข้ามฟากเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจในอำเภอเชียงแสนก็พยายามปรับตัวเพื่อรับกับการพัฒนาของคิงส์โรมัน เช่น มีนักลงทุนท้องถิ่นเปิดร้านอาหารริมแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นราว 10 แห่ง และโรงแรมระดับ 2-3 ดาวเปิดใหม่ริมแม่น้ำโขงอีก 2 แห่ง เพื่ออาศัยจุดชมวิวฝั่งตรงข้ามของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่มีแสงสียามค่ำคืน แต่ด้วยราคาค่าเช่าที่ดินริมแม่น้ำโขงฝั่งเชียงแสนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก (กว่า 100,000 บาทต่อเดือนสำหรับพื้นที่กว้าง 25 เมตร ลึกถึงริมน้ำ) ทำให้การพัฒนาของภาคเอกชนเป็นไปได้ค่อนข้างช้า และต้องพึ่งพาโครงการลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก
เชียงแสนในทศวรรษหน้า: กลยุทธ์การพลิกโฉมและโอกาสการลงทุน
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ผมมองว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญที่เชียงแสนต้องกำหนดทิศทางอนาคตอย่างเร่งด่วน หากไม่ต้องการเป็นเพียงเงาของคิงส์โรมัน การรอคอยโครงการจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่ทันการณ์กับพลวัตการลงทุนจีนที่รวดเร็วและมหาศาล
การเชื่อมโยงกับระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC): รัฐบาลไทยได้วางนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ครอบคลุม 4 จังหวัดหลักคือ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และเชียงราย เพื่อเป็นแกนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงเชียงแสนเข้ากับห่วงโซ่อุปทานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ NEC ให้เป็นรูปธรรม การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชื่อมกับเชียงแสน ซึ่งเป็นข้อเสนอของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ นั้นเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ฝั่งคิงส์โรมันเท่านั้น แต่ต้องมองถึงความคุ้มค่าและความมั่นคงของไทย รวมถึงการเยียวยาผู้ประกอบการเรือข้ามฟากที่อาจได้รับผลกระทบ
การสร้างแม่เหล็กดึงดูดของตนเอง: เชียงแสนไม่สามารถแข่งกับ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ในเรื่องของขนาดหรือความหลากหลายของสถานบันเทิงครบวงจรได้ แต่สามารถสร้างจุดเด่นเฉพาะตัวได้ หอการค้าจังหวัดเชียงรายเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเมกะโปรเจกต์ลงสู่พื้นที่ โดยเฉพาะในอำเภอเชียงแสน เพื่อสร้าง “แม่เหล็ก” ดึงดูดการท่องเที่ยว เช่น การพัฒนาให้เชียงแสนเป็น “Wellness City” หรือเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและสปา ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและแตกต่างจากคิงส์โรมัน นักท่องเที่ยวที่ข้ามไปตีกอล์ฟหรือเล่นกาสิโนที่คิงส์โรมัน อาจกลับมาพักผ่อนและรับบริการสปาที่เชียงแสน เพื่อยืดระยะเวลาการพำนักและเพิ่มการใช้จ่ายในพื้นที่
การพัฒนาบริการและประสบการณ์ที่แตกต่าง: แทนที่จะแข่งขันในสิ่งที่คิงส์โรมันมีอยู่แล้ว เชียงแสนควรเน้นการนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม วิถีชีวิตท้องถิ่น และสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพ สร้าง “แบรนด์” ของเชียงแสนให้เป็นจุดหมายปลายทางที่สงบ ผ่อนคลาย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เช่น โรงแรมบูติก รีสอร์ทสุขภาพ และศูนย์บริการเวลเนส
การส่งเสริมการลงทุนในภาคส่วนที่ได้รับประโยชน์: รัฐบาลและภาคเอกชนควรส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในธุรกิจที่สามารถเชื่อมโยงและได้รับประโยชน์จากคิงส์โรมันโดยอ้อม เช่น ธุรกิจที่พักคุณภาพที่รองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการความเงียบสงบ ธุรกิจร้านอาหารที่นำเสนออาหารพื้นเมืองและอาหารไทยรสเลิศ บริการรถเช่าคุณภาพสูงสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางสำรวจพื้นที่ หรือการเป็นศูนย์กลางการจัดซื้อสินค้าเกษตรจากท้องถิ่นเพื่อส่งไปยังคิงส์โรมัน
ความร่วมมือและการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์: การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญ การศึกษาความเป็นไปได้ของการสร้าง Entertainment Complex ที่ถูกกฎหมายในพื้นที่เชียงแสนก็เป็นแนวคิดที่ควรค่าแก่การพิจารณา เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและสร้างงานในระยะยาว การวางแผนการใช้ที่ดินและผังเมืองอย่างชาญฉลาด เพื่อควบคุมราคาที่ดินและป้องกันการเก็งกำไรที่ไม่เป็นธรรม ก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ความท้าทายและโอกาสในการจัดการการลงทุน
ในภาพรวม การเติบโตของ เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการลงทุนมหาศาล และพลวัตของธุรกิจระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำหรับประเทศไทยคือการเปลี่ยน “เมืองผ่าน” ให้เป็น “เมืองจุดหมายปลายทาง” ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและผลตอบแทนการลงทุนให้กับคนในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง
ประเทศไทย โดยเฉพาะเชียงรายและเชียงแสน ต้องใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวและวางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้การเติบโตของคิงส์โรมันไม่เป็นเพียงการดึงเม็ดเงินลงทุนออกไปจากประเทศ แต่เป็นการสร้างวงจรการลงทุนหมุนเวียนในพื้นที่ภาคเหนืออย่างเป็นรูปธรรม การบริหารจัดการการลงทุนอย่างมืออาชีพ และการใช้กลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของเชียงแสน และทำให้เมืองนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในทศวรรษหน้า ไม่ใช่เพียงแค่เมืองที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ก้าวต่อไปสำหรับเชียงแสนและนักลงทุน
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ตรงในแวดวงการพัฒนาเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ ผมเชื่อมั่นว่าเชียงแสนมีโอกาสที่จะพลิกโฉมตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง หากมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่เฉียบคมและมีการดำเนินการอย่างจริงจัง การผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ วัฒนธรรม และการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค จะสร้างความได้เปรียบที่ยั่งยืน
หากท่านคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้กำหนดนโยบายที่มองเห็นศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของเชียงแสน และต้องการสร้างสรรค์โครงการที่ตอบรับกับพลวัตเศรษฐกิจยุคใหม่นี้ ผมขอเชิญชวนให้ท่านมาศึกษาและวิเคราะห์โอกาสการลงทุนอย่างลึกซึ้ง เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางและสร้างอนาคตที่สดใสให้กับเชียงแสน ให้พ้นจากสถานะ “เมืองผ่าน” และก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางแห่งโอกาส” ที่แท้จริงในอนุภูมิภาคนี้ ติดต่อเราเพื่อปรึกษาการวางแผนการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

