ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์: ยุทธศาสตร์สู่ความมั่งคั่งยุคใหม่ (2025)
ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่าทศวรรษ ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งภูมิทัศน์ของธุรกิจและการปรับตัวของกลไกขับเคลื่อนประเทศมาโดยตลอด วันนี้ ปี 2025 สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้ เรากำลังยืนอยู่บนทางแยกที่ต้องตัดสินใจว่าจะยังคงยึดติดกับโมเดลเดิมที่เคยสร้างความรุ่งเรืองในอดีต หรือจะกล้าหาญพอที่จะพลิกโฉมโครงสร้างเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน บทความนี้จะเจาะลึกถึงความท้าทายปัจจุบัน และนำเสนอแนวคิดเชิงกลยุทธ์ในการใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหัวหอกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่ที่แข็งแกร่งและมั่นคง
เมื่อเมฆหมอกปกคลุมเศรษฐกิจไทย: ความท้าทายที่ต้องเผชิญ
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยปัจจัยกดดันจากหลากหลายทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นแรงกระแทกจากภายนอกหรือปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ดังที่นักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านได้ออกมาส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่อง
สงครามการค้าและการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานโลก: แม้สถานการณ์อาจดูผ่อนคลายลงบ้าง แต่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างมหาอำนาจยังคงเป็นดาบที่พร้อมจะฟันซ้ำเติม ทำให้การส่งออกซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ประเทศไทยที่เคยพึ่งพาอุตสาหกรรมหนักอย่างอุตสาหกรรมยานยนต์จากญี่ปุ่นเป็นหลัก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเรายังขาดเทคโนโลยีหลักในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ ทำให้เสียเปรียบในการแข่งขันและการลงทุนจากต่างชาติในระยะยาว
เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว: จีนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญและแหล่งที่มาของนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่ง กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจภายในประเทศ การชะลอตัวนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย และทำให้ความหวังที่จะเห็นนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเท่าระดับก่อนโควิด-19 นั้นเป็นไปได้ยากขึ้น
หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง: ระเบิดเวลาในครัวเรือนไทย: ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งทะยานจนเกิน 90% ของ GDP กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่บั่นทอนกำลังซื้อภายในประเทศอย่างรุนแรง การที่ประชาชนมีภาระหนี้สูง ย่อมส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนส่วนบุคคลชะลอตัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ นี่คือภาพสะท้อนว่าการเติบโตของประเทศในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้มาจากเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่มาจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการดึงเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า
โครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัย: ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบ ปัญหาโครงสร้างประชากรที่ขาดแคลนแรงงานวัยหนุ่มสาวจะส่งผลกระทบต่อผลิตภาพของประเทศในระยะยาว และยังเป็นภาระด้านงบประมาณสำหรับสวัสดิการสังคม การผลิตและนวัตกรรมจะชะลอตัวลง หากไม่มีการเตรียมพร้อมรับมืออย่างเป็นรูปธรรม
ความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้าง: ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นประเด็นที่กัดกร่อนรากฐานของประเทศ ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาส ทรัพยากร และรายได้ ทำให้ศักยภาพโดยรวมของเศรษฐกิจไทยไม่ถูกใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่
ปัจจัยเหล่านี้รวมกันสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้เราไม่สามารถดำเนินต่อไปด้วยกลไกขับเคลื่อนแบบเดิมได้อีกต่อไป นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องกลับมาทบทวนและออกแบบอนาคตใหม่ให้แก่ประเทศ
การพลิกโฉมโครงสร้าง GDP: ถอดบทเรียนจากทั่วโลกสู่ภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์
เมื่อมองไปรอบโลก จะเห็นได้ว่าหลายประเทศที่เคยพึ่งพาอุตสาหกรรมหนักหรือทรัพยากรธรรมชาติ ได้ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีภาคบริการและอสังหาริมทรัพย์เป็นหัวใจสำคัญ:
สิงคโปร์: จากเมืองท่าอุตสาหกรรมสู่ศูนย์กลางการเงิน เทคโนโลยี และการศึกษา โดยภาคบริการมีสัดส่วนสูงถึงกว่า 70% ของ GDP พวกเขาสร้างรายได้มหาศาลจากการเป็นประตูสู่โลก ไม่ว่าจะเป็นการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจดิจิทัล
เกาหลีใต้: พลิกโฉมจากการเน้นอุตสาหกรรมหนักสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และที่สำคัญคืออุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) ซึ่งเป็นพลัง Soft Power ที่สร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มมหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานการผลิตสิ่งทอสู่ศูนย์กลางการเงิน การบริการ และอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่นี่เป็นที่นิยมของนักลงทุนทั่วโลก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): จากประเทศที่พึ่งพารายได้จากการขายน้ํามันเป็นหลัก วันนี้รายได้จากน้ำมันเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP พวกเขาเปลี่ยนไปเน้นการท่องเที่ยวหรูหรา ธุรกิจบริการระดับโลก และส่งเสริมอุตสาหกรรมMICE (Meetings, Incentives, Conferences, Exhibitions) โดยมีการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้พำนัก
สหราชอาณาจักร: อดีตผู้นำอุตสาหกรรม ปัจจุบันภาคบริการมีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยเฉพาะกรุงลอนดอนที่กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ผันผวน สู่ภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และใช้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการเติบโต เป็นเส้นทางที่พิสูจน์แล้วว่าสำเร็จ
อสังหาริมทรัพย์: จุดเปลี่ยนแห่งศักยภาพของเศรษฐกิจไทย
ประเทศไทยมีพื้นฐานและศักยภาพอันโดดเด่นที่จะก้าวตามรอยประเทศเหล่านี้ได้ การที่กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลก โรงพยาบาลไทยหลายแห่งติดอันดับดีที่สุด และคนไทยมีมนุษยสัมพันธ์และบริการที่ยอดเยี่ยม ล้วนเป็นต้นทุนทางสังคมที่ประเมินค่ามิได้ หากเราสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองจากการมองอสังหาริมทรัพย์เป็นเพียงปัจจัยสี่ สู่การเป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการสร้างเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องกล้าเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามามีบทบาทในการเป็นกำลังซื้อหลักในตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงที่ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาที่จับต้องได้
ถอดรหัสความสำเร็จ: อสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยกำลังซื้อต่างชาติ
ในอดีต มีหลายประเทศที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกับไทย ทั้งกำลังซื้อภายในลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่โต แต่พวกเขาพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้สำเร็จโดยการดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์และใช้จ่ายในประเทศผ่านกลไกต่างๆ:
โปรตุเกส (Golden Visa 2012): เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป ได้สิทธิพำนักถาวร ทำให้เงินทุนหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศกว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต และกระตุ้นราคาบ้านให้กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สเปน (Residency by Investment 2008): หลังวิกฤตเศรษฐกิจ ได้ออกโครงการที่อนุญาตให้ต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 500,000 ยูโรขึ้นไป ซึ่งกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา และทำให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
กรีซ (Greece Golden Visa): คล้ายกับโปรตุเกส โดยกำหนดการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ 250,000 ยูโรขึ้นไป ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตถึง 60% ภายใน 10 ปี ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างน่าทึ่ง
มาเลเซีย (Malaysia My Second Home – MM2H): โครงการพำนักระยะยาวสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการอยู่อาศัยในมาเลเซีย ซึ่งกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์และดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมาก
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (Freehold Property): อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบ Freehold ได้ ทำให้ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล และอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นกว่า 50% ของ GDP จนกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
บทเรียนเหล่านี้ยืนยันว่า การใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องมือดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์ที่ทำได้จริงและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ
ประเทศไทยกับโอกาสที่ไม่ควรมองข้าม: การลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากต่างชาติ
ถึงเวลาแล้วที่เศรษฐกิจไทยต้องพิจารณาแนวทางเหล่านี้อย่างจริงจัง ผมเข้าใจถึงความกังวลเรื่องการ “เสียที่ดินให้ต่างชาติ” แต่ประเทศไทยมีที่ดินกว่า 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิอยู่ 127 ล้านไร่ (40%) การที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยมีมาตรการควบคุมที่ชัดเจน ไม่ได้หมายความว่าที่ดินของประเทศจะถูกครอบครองหมด
ยกตัวอย่างเช่น หากในหนึ่งปี เราสามารถขายบ้านให้ชาวต่างชาติได้ 200,000 หลัง ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามหาศาล แต่เป็นการใช้พื้นที่ที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มีเอกสารสิทธิ หากในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ 392,858 หน่วย มูลค่ากว่า 1,065,008 ล้านบาท ลองจินตนาการว่าหาก 1 ใน 4 ของการโอนกรรมสิทธิ์นี้มาจากชาวต่างชาติ เราจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยเกือบ 1 ล้านล้านบาท!
ชาวต่างชาติจำนวนมากต้องการมาพำนักในประเทศไทย ด้วยเหตุผลที่ชัดเจน:
คุณภาพชีวิตและค่าครองชีพที่ต่ำกว่าประเทศตะวันตก
อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก
สภาพอากาศที่อบอุ่น
ระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้ ทำให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
อสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเหมาะสม ไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ
สังคมไทยที่เป็นมิตรและบริการที่เป็นเลิศ
โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตคุณภาพสูง
เราควรเปิดประตูต้อนรับกลุ่มชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อปานกลางถึงสูงที่ต้องการคอนโดมิเนียมหรู หรือวิลล่าติดทะเลสำหรับเป็นบ้านหลังที่สอง หรือเพื่อการเกษียณอายุ โดยเฉพาะในพื้นที่ศักยภาพสูงอย่างกรุงเทพฯ ชลบุรี ระยอง (ซึ่งเป็นพื้นที่EEC) ภูเก็ต และพัทยา ซึ่งมีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ดึงดูดกลุ่มนี้มักจะอยู่ในช่วง 5-7 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่เข้าถึงได้และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวม
ผลกระทบเชิงบวกที่หลากหลาย: อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
การส่งเสริมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากชาวต่างชาติ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การขายบ้าน แต่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกที่หลากหลายต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง:
กระตุ้นธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง: เมื่อมีการก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่
การจ้างงานโดยตรงและทางอ้อม: ทั้งในภาคการก่อสร้าง การขาย การตลาด การบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และภาคบริการที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า หรือบริการต่างๆ ในชุมชนท้องถิ่น
เพิ่มกำลังซื้อและการบริโภคในท้องถิ่น: ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยจะกลายเป็นผู้บริโภคใหม่ที่ใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าบริการ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยหล่อเลี้ยงธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางในชุมชน
สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ GDP: ตัวอย่างเช่น การขายบ้าน 10,000 หลัง อาจส่งผลให้ GDP เพิ่มขึ้นถึง 0.75% แต่หากเราสามารถขยายขนาดให้ถึง 100,000 หลัง ผลกระทบต่อ GDP อาจสูงถึง 7% ซึ่งเป็นการเติบโตที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในระยะเวลาอันสั้น
หลายพื้นที่ของไทย โดยเฉพาะภูเก็ตและพัทยา ได้เริ่มสัมผัสกับประโยชน์จากการดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้ว ซึ่งเป็นทั้งรูปแบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย และแบบที่ไม่เป็นทางการ แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องทำให้กระบวนการเหล่านี้โปร่งใส และสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ประเทศ
ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทย: การเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ผมเชื่อว่าประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกที่สำคัญ เราไม่สามารถรอคอยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้เพียงอย่างเดียว การปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยจากการพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก สู่การขับเคลื่อนด้วยภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคบริการ โดยมีกำลังซื้อจากต่างประเทศเป็นกลไกสำคัญ เป็นทางออกที่สมเหตุสมผลและมีศักยภาพสูง
เรามีสินทรัพย์ที่คนทั่วโลกชื่นชม ทั้งวัฒนธรรม สภาพอากาศ การบริการ และอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพ หากเรามีนโยบายที่ส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจที่ชัดเจน เช่น การพิจารณาเรื่องกฎหมายการถือครองที่ดินของต่างชาติให้ยืดหยุ่นขึ้นภายใต้ขอบเขตที่ควบคุมได้ การพัฒนาโครงการพิเศษสำหรับชาวต่างชาติที่มาพำนักระยะยาว หรือมาตรการทางภาษีที่เอื้อต่ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เราจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินและบุคลากรคุณภาพจากทั่วโลกเข้ามาสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่เศรษฐกิจไทยได้
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ปรับเปลี่ยนมุมมอง และเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ที่รออยู่ การใช้อสังหาริมทรัพย์เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไม่ได้เป็นเพียงความฝัน แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่จับต้องได้และพร้อมที่จะสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศชาติอย่างยั่งยืนในอนาคต
ก้าวสู่ยุคใหม่ของเศรษฐกิจไทยด้วยอสังหาริมทรัพย์!
หากท่านคือผู้ประกอบการ นักลงทุน หรือผู้สนใจในศักยภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย และต้องการเจาะลึกข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุน การพัฒนาโครงการ หรือแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2025 และอนาคต ผมขอเชิญชวนท่านมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและค้นพบโอกาสทองในการสร้างการเติบโตไปด้วยกัน ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญของเราวันนี้ เพื่อปรึกษาแนวทางการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่จะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ท่าน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปด้วยกัน!

