• Sample Page
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result
No Result
View All Result
dungthailan.vansonnguyen.com
No Result
View All Result

D1912142 พล กด นส ดาว แม ไม ใช กในไส ณ! part2

admin79 by admin79
December 22, 2025
in Uncategorized
0
D1912142 พล กด นส ดาว แม ไม ใช กในไส ณ! part2

บทบาทเชิงกลยุทธ์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่: วิสัยทัศน์ปี 2568 และอนาคต

ในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่าทศวรรษ ผมได้เฝ้าสังเกตและวิเคราะห์พลวัตของเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ความรู้สึกที่ว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญทางตัน โอกาสรอดอยู่ตรงไหน” ไม่ใช่คำถามใหม่ แต่เป็นเสียงสะท้อนที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางบริบททางเศรษฐกิจโลกและในประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ปี 2568 ความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้ายิ่งมีความซับซ้อนและเร่งด่วนมากขึ้น การยึดติดกับโมเดลการเติบโตแบบเดิมๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องฉีกกรอบความคิดเดิมๆ และมองหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ และในมุมมองของผม ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือคำตอบที่ไม่อาจมองข้ามได้

มรสุมเศรษฐกิจลูกใหญ่: ความจริงที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้า

ประเทศไทยเคยภาคภูมิใจกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและการลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และต่อเนื่อง ทว่าภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันเต็มไปด้วยความผันผวน ตั้งแต่สงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าและตลาดสำคัญ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ไปจนถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักของไทยเริ่มเดินเครื่องได้ไม่เต็มที่

ในระดับมหภาค รายงานจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และอดีตรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังเสี่ยงที่จะติดกับดัก “ทศวรรษที่สาบสูญ” ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่รุนแรงกว่าที่เราเคยประสบมา การลงทุนในตลาดหุ้นที่ไร้สัญญาณฟื้นตัวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง และภาพอนาคตที่ยังคลุมเครือ

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จากเดิมที่เคยอยู่ที่ประมาณ 40% ของ GDP ในทศวรรษก่อน ปัจจุบันได้ทะลุ 90% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปอีก การใช้จ่ายอนาคตมาในวันนี้เพื่อพยุงเศรษฐกิจย่อมมีข้อจำกัด และจะทำให้การเติบโตในระยะยาวเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น ประกอบกับโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานมีฝีมือและประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมยังคงเป็นเงาตามตัวที่คอยฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตที่ยั่งยืน

แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามผลักดันการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่โจทย์ใหญ่คือผู้ประกอบการไทยยังขาดแคลนเทคโนโลยีและศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญ ทำให้การพึ่งพาการนำเข้ายังคงเป็นความท้าทาย การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ไทยเคยเป็นแชมป์โลกก็กำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดจากคู่แข่งใหม่ๆ และความต้องการของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นความหวังสำคัญหลังวิกฤตโควิด-19 ก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นกำลังหลัก ก็ยังไม่อาจกลับมาในระดับก่อนวิกฤตได้ง่ายๆ

ถึงเวลาต้องปฏิวัติโครงสร้างเศรษฐกิจ: เรียนรู้จากบทเรียนทั่วโลก

จากสถานการณ์ที่กล่าวมาข้างต้น ชัดเจนว่าประเทศไทยไม่สามารถเดินหน้าด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมได้อีกต่อไป การพึ่งพาการส่งออกและอุตสาหกรรมหนักมากเกินไป ได้เผยให้เห็นถึงจุดเปราะบางเมื่อเผชิญกับความผันผวนระดับโลก เราจำเป็นต้องกลับมาทบทวนและออกแบบโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและโอกาสการเติบโตที่ยั่งยืน

เราสามารถถอดบทเรียนจากประเทศต่างๆ ที่เคยเผชิญกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจและสามารถพลิกฟื้นได้อย่างน่าทึ่ง:

สิงคโปร์: จากเดิมที่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรมอย่างมาก ได้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็นศูนย์กลางบริการระดับโลก โดยภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงกว่า 70% ของ GDP สร้างรายได้มหาศาลจากธุรกิจการเงิน ธนาคาร เทคโนโลยี เศรษฐกิจดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และการศึกษา
เกาหลีใต้: แม้จะยังคงเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมหนัก แต่ก็หันมาเน้นเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมบันเทิง (K-Pop, K-Drama) และภาคบริการ ซึ่งกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มมหาศาล
ฮ่องกง: จากฐานอุตสาหกรรมโรงงานทอผ้า ได้ยกระดับเป็นศูนย์กลางการเงินระดับโลก ธุรกิจบริการ และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เฟื่องฟู
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): ซึ่งเคยพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเป็นหลัก ปัจจุบันน้ำมันเหลือไม่ถึง 30% ของ GDP พวกเขาได้เปลี่ยนผ่านสู่การท่องเที่ยวระดับหรู ธุรกิจบริการ ส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE (การประชุม, การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล, การประชุมนานาชาติ, นิทรรศการ) และเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
สหราชอาณาจักร: จากอดีตผู้นำอุตสาหกรรม ได้เปลี่ยนเป็นภาคบริการที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP โดยลอนดอนเป็นศูนย์กลางทางการเงินและเทคโนโลยีของยุโรป

เมื่อพิจารณาโครงสร้าง GDP ของไทยในปัจจุบัน การบริโภคภาคเอกชนคิดเป็น 57.7%, การลงทุนภาคเอกชน 17.3%, การใช้จ่ายภาครัฐ 22.2%, การส่งออกสินค้าและบริการ 65.4% และการนำเข้าสินค้าและบริการ 63.7% ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจด้านการผลิตแบ่งเป็นภาคเกษตรกรรม 8.4%, ภาคอุตสาหกรรม 39.2% และภาคบริการ 52% คำถามสำคัญคือ รายได้จากการส่งออกจำนวนมหาศาลนั้น กลับคืนสู่ประเทศและประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพียงใด การพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากเกินไปทำให้เราเปราะบาง

ภาคอสังหาริมทรัพย์: เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยแห่งอนาคต

ประเทศไทยมีศักยภาพและเสน่ห์ที่คนต่างชาติชื่นชอบอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการที่กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของโลก (ปี 2024), โรงพยาบาลชั้นนำติดอันดับโลก, อัธยาศัยไมตรีของผู้คน, บริการที่มีคุณภาพ, ค่าครองชีพที่ไม่สูงเกินไป, อาหารไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล, สภาพอากาศที่ดี, ระบบสาธารณสุขที่ดีกว่าหลายประเทศตะวันตก, และอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเข้าถึงได้เมื่อเทียบกับคุณภาพชีวิตที่ดีเหล่านี้

ด้วยจุดแข็งเหล่านี้ ผมเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพิจารณาปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่รูปแบบใหม่ โดยให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อย่างจริงจัง โดยดึงกำลังซื้อและเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา

กรณีศึกษาความสำเร็จจากนานาประเทศ: การเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

ในอดีต มีหลายประเทศที่เผชิญปัญหาเศรษฐกิจคล้ายกับไทย ทั้งกำลังซื้อภายในประเทศลดลง หนี้ครัวเรือนสูง และรายได้ไม่เติบโต พวกเขาเลือกใช้กลยุทธ์ดึงชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์และใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม:

โปรตุเกส: หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ได้เปิดโครงการ Golden Visa ในปี 2012 อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 500,000 ยูโรขึ้นไป ได้รับสิทธิพำนักถาวร ทำให้เงินทุนไหลเข้ากว่า 7 พันล้านยูโร ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและกระตุ้นราคาบ้านให้กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สเปน: ก็เช่นกัน หลังวิกฤตปี 2008 ได้เปิดโครงการ Residency by Investment โดยกำหนดให้ต่างชาติลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 500,000 ยูโรขึ้นไป ซึ่งช่วยกระตุ้นตลาดบ้านที่ซบเซาและทำให้ GDP ฟื้นตัว 3% ภายใน 5 ปี ดึงดูดนักลงทุนจากจีน รัสเซีย และตะวันออกกลาง
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE): ด้วยโครงการ Freehold Property ที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างสมบูรณ์ ได้ดึงดูดนักลงทุนมหาศาล ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 50% ของ GDP และก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก
กรีซ: ใช้โครงการ Greece Golden Visa โดยให้ชาวต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์มูลค่า 250,000 ยูโรขึ้นไป แลกกับวีซ่าพำนักถาวร ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตกว่า 60% ภายใน 10 ปี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตหนี้ยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาเลเซีย: มีโครงการ Malaysia My Second Home (MM2H) ที่เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาว กระตุ้นตลาดบ้าน และดึงดูดกลุ่มผู้เกษียณอายุและนักลงทุนจากจีนและญี่ปุ่น

ปลดล็อกศักยภาพ: หนุนต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในไทย

แนวคิดในการเปิดโอกาสให้คนต่างชาติมาถือครองอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังในปัจจุบัน ประเทศไทยมีที่ดินกว่า 321 ล้านไร่ และมีเอกสารสิทธิ์ถึง 127 ล้านไร่ (40%) การที่ต่างชาติจะเข้ามายึดครองที่ดินของประเทศจนหมดสิ้นนั้นเป็นไปได้ยากมาก และไม่ควรเป็นข้อกังวลหลัก ยกตัวอย่างเช่น หากในหนึ่งปีเราสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 2 แสนหลัง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนที่ดินไม่ถึง 0.2% ของที่ดินทั้งหมดที่มี

ในปี 2565 มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจำนวน 392,858 หน่วย มูลค่ารวมกว่า 1,065,008 ล้านบาท หากเราสามารถดึงกำลังซื้อจากต่างชาติได้เพียง 1 ใน 4 ของมูลค่าดังกล่าว ก็จะสร้างรายได้เข้าประเทศได้เกือบ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบัน กลุ่มคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นกลุ่มเศรษฐีระดับมหาเศรษฐีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง ซึ่งมีกำลังซื้อบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาทได้ โดยความต้องการของพวกเขาคือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ได้ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ และเข้าถึงบริการต่างๆ ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติในกลุ่มนี้จึงมีศักยภาพสูงและเป็นตลาดที่ใหญ่

ผลกระทบเชิงบวกที่ครอบคลุมและยั่งยืน

การผลักดันนโยบายที่ส่งเสริมการลงทุนและซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยจากต่างชาติ จะสร้างผลกระทบเชิงบวกในหลายมิติ:

การขายบ้านและคอนโดมิเนียม: ช่วยระบายสต็อกอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่และกระตุ้นการก่อสร้างโครงการใหม่ๆ
ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง: ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการก่อสร้างและการตกแต่งที่อยู่อาศัย
การจ้างงาน: สร้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาคก่อสร้าง ภาคบริการ ภาคค้าปลีก และอื่นๆ อีกมากมาย
การบริโภคในท้องถิ่น: เมื่อชาวต่างชาติเข้ามาอยู่อาศัย พวกเขาจะจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ซื้อสินค้าและบริการในท้องถิ่น ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อย
รายได้เข้ารัฐ: จากภาษีอสังหาริมทรัพย์ ค่าธรรมเนียมการโอน และภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การยกระดับคุณภาพชีวิต: การเข้ามาของชาวต่างชาติอาจนำมาซึ่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะที่ดีขึ้น เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มนี้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ หากสามารถขายบ้านให้ต่างชาติได้ 10,000 หลัง จะส่งผลบวกต่อ GDP ประมาณ 0.75% แต่หากทำได้ 100,000 หลัง จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ในหลายพื้นที่ เช่น ภูเก็ต และพัทยา ก็มีแนวโน้มการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบที่ถูกต้องตามกฎหมายและรูปแบบที่ยังอยู่ภายใต้การพิจารณา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงจากตลาด

ก้าวต่อไป: สร้างกรอบนโยบายที่ชัดเจนและยืดหยุ่น

ผมเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมาทบทวนและสร้างกรอบนโยบายที่ชัดเจนและยืดหยุ่น เพื่อให้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้อย่างเต็มศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกฎหมายที่ดินต่างชาติ การขยายสัดส่วนการถือครองคอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติ การพิจารณานโยบาย Golden Visa Thailand หรือ Residency by Investment ที่เหมาะสมกับบริบทของไทย ไปจนถึงการส่งเสริมโครงการ MM2H Thailand เพื่อดึงดูดผู้เกษียณอายุและนักลงทุน ที่ปรึกษาการลงทุนอสังหาฯ ควรมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลและแนวทางที่ถูกต้องแก่ชาวต่างชาติ

การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ผลตอบแทนสูงสำหรับชาวต่างชาติในประเทศไทย โดยเฉพาะในเมืองสำคัญอย่าง กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา ควรได้รับการสนับสนุนด้วยมาตรการที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน การมีกฎหมายที่ดินต่างชาติที่ชัดเจนและเอื้อต่อการลงทุน จะเป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลจากต่างประเทศให้ไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

ในมุมมองของผมที่เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาอย่างยาวนาน นี่คือหนึ่งในทางออกที่จับต้องได้และมีศักยภาพสูงสุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ การเปลี่ยนผ่านจากภาคอุตสาหกรรมที่กำลังอ่อนแรง มาสู่การพึ่งพา ภาคอสังหาริมทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยการสร้างกำลังซื้อจากต่างประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า และร่วมกันผลักดันนโยบายที่กล้าหาญและมองการณ์ไกล เพื่อปลดล็อกศักยภาพของประเทศไทยให้พุ่งทะยานอีกครั้ง

หากท่านสนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย หรือต้องการหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับอนาคต โปรดติดต่อเราเพื่อขอรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของเรา.

Previous Post

D1912141 BM ไปออกเดทส ดหร แต เจอเน อค เป นคนซ อมมอเตอร ไซค part2

Next Post

D1912148 คนเคยม คด งไงก ด! part2

Next Post
D1912148 คนเคยม คด งไงก ด! part2

D1912148 คนเคยม คด งไงก ด! part2

Leave a Reply Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Recent Posts

  • D2312067 ยำมาม าหม นไม ได จนต องขอโดนจ างออกเลยหรอ part2
  • D2312066 หม งน ำจ มแซ สาม คนน แค ธนาคารส วนต part2
  • D2312065 ได แล วล มต หมดส นม ตรภาพท เคยม มา part2
  • D2312064 าวต มทรงเคร อง คำว ารวยของคนม นไม เท าก part2
  • D2312063 งานแต งระด บผ ดการ กล าเอาข าวเหน ยวมาก นได ไง part2

Recent Comments

  1. A WordPress Commenter on Hello world!

Archives

  • December 2025
  • November 2025

Categories

  • Uncategorized

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.

No Result
View All Result

© 2025 JNews - Premium WordPress news & magazine theme by Jegtheme.