พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค: พลิกวิกฤตสู่โอกาส นำทัพอสังหาฯ ไทยด้วยกลยุทธ์ล้ำอนาคตปี 2569 สร้างรายได้ยั่งยืน 1.1 หมื่นล้านบาท
เปิดฉากปี 2565: มรสุมอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยมานานกว่าทศวรรษ ผมต้องยอมรับว่าปี 2565 และช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ได้สร้างปรากฏการณ์ความท้าทายที่รุนแรงและซับซ้อนที่สุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมักจะเป็นดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการเมือง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก “พายุเศรษฐกิจและการเมือง” ที่โหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง นับเป็นช่วงเวลาที่ทั้งผู้ประกอบการ นักลงทุน และแม้แต่ผู้บริโภค ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในระดับที่ยากจะคาดเดา
สถานการณ์ในปี 2568 สะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า ทั้งอุปทานและอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยหดตัวลงสู่จุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวนโครงการเปิดใหม่ลดลงอย่างฮวบฮาบ คาดการณ์ว่าตลอดทั้งปีจะมีโครงการเปิดตัวไม่ถึง 30,000 หน่วย ขณะที่ความต้องการซื้อจริงก็ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมีกำลังซื้อที่พร้อมจะตัดสินใจอยู่ที่เพียงประมาณ 46,000 หน่วยเท่านั้น ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง และการตัดสินใจซื้อที่ถูกชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังภาพรวมอันน่าเป็นห่วงนี้หนีไม่พ้นสองเสาหลักที่เปราะบางที่สุด นั่นคือ “ภาวะเศรษฐกิจ” และ “เสถียรภาพทางการเมือง”
ปัจจัยลบที่กัดกินตลาดอสังหาฯ: เศรษฐกิจและการเมืองไร้ทิศทาง
จากประสบการณ์ในธุรกิจที่อยู่อาศัย ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า “เศรษฐกิจ” เป็นปัจจัยอันดับแรกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภค ในปี 2565 นี้ แม้จะมีความพยายามกระตุ้นจากภาครัฐ แต่เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงมีแนวโน้มปรับขึ้น ซึ่งล้วนบั่นทอนกำลังซื้อและขีดความสามารถในการขอ “สินเชื่อบ้าน” ของประชาชนโดยรวม ทำให้หลายคนเลือกที่จะ “ชะลอการตัดสินใจ” ซื้อ “บ้านพร้อมอยู่” ออกไปก่อน หรือมองหา “ตลาดบ้านมือสอง” แทน “คอนโดมิเนียมหรู” หรือ “บ้านเดี่ยวพรีเมียม” ที่มีราคาสูง
นอกจากนี้ “ปัจจัยทางการเมือง” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นของทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุน โดยเฉพาะ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน” สั่นคลอนอย่างรุนแรง การเปลี่ยนผ่านผู้นำทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา นำมาซึ่งความไม่ต่อเนื่องและขาดความชัดเจนของ “นโยบายภาครัฐอสังหาฯ” ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนใน “ตลาดอสังหา” ลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเลือกที่จะรอดูท่าที ทำให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ หรือแม้แต่การซื้อเพื่อเก็งกำไรใน “คอนโดมิเนียม” หรือ “บ้านจัดสรร” ต้องหยุดชะงักลง
ผมเคยได้ยินเสียงสะท้อนจากผู้บริหารระดับสูงหลายท่าน รวมถึงคุณศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ที่ระบุว่า อุปทานและอุปสงค์ที่ลดลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 20 ปี ประกอบกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่หดหายไปจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ทำให้ผู้ซื้อจำนวนมากยังคงลังเลและชะลอการตัดสินใจ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่งสำหรับทุกภาคส่วนในธุรกิจนี้
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค: พลิกเกมรุก รับมือปี 2569 ด้วยวิสัยทัศน์ที่เหนือกว่า
ในท่ามกลางมรสุมลูกนี้ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กลับแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล โดยได้ประกาศแผน “พลิกเกมรุก” ครั้งสำคัญสำหรับปี 2569 ด้วยเป้าหมายยอดขาย 11,000 ล้านบาท ถือเป็นการท้าทายสถานการณ์ตลาดที่ยังคง “หดตัว” อย่างมีนัยสำคัญ ผมมองว่านี่ไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายเชิงตัวเลข แต่เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในกลยุทธ์ที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างถี่ถ้วน และความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับ “เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025” และอนาคต ผมเชื่อว่าประสบการณ์อันยาวนานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับการใช้ “การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data-Driven)” เป็นเครื่องมือนำทาง จะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแม่นยำและสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย
สำหรับเป้าหมายยอดขาย 11,000 ล้านบาทในปี 2569 นั้น แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการภายใต้แบรนด์ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เองถึง 9,000 ล้านบาท และอีก 2,000 ล้านบาทมาจากโครงการ “คอนโดมิเนียมหรู” ของบริษัทในเครืออย่าง แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการผนึกกำลังภายในองค์กรเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ผมมองว่านี่คือการกลับคืนสู่ฐานที่มั่นเดิมอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าสภาพตลาดโดยรวมจะยังไม่เอื้ออำนวยเต็มที่ก็ตาม
สามกลยุทธ์หลัก: สร้างความแตกต่าง คว้าโอกาสในทุกเซกเมนต์
จากประสบการณ์ของผม การจะอยู่รอดและเติบโตในสภาพตลาดเช่นนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่เฉียบคมและแตกต่าง พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้วางกลยุทธ์สำคัญ 3 ประการ ที่ผมเชื่อว่าจะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง:
การยกระดับผลิตภัณฑ์และคุณภาพงานก่อสร้างสู่มาตรฐานสากล: ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่
ในยุคที่ผู้บริโภคมีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ได้มองหาเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่คือพื้นที่ที่ตอบโจทย์ “ไลฟ์สไตล์” และ “คุณภาพชีวิต” อย่างแท้จริง พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี และได้วางแผนที่จะเปิดตัว “แบบบ้านใหม่” ในทุกเซกเมนต์ ทั้ง “บ้านเดี่ยว” “บ้านแฝด” และ “ทาวน์โฮม” ที่ผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถันจากทีมสถาปนิกทั้งภายในและภายนอกองค์กร
สิ่งที่น่าสนใจคือการปรับรูปแบบบ้านและ “ปรับฟังก์ชันภายในให้มีขนาดใหญ่ขึ้น” เพื่อรองรับวิถีชีวิตแบบ Hybrid Work ที่บ้านกลายเป็นทั้งที่ทำงานและที่พักผ่อน รวมถึงตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบ Multi-generational ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ นอกจากนี้ ยังมีการให้ความสำคัญกับการ “ควบคุมคุณภาพงานก่อสร้าง” อย่างเข้มข้น พัฒนากระบวนการตรวจสอบให้มีมาตรฐานสูงขึ้น เพื่อส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพและความทนทานสูงสุด ผมมองว่าการลงทุนในเรื่องคุณภาพและดีไซน์นี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด
ไม่เพียงเท่านั้น การผนวกเอาเทคโนโลยี Smart Home เข้ามาในโครงการ การออกแบบ “บ้านประหยัดพลังงาน” การใช้พลังงานหมุนเวียน หรือการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็จะเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่ดึงดูดผู้ซื้อยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ผมเชื่อว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชัน ความสวยงาม และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาว
ปรับสโมสรสู่ “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์ (Health & Lifestyle Club)” เต็มรูปแบบ: สร้างคุณค่าที่เหนือกว่า
นอกเหนือจากการพัฒนาตัวบ้าน พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ยังได้ริเริ่มแนวคิดที่ก้าวหน้าในการ “ปรับปรุงสโมสร” รวม 25 แห่งภายในโครงการ ให้กลายเป็น “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์” เต็มรูปแบบ นี่คือการสร้างสรรค์พื้นที่ส่วนกลางรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ “สุขภาพและไลฟ์สไตล์” ของลูกบ้านอย่างครบวงจร ซึ่งผมมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและตอบโจทย์ “เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025” ที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้น
ลองจินตนาการถึงพื้นที่ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สโมสรทั่วไป แต่เป็นศูนย์รวมกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ มีฟิตเนสที่ทันสมัย สระว่ายน้ำ ห้องโยคะ สปา หรือแม้แต่พื้นที่สำหรับเวิร์คช็อปด้านสุขภาพ โภชนาการ และการสร้างสรรค์กิจกรรมทางสังคม สิ่งเหล่านี้จะช่วย “ยกระดับคุณภาพชีวิต” ของสมาชิกโครงการ และ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้แก่โครงการอย่างมหาศาล ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เป็นการสร้าง Brand Loyalty และ Community Engagement ที่แข็งแกร่ง ผมเชื่อว่าการลงทุนในไลฟ์สไตล์และคุณภาพชีวิตของลูกบ้าน จะสร้างความผูกพันและเป็นแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค
กลยุทธ์สร้าง “รายได้ประจำ (Recurring Income)” 30% ใน 3 ปี: เสริมภูมิคุ้มกันธุรกิจ
นี่คือกลยุทธ์ที่ผมมองว่าเป็นการปรับตัวที่สำคัญและเป็นเชิงรุกที่สุดของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ในการสร้าง “ฐานรากที่แข็งแกร่ง” ให้กับธุรกิจ การลดการพึ่งพารายได้จากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแต่เพียงอย่างเดียว และหันมาสร้าง “รายได้ประจำ” เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้าง “ความมั่นคงระยะยาว” เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการยุคใหม่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
บริษัทได้ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ประจำให้อยู่ในระดับไม่น้อยกว่า 30% ภายในปี 2571 (อีก 3 ปีข้างหน้า) โดยกำลังพิจารณา “การลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอ” ซึ่งอาจรวมถึงธุรกิจบริการ โรงแรม (ที่ แกรนด์ แอสเสท มีความเชี่ยวชาญ) พื้นที่ค้าปลีกให้เช่า หรือแม้แต่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การปรับปรุงสโมสร
คำกล่าวของคุณศานิตที่ว่า “การสร้างรายได้ประจำคือหัวใจของการเสริมภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจ เรากำลังมองหาโอกาสลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ เพื่อให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน” สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน การมี “Passive Income อสังหาฯ” ที่มั่นคง จะช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงิน สามารถลงทุนในนวัตกรรมใหม่ๆ และผ่านพ้นช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนไปได้อย่างมั่นคง ผมเชื่อว่ากลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่จะสร้างเสถียรภาพทางการเงิน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นในระยะยาวด้วย
บทสรุปและมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ: ความยืดหยุ่นคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการ “อสังหาริมทรัพย์” มานานกว่า 10 ปี ผมมองว่าสถานการณ์ “เศรษฐกิจ” และ “การเมือง” ในปี 2565 เป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ประกอบการไทย อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อมั่นว่า “ตลาดอสังหา” ไทยยังคงมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว เมื่อปัจจัยภายนอกเริ่มคลี่คลาย และ “ความเชื่อมั่น” ของผู้บริโภคและนักลงทุนกลับคืนมา
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้แสดงให้เห็นถึงความ “ยืดหยุ่น” “ความกล้าหาญ” และ “วิสัยทัศน์” ในการปรับตัวและวางกลยุทธ์เชิงรุกสำหรับปี 2569 ที่ไม่ได้เป็นเพียงการตั้งรับ แต่เป็นการรุกคืบด้วยความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของ “เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ 2025” และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การผสมผสานระหว่างการยกระดับผลิตภัณฑ์ การสร้างคุณค่าเพิ่มผ่าน “Health & Lifestyle Club” และการสร้าง “รายได้ประจำ” คือสูตรสำเร็จที่จะนำพา พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ให้เติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นผู้นำในการกำหนดทิศทางใหม่ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย
ผมเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ไม่เพียงบรรลุเป้าหมายยอดขาย 11,000 ล้านบาทในปี 2569 แต่ยังสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในทศวรรษหน้า ทำให้แบรนด์ยังคงเป็นหนึ่งในชื่อที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในตลาด “บ้านเดี่ยว” “ทาวน์โฮม” และ “คอนโดมิเนียม” ของไทย
คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยแห่งอนาคต?
หากคุณกำลังมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ทุกมิติของชีวิต หรือมองหาโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืนในยุคที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังก้าวสู่ยุคใหม่ ขอเชิญทุกท่านมาร่วมค้นพบโครงการที่อยู่อาศัยนวัตกรรมใหม่ และสัมผัสประสบการณ์ “ศูนย์สุขภาพและไลฟ์สไตล์” ที่ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สร้างสรรค์ขึ้น เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคุณและคนที่คุณรัก ติดตามทุกความเคลื่อนไหว และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางสู่ยุคใหม่ของอสังหาริมทรัพย์กับเราวันนี้!
