ปลดล็อกฝัน: กลยุทธ์นวัตกรรมเพื่อ การเป็นเจ้าของบ้าน ในยุคที่ท้าทาย – บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญอสังหาฯ 2025
ในฐานะที่คลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวของตลาดมาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่สถานการณ์จะซับซ้อนและท้าทายเท่าปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2025 ที่ผู้บริโภคจำนวนมากต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการในการบรรลุเป้าหมายสูงสุดอย่าง การเป็นเจ้าของบ้าน ความฝันที่เคยเป็นเสาหลักของความมั่นคงและสถานะทางสังคม กำลังถูกบีบให้ห่างไกลออกไปสำหรับหลายครอบครัว ด้วยแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจมหภาค หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่แตะระดับวิกฤต
บริบทของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไทยในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การชะลอตัวตามวัฏจักร แต่เป็นการปรับฐานครั้งใหญ่ที่เรียกร้องให้นักพัฒนาและผู้เกี่ยวข้องต้องพลิกโฉมแนวคิดและกลยุทธ์อย่างสิ้นเชิง เพื่อสร้างโซลูชั่นที่แท้จริงและเข้าถึงได้ สภาวะตลาดเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงโอกาสในการปรับตัว แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่แยกผู้ประกอบการที่เข้าใจถึง “Pain Point” ของลูกค้าออกจากผู้ที่ยังยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึงแนวโน้มปัจจุบัน วิเคราะห์ความท้าทาย และนำเสนอโมเดลนวัตกรรมที่กำลังเข้ามาพลิกโฉมภูมิทัศน์ของ การเป็นเจ้าของบ้าน โดยเฉพาะกรณีศึกษาของ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ที่ได้ริเริ่มโมเดล “Next Solution” ซึ่งกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ในตลาด
วิกฤตหนี้และการปฏิเสธสินเชื่อ: อุปสรรคใหญ่ในเส้นทางสู่การเป็นเจ้าของบ้าน
ภาพรวมของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไทยในปี 2025 เผชิญกับความท้าทายอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปัจจัยหลักคือภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว ซึ่งเป็นเสมือนโซ่ตรวนที่ผูกมัดกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้ความสามารถในการกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าความต้องการ การเป็นเจ้าของบ้าน จะยังคงมีอยู่สูง โดยเฉพาะในกลุ่ม ตลาดแมส ที่มีราคาเข้าถึงง่าย แต่ปัญหาสำคัญกลับอยู่ที่ “ความสามารถในการกู้” ซึ่งไม่ได้เติบโตตามทันราคาที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลเชิงลึกจากสถาบันการเงินชี้ให้เห็นว่า อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มแนวราบและคอนโดมิเนียมบางทำเล พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขที่น่าตกใจถึง 80% ในบางพื้นที่ เช่น บางใหญ่ และเฉลี่ย 50% สำหรับคอนโดมิเนียมโดยรวม เป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ช่องว่างระหว่างความฝันและโอกาสในการ การเป็นเจ้าของบ้าน กำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าจำนวนมากที่เคยมีศักยภาพในการซื้อบ้าน ต้องเผชิญกับกำแพงสินเชื่อที่ไม่อาจข้ามผ่านได้ ทำให้พวกเขาติดอยู่ในวังวนของการเช่าไปอีกหลายปี และความฝันที่จะมี “บ้านเป็นของตัวเอง” ก็ดูจะห่างไกลออกไปทุกที
ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในกลุ่ม ตลาดแมส จึงต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน การพึ่งพาโมเดลธุรกิจแบบเดิมที่เน้นการสร้างและขายโดยคาดหวังว่าลูกค้าจะสามารถจัดหาสินเชื่อได้เองนั้น ไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง “Pain Point” ของลูกค้า โดยเฉพาะเรื่องความสามารถในการกู้ คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดและการเติบโตในยุคสมัยนี้ และนี่คือจุดที่นวัตกรรมเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
Sena Next Solution: บันไดสู่การเป็นเจ้าของบ้านที่จับต้องได้
ท่ามกลางความท้าทายอันใหญ่หลวงนี้ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความกล้าหาญในการริเริ่มโมเดล “Next Solution” ซึ่งเป็นการปรับกระบวนทัพครั้งสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มลูกค้า ตลาดแมส ที่ประสบปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อ โมเดลนี้ไม่ใช่แค่การปรับราคาหรือโปรโมชั่น แต่เป็นการสร้าง “กลไกฟื้นกำลังซื้อ” ที่ช่วยลูกค้าสร้างเครดิตและความพร้อมทางการเงิน เพื่อให้พวกเขาสามารถก้าวเข้าสู่ การเป็นเจ้าของบ้าน ได้จริงในที่สุด
แกนหลักของ Next Solution ประกอบด้วยสองโครงการสำคัญที่เปรียบเสมือนบันไดทอดลงไปให้ลูกค้าได้ปีนป่าย:
LivNext (เช่าออมบ้าน): นี่คือนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปมเรื่องเครดิตบูโรและการเตรียมความพร้อมทางการเงินได้อย่างตรงจุด สำหรับลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะ “กู้ไม่ได้ตลอดไป” แต่ส่วนใหญ่ต้องการเวลาและคำแนะนำในการปรับฐานข้อมูลทางการเงินให้ถูกต้อง LivNext เสนอโอกาสให้ลูกค้าได้ “ผ่อนกับโครงการ” โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจราว 1.8% ผ่านบัญชีธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งเป็นสถาบันการเงินหลักที่สนับสนุน การเป็นเจ้าของบ้าน ให้กับประชาชน
กลไกการสร้างเครดิต: การผ่อนชำระกับโครงการ LivNext อย่างสม่ำเสมอ เป็นการสร้างประวัติทางการเงินที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการยื่นขอ สินเชื่อบ้าน ในอนาคต เสนาฯ ร่วมกับบริษัทเงินสดใจดี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในเครือที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อตรวจสอบวิเคราะห์ศักยภาพลูกค้าอย่างใกล้ชิด ติดตามความก้าวหน้าทุก 6 เดือน และให้คำแนะนำด้านพฤติกรรมทางการเงินอย่างละเอียด ทำให้ลูกค้ามีความเข้าใจและสามารถปรับปรุงสถานะเครดิตของตนเองได้อย่างมีทิศทาง
ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: LivNext ไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นโมเดลที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ ปัจจุบันมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 ยูนิต และที่สำคัญ มีลูกค้าสามารถกู้ผ่านและโอนได้จริงแล้วกว่า 100 ยูนิตภายในเวลาไม่ถึงสองปี นี่คือข้อพิสูจน์ว่า หากมี “โซลูชั่นการเงินสำหรับบ้าน” ที่เหมาะสม ผู้กู้ที่เคยถูกปฏิเสธก็สามารถเปลี่ยนสถานะเป็น “เจ้าของบ้าน” ได้ มูลค่าทางธุรกิจของ LivNext ยังช่วยรักษายอดขายที่อาจสูญเสียไปกว่า 2,000 ล้านบาทให้กับเสนาฯ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการสร้างรายได้แม้ในตลาดที่ท้าทาย
RentNext (เช่าพร้อมสิทธิ์ซื้อ): โมเดลนี้สร้างความยืดหยุ่นและทางเลือกที่เหนือกว่าการเช่าแบบปกติ ลูกค้าที่เข้าร่วม RentNext สามารถเปลี่ยนใจจากผู้เช่ามาเป็นผู้ซื้อได้ โดยมีเงื่อนไขที่น่าสนใจคือ การนำค่าเช่ามาหักลดเงินต้นได้ 100% หากตัดสินใจซื้อยูนิตเดียวกัน หรือ 50% หากเลือกซื้อโครงการอื่นในเครือของเสนาฯ
ตอบโจทย์ผู้ต้องการความยืดหยุ่น: RentNext เหมาะสำหรับลูกค้าที่ยังไม่แน่ใจเรื่องแผนระยะยาว ต้องการทดลองใช้ชีวิตในโครงการก่อนตัดสินใจซื้อ หรือต้องการเวลาในการสะสมเงินดาวน์เพิ่มเติม ซึ่งโมเดลนี้เป็นการลดความเสี่ยงทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้พัฒนา โครงการที่อยู่อาศัย
ทำเลทองที่รองรับ: โครงการ RentNext มุ่งเน้นในทำเลที่มีศักยภาพและมีความต้องการเช่าสูง ใกล้แหล่งงานและสถาบันการศึกษา เช่น พระราม 9, บางนา, นิคมอุตสาหกรรม, และรังสิต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในระยะยาวและมีความเสี่ยงต่ำในแง่ของการหาผู้เช่า หรือผู้ซื้อในอนาคต
รายได้รวมจาก LivNext และ RentNext อาจดูไม่มากนักในแง่ของตัวเลขต่อปี แต่ที่น่าสนใจคือ Gross Margin ที่สูงถึง 80% เนื่องจากเป็นการนำทรัพย์สินเดิมมาใช้สร้างรายได้ใหม่ ลดต้นทุนการตลาด และเพิ่มการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า Economy of Scope ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กลยุทธ์ปี 2025-2026: รัดเข็มขัด พัฒนาสินทรัพย์ และมุ่งสู่ความยั่งยืน
นอกเหนือจากโมเดล Next Solution เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ยังได้วางยุทธศาสตร์เชิงรุกและระมัดระวังสำหรับปี 2025-2026 โดยเน้นการบริหารจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แทนที่จะเร่งเปิด โครงการที่อยู่อาศัย ใหม่จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่เลื่อนมาจากปีก่อน หรือเฟสต่อเนื่องจากโครงการเดิม เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพ
บริหารจัดการสต็อกขนาดใหญ่: เสนาฯ มีสินค้าคงคลังที่สร้างเสร็จแล้วกว่า 5,000 ยูนิต มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท โดยกว่า 70% เป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินทรัพย์เหล่านี้ บริษัทได้ดำเนินกลยุทธ์ปรับปรุงยูนิตเดิมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การรีโนเวทเฟอร์นิเจอร์ ปรับ Layout ไปจนถึงการทำตลาดแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้ “บ้านพร้อมอยู่” เหล่านั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันได้อย่างแท้จริง แนวคิดนี้สะท้อนว่าการพัฒนาไม่ได้หยุดอยู่แค่โครงการใหม่ แต่รวมถึงการปรับปรุงและนำเสนอสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด
ความยั่งยืนในทุกมิติ: อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่เสนาฯ ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องคือ อสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้เน้นย้ำถึงการติดตั้ง โซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่เก็บพลังงานเป็นมาตรฐานใหม่ในบ้านทุกหลังในกลุ่มราคาแกรนด์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับผู้อยู่อาศัยในระยะยาว แต่ยังเป็นการสนับสนุนพลังงานสะอาดและส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าแนวทาง Waste Management ในทุกโครงการ เพื่อยกระดับบทบาทของบริษัทในฐานะ “Life Long Trusted Partner” ที่ไม่เพียงแค่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังดูแลคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในมิติต่างๆ อีกด้วย นี่คือแนวทางที่สร้างความน่าเชื่อถือและความแตกต่างใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, and Governance) มากขึ้นเรื่อยๆ
มุมมองระดับมหภาคและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมการเป็นเจ้าของบ้าน
จากประสบการณ์ในวงการ การเงินอสังหาริมทรัพย์ ผมมองว่านอกจากกลยุทธ์ของภาคเอกชนแล้ว มาตรการของภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และสนับสนุน การเป็นเจ้าของบ้าน ให้กับประชาชนในวงกว้าง ดร.เกษราได้ชี้ให้เห็นอย่างน่าสนใจว่า มาตรการของรัฐที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ซึ่งมีการออกมาตรการไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญและเร่งด่วนกว่านั้นคือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเกินไป และนโยบายสินเชื่อที่ตึงตัวจนเกินความจำเป็น หากรัฐบาลสามารถจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อซื้อหนี้เสียจากสถาบันการเงิน หรือปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลจริง จะเป็นการ “ปลดล็อก” กำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างมหาศาล และจะช่วยฟื้นฟูความเชื่อมั่นใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่มีผลโดยตรงต่อสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ (DSR) ของผู้กู้ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถกู้ผ่านได้ง่ายขึ้น และลดภาระผ่อนชำระต่อเดือนลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ การเป็นเจ้าของบ้าน สำหรับกลุ่ม ตลาดแมส การ วิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า หากรัฐบาลสามารถออกมาตรการที่ครอบคลุมและลงลึกถึงรากของปัญหาหนี้ครัวเรือนและสินเชื่อได้จริง ผลกระทบเชิงบวกจะแผ่ขยายไปทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น
อนาคตของตลาดอสังหาริมทรัพย์และการเป็นเจ้าของบ้าน
ในภาพรวมที่ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ ผู้ประกอบการอสังหาฯ คือการปรับตัวเชิงรุก มองหาวิธีการใหม่ๆ ในการช่วยให้ลูกค้ามีโอกาสเข้าถึงระบบสินเชื่อและ การเป็นเจ้าของบ้าน ได้มากขึ้น โมเดลอย่าง Next Solution ของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ ถือเป็นต้นแบบที่ดีในการประคองกำลังซื้อในกลุ่ม Affordable และสร้างเส้นทางที่มั่นคงให้ลูกค้าได้เตรียมความพร้อมในการยื่นกู้จริง แม้ว่ากระบวนการอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี แต่เป็นการวางรากฐานทางการเงินที่แข็งแกร่งให้กับผู้บริโภคในระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่ การเป็นเจ้าของบ้าน ที่ยั่งยืนและมั่นคง
จากประสบการณ์ตลอด 10 ปีในแวดวงนี้ ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่ายุคสมัยของการ “สร้างแล้วขาย” แบบเดิมๆ ได้สิ้นสุดลงแล้ว ยุคปัจจุบันและอนาคตคือยุคที่ผู้พัฒนาต้องทำหน้าที่มากกว่าแค่สร้างอาคาร แต่ต้องเป็น “ที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์” ที่แท้จริง คอยช่วยเหลือและนำทางลูกค้าให้บรรลุเป้าหมาย การเป็นเจ้าของบ้าน ในโลกที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมใจกลาง กรุงเทพ หรือบ้านแนวราบในทำเลศักยภาพอย่าง บางใหญ่ หรือ พระราม 9 ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีนวัตกรรมที่ตอบโจทย์เฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
ความสามารถในการปรับตัว ผสานกับความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดผู้ชนะใน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในทศวรรษหน้า การสร้างเครื่องมือช่วยเหลือและเสริมศักยภาพให้ลูกค้าจึงไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็น” ที่ภาคธุรกิจต้องลงมือทำทันที เพื่อให้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ของไทยกลับมาเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
หากท่านกำลังเผชิญความท้าทายในการ การเป็นเจ้าของบ้าน หรือสนใจกลยุทธ์ อสังหาริมทรัพย์ ที่ก้าวหน้าเช่นนี้ เราขอเชิญชวนให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ โครงการที่อยู่อาศัย ที่ตอบโจทย์ความต้องการของท่าน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน การเงินอสังหาริมทรัพย์ เพื่อวางแผนอนาคตที่มั่นคงและบรรลุความฝันในการมีบ้านเป็นของตัวเอง.

