เจาะลึกกลยุทธ์ “แสนสิริลงทุนคอนโด” 2.6 หมื่นล้านบาท: ผู้นำอสังหาฯ ไทย ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ สู่โอกาสทองปี 2025
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและพลวัตของตลาดมาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาและต่อเนื่องถึงปี 2568 นี้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญความท้าทาย แต่หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่ยังคงเดินหน้าลงทุนอย่างมั่นใจและประกาศแผนที่น่าจับตาที่สุดคือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) การที่ แสนสิริลงทุนคอนโด ด้วยเม็ดเงินมหาศาลกว่า 26,000 ล้านบาท ใน 20 โครงการใหม่ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนวิสัยทัศน์ ความแข็งแกร่ง และประสบการณ์อันลึกซึ้งที่สั่งสมมาถึง 40 ปี บทความนี้จะเจาะลึกถึงเบื้องหลังความมั่นใจ กลยุทธ์ที่คมคาย และทิศทางที่แสนสิริกำลังขับเคลื่อนไป เพื่อตอบคำถามว่าทำไมนี่จึงไม่ใช่แค่การลงทุนทั่วไป แต่คือการเดิมพันที่คำนวณมาอย่างดีเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาด อสังหาริมทรัพย์ไทย
แสนสิริลงทุนคอนโด ด้วยเม็ดเงินสูงสุดในอุตสาหกรรม ท่ามกลางภาวะที่ผู้ประกอบการหลายรายยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ การเคลื่อนไหวของแสนสิริจึงเป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงการมองเห็นโอกาสในวิกฤต และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย กำลังซื้อของผู้บริโภค หรือแม้แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงสร้างความไม่แน่นอน
ภาพรวมการลงทุนที่โดดเด่น: ผู้นำที่กล้าแตกต่าง
ในปีมังกร 2567 ที่ผ่านมา แสนสิริได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการประกาศแผน ลงทุนคอนโดมิเนียม มากที่สุดในประเทศไทย ด้วยมูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้านบาท สำหรับ 20 โครงการใหม่ ซึ่งเติบโตถึง 44% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตัวเลขนี้สูงกว่าคู่แข่งรายสำคัญในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ 15 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท หรือ เอพี ไทยแลนด์ ที่ 6 โครงการ มูลค่า 12,500 ล้านบาท สิ่งนี้ตอกย้ำถึงตำแหน่งผู้นำ และความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาด คอนโดมิเนียม ในระยะยาว
การที่ แสนสิริลงทุนคอนโด ขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่ได้หมายถึงการมองข้ามความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการยืนยันว่า ด้วยประสบการณ์ 40 ปี แสนสิริได้ตกผลึก “คาถา” หรือกลยุทธ์ที่สามารถรับมือได้ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยเสี่ยงทุกรูปแบบ และนี่คือสิ่งที่ผมในฐานะผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าเป็นจุดแข็งที่หาได้ยากในอุตสาหกรรมนี้ การเข้าใจถึงวัฏจักรของตลาด การบริหารความเสี่ยง และการสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้แสนสิริยังคงยืนหยัดและเติบโตได้อย่างมั่นคง
รากฐานแห่งความสำเร็จ: พอร์ตโฟลิโอและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง
ปัจจุบัน แสนสิริมีพอร์ตโฟลิโอ คอนโดมิเนียม สะสมเกือบ 200 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 290,000 ล้านบาท และได้ส่งมอบห้องชุดไปแล้วกว่า 81,000 ยูนิต ภายใต้ 20 แบรนด์ที่ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่กลุ่ม Affordable ไปจนถึงซูเปอร์ลักชัวรี ราคาขายตั้งแต่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท ไปจนถึงกว่าหนึ่งล้านบาทต่อตารางเมตร ความหลากหลายนี้ทำให้แสนสิริสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขวาง และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
เป้าหมายยอดขาย (พรีเซล) สำหรับ คอนโดแสนสิริ ในปีนี้ตั้งไว้ที่ 21,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอน (รับรู้รายได้) ที่ 13,000 ล้านบาท ซึ่งผู้บริหารแสดงความมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย โดยมีโครงการพร้อมโอนในมือถึง 14 โครงการ มูลค่ารวม 15,700 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจคือความเชื่อมั่นในคุณภาพและบริการหลังการขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการและลูกค้ามาอย่างยาวนาน ดังตัวอย่าง “บ้านไข่มุก” หัวหิน คอนโดมิเนียมติดชายหาดที่เปิดตัวมานาน แต่ยังคงมีราคาเปลี่ยนมือที่สูงขึ้นกว่า 1,000% สะท้อนให้เห็นถึง “แคปิตอลเกน” ที่ดีเยี่ยมจาก การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ของแสนสิริ
เบื้องหลังความแข็งแกร่งนี้คือการมี Strategic Partners หรือพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำ ทั้งบริษัทมหาชนและผู้รับเหมาที่มีความสัมพันธ์ยาวนานกว่า 10-20 ปี ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงคู่ค้า แต่เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของทีมที่ช่วยให้ พัฒนาโครงการคอนโด ของแสนสิริได้ตามมาตรฐานคุณภาพระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความน่าเชื่อถือและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
ถอดรหัส 8 กลยุทธ์ สู่การเติบโตสวนกระแส
การที่ แสนสิริลงทุนคอนโด ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล เกิดขึ้นจาก 8 กลยุทธ์หลักที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อรับมือกับทุกโอกาสและความเสี่ยง นี่คือสิ่งที่ผมมองว่าเป็นพิมพ์เขียวแห่งความสำเร็จในอนาคตของตลาด อสังหาฯ ไทย
สานต่อสินค้าซูเปอร์ลักชัวรี (Super Luxury): แสนสิริยังคงให้ความสำคัญกับตลาดบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่า สังเกตได้จากโครงการ Talk of the Town บนทำเลชิดลม ที่แม้จะยังไม่เปิดพรีเซล แต่มีลูกค้าผู้ภักดีกับแบรนด์ตัดสินใจจองซื้อเพนต์เฮาส์พิเศษพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว มูลค่าเกือบ 500 ล้านบาท ตั้งแต่ยังไม่เห็นห้องตัวอย่าง นี่คือบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์และคุณภาพที่แสนสิริสั่งสมมา สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาด คอนโดมิเนียมพรีเมียม ที่ยังคงมีอยู่
ขยายคอนโดต่างจังหวัด เจาะเมืองท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ (Provincial Expansion): การกระจายความเสี่ยงและหาโอกาสในหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด แสนสิริมีแผนเปิด 9 โครงการ มูลค่ารวม 11,800 ล้านบาท ในจังหวัดสำคัญอย่าง ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน พื้นที่ EEC (ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา) และขอนแก่น ทำเลเหล่านี้มีดีมานด์จากการท่องเที่ยว การค้าขาย ใกล้สถานศึกษา และแหล่งงาน รวมถึงกำลังซื้อของคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูเก็ต ที่เตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “Canvas เชิงทะเล” มูลค่า 1,600 ล้านบาท ในโซน New CBD ที่มีดีมานด์จากลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปที่นิยมพักแบบ Long-Stay นี่คือโอกาสสำคัญของ คอนโดเพื่อการลงทุน ที่มีศักยภาพในการให้เช่าสูง
ปักหมุดทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ (Prime Bangkok Locations): แสนสิริยังคงมุ่งมั่น ลงทุนคอนโด ในทำเลที่หาได้ยากและมีความต้องการสูงในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านสุขุมวิท ผ่านแบรนด์ “Via” ใน 3 ทำเลรวด ทั้งสุขุมวิท 34, สุขุมวิท 61 และโครงการใหม่บนสุขุมวิท 36 ตรงข้ามซอยทองหล่อ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท ทำเลเหล่านี้เป็น Strategic Location ที่มีดีมานด์แต่ซัพพลายที่ดินเปล่าเหลือน้อยมาก การเข้าถึงและพัฒนาในพื้นที่เหล่านี้จึงเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญของแสนสิริ
บุกตลาดคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ (Pets Welcome Condo): เทรนด์ Pet Parent ที่ดูแลสัตว์เลี้ยงเสมือนสมาชิกในครอบครัวกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แสนสิริตอบรับกระแสนี้ด้วยซีรีส์ “Pets Welcome Condo” ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายโครงการ และล่าสุดเตรียมเปิด “พินน์ ศูนย์วิจัย” ใกล้โรงพยาบาลกรุงเทพ มูลค่า 260 ล้านบาท การออกแบบที่ใส่ใจในรายละเอียดเพื่อให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างครบฟังก์ชัน เป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างและดึงดูดกลุ่มลูกค้า Pet Lover ซึ่งเป็น niche market ที่มีกำลังซื้อสูง
พลิกโฉมแบรนด์ “เดอะเบส” (The Base Reimagined): แบรนด์ “เดอะเบส” ซึ่งเป็นที่รู้จักมายาวนานและพัฒนามาแล้ว 20 โครงการ มูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท กำลังได้รับการ “รีเซ็ต” ไม่ใช่แค่การปรับปรุง แต่เป็นการขยายพื้นที่แปลนใหม่ หน้ากว้าง เพิ่มพื้นที่สีเขียว และดีไซน์ห้องแบบลอฟต์ แสนสิริเตรียมเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 5,700 ล้านบาท รวมถึงครั้งแรกที่ “เดอะเบส” จะเป็น คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 2 โครงการ หนึ่งในนั้นคือ “เดอะเบส ไรส์” ภูเก็ต มูลค่า 900 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นไม่ถึง 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวอย่างของการปรับตัวของแบรนด์หลักให้เข้ากับเทรนด์และกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
ต่อยอดความสำเร็จ “ดีคอนโด” (dCondo Success): แบรนด์ “ดีคอนโด” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการเจาะตลาดกลางและหัวเมือง แสนสิริมีแผนเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,900 ล้านบาท และเตรียมโอน 6 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท การออกแบบที่เน้นฟาซิลิตี้ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ ทำให้ “ดีคอนโด” เป็นที่นิยม เช่น “ดีคอนโด เซนส์” บางแสน ชลบุรี ใกล้ ม.บูรพา และ “ดีคอนโด คาล์ม” รามคำแหง 10 การ ลงทุนคอนโด ในกลุ่มนี้ เน้นการเข้าถึงและความคุ้มค่า
เดินหน้า Affordable Condo รองรับมาตรการรัฐ (Affordable Condo & BOI): เพื่อสนับสนุนมาตรการรัฐและตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง แสนสิริยังคงพัฒนา Affordable Condo อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งมีราคาขายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท ผ่าน 2 แบรนด์หลักคือ “คอนโด มี-เวย์” ในทำเลใกล้แหล่งงานและนิคมอุตสาหกรรม วางแผนเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,110 ล้านบาท กลยุทธ์นี้สะท้อนความเข้าใจในนโยบายภาครัฐและการสร้างโอกาสจาก คอนโด BOI
ตอกย้ำประสบการณ์ 40 ปี: ผู้นำด้านดีไซน์ คุณภาพ และบริการ (40 Years of Excellence): หัวใจสำคัญที่ทำให้แสนสิริยังคงเป็นผู้นำและแตกต่างจากคู่แข่งคือประสบการณ์ 40 ปี ในฐานะผู้พัฒนา อสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ด้านดีไซน์ คุณภาพ และบริการ ที่มุ่งส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า การบริหารจัดการซัพพลายเชนและพันธมิตรธุรกิจระดับมืออาชีพในทุกรายละเอียด รวมถึงบริการหลังการขายและการบริหารนิติบุคคลอาคารชุดที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ลูกค้า ทำให้แสนสิริสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีจากลูกค้าได้อย่างยั่งยืน สิ่งนี้ทำให้ แสนสิริลงทุนคอนโด ด้วยความมั่นใจในผลตอบแทนระยะยาว
แนวโน้มตลาดอสังหาฯ 2025 และบทบาทของแสนสิริ
เมื่อมองไปข้างหน้าถึงปี 2568 และบริบทของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ผมมองว่าปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางคือ:
การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว: จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับ คอนโดต่างจังหวัด โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ และหัวหิน ที่ดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยระยะยาว
กำลังซื้อที่ระมัดระวัง: ผู้บริโภคจะยังคงให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า คุณภาพ และทำเลที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของแสนสิริในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย
นวัตกรรมและเทคโนโลยี: Smart Living, IoT และ Sustainability จะไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นมาตรฐานใหม่ที่ผู้บริโภคคาดหวัง แสนสิริมีศักยภาพในการบูรณาการสิ่งเหล่านี้เข้ากับการออกแบบและการบริการ
การเข้าถึงสินเชื่อ: อัตราดอกเบี้ยและความเข้มงวดของสถาบันการเงินยังคงเป็นตัวแปรสำคัญ แสนสิริซึ่งมีโครงการที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดบนและตลาดกลาง-ล่าง รวมถึง คอนโด BOI จึงสามารถลดผลกระทบจากข้อจำกัดนี้ได้
การที่ แสนสิริลงทุนคอนโด ด้วยแผนงานที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกมิติ แสดงให้เห็นถึงการมองขาดในทุกปัจจัย ทั้งด้านมหภาคและจุลภาค การผสานรวมประสบการณ์ที่ยาวนาน กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น และความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทำให้แสนสิริยังคงเป็นผู้นำที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการ คอนโดมิเนียม ในประเทศไทย และเป็นตัวอย่างของ การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ที่ประสบความสำเร็จ
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ผมเชื่อว่าแผน ลงทุนคอนโดแสนสิริ ไม่ได้เป็นเพียงการขยายพอร์ต แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตในระยะยาว การให้ความสำคัญกับทำเลศักยภาพสูง พันธมิตรที่แข็งแกร่ง การบริการที่เป็นเลิศ และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเซ็กเมนต์ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้แสนสิริยังคงเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจ และเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับทั้งผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยและ การลงทุนคอนโด ที่ให้ผลตอบแทนยั่งยืนในอนาคต
สำหรับท่านที่กำลังมองหาโอกาสในการเป็นเจ้าของ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือมองหาที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ผมขอแนะนำให้ท่านศึกษาโครงการต่างๆ ของแสนสิริอย่างใกล้ชิด เยี่ยมชมโครงการจริง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อค้นหาตัวเลือกที่เหมาะสมกับความต้องการของท่านมากที่สุด เพราะการตัดสินใจในวันนี้ อาจเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จทางการเงินและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต

